ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 179

บทที่ 179 สวี่เอ้อร์หลาง ‘ข้าไม่มีครอบครัว’
เมื่อพิจารณาถึงปัญหาเรื่องควันไฟ ห้องครัวของเรือหลวงจึงตั้งอยู่ที่ชั้นบนซึ่งไร้ห้องโดยสาร สะดวกต่อการปล่อยควัน ผนังและพื้นของห้องครัวทาสีแดงกันไฟ ส่วนผสมหลักของสีแดงประเภทนี้คือยางของต้นไม้ที่ชื่อว่า ‘ต้นกินแมลง’ สามารถป้องกันน้ำไฟได้

ดังนั้นต้นไม้ชนิดนี้จึงถูกกรมโยธาสนับสนุนให้เพาะปลูกกันอย่างกว้างขวาง ใช้กันอย่างแพร่หลายในการก่อสร้าง

ในห้องครัว พ่อครัวหลายคนกำลังทำอาหารกลางวันกัน เหงื่อโซมกายในฤดูหนาว ในหม้อนั้นต้มแกงปลาหม้อใหญ่ ไอน้ำส่งเสียง ‘ฟู่ๆ’ กระทบฝาหม้อ กลิ่นหอมเข้มข้นตลบอบอวล

สวี่ชีอันตามกลิ่นมาถึงห้องครัว แล้วเปิดฝาหม้อออกเอง ก่อนถามขึ้นว่า “น้ำแกงปลาเสร็จหรือยัง”

“ใกล้จะเสร็จแล้วขอรับ!”

เหล่าพ่อครัวตกใจที่มีใต้เท้าคนหนึ่งเข้ามาในห้องครัวสกปรกเสื่อมโทรมแห่งนี้ด้วยตัวเอง

สวี่ชีอันมองดูน้ำแกงปลาที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย เป็นผลมาจากการใส่ซีอิ๊ว เขาดมกลิ่นหอมแล้วกล่าว “เอาช้อนมาให้ข้า”

พ่อครัวคนหนึ่งส่งช้อนไปให้อย่างเชื่อฟัง สวี่ชีอันตักน้ำแกงขึ้นมาแล้วชิมดู เอ่ยอย่างประหลาดใจ “กลิ่นคาวอ่อนมาก”

เมื่อการปรุงรสและระดับฝีมืองานครัวถูกจำกัด ปลาแม่น้ำส่วนใหญ่ในโลกนี้จึงกำจัดกลิ่นคาวออกไปไม่หมด แน่นอนว่ายกเว้นร้านอาหารชั้นสูงเช่นร้านกุ้ยเยว่ คนครัวที่ที่นั่นมีฝีมือระดับสูง

พ่อครัวได้ยินดังนั้นก็เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ใต้เท้า ของที่พวกเราซึ่งลอยอยู่บนน้ำมักจะกินบ่อยๆ ก็คือปลา หากพูดถึงเรื่องกินปลา ใต้หล้านี้ไม่มีใครรู้ดีกว่าพวกเราแล้วขอรับ กำจัดกลิ่นคาวได้อย่างไรน่ะหรือ หึๆ …พวกเรามีเคล็ดวิชาลับ”

เขายังปิดบัง จงใจไม่พูด

สวี่ชีอันร้อง “อา” ออกมา “ข้าก็มีส่วนผสมลับเหมือนกัน สามารถทำให้รสชาติสดใหม่ของน้ำแกงปลาหม้อนี้ดีมากยิ่งขึ้น”

พ่อครัวไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะไม่กล้า ทว่าความรู้สึกไม่พอใจในดวงตานั้นปิดไม่มิด

สวี่ชีอันถือโอกาสหยิบขวดกระเบื้องผงปรุงรสไก่ออกมาจากห่อ

“ใต้ ใต้เท้า…”

พ่อครัวหลายคนตกใจจนหน้าซีด พวกเขาทำงานอยู่บนเรือหลวงมาหลายปี เคยรับรองขุนนางมาไม่น้อย ย่อมมีความอ่อนไหวต่ออาหารเป็นธรรมดา

หากขุนนางบนเรือคิดจะวางยาพิษฆ่าคน พวกเขาก็มีแต่ต้องลงหลุมไปด้วย

“กลัวอะไร อีกเดี๋ยวพวกเจ้าค่อยทดสอบยาพิษก็ได้นี่” สวี่ชีอันปลอบใจ

เหล่าพ่อครัวไม่รู้สึกเหมือนถูกปลอบใจสักนิด กลับยิ่งเป็นกังวล

สวี่ชีอันเทผงปรุงรสลงไปในหม้อก่อนเล็กน้อย แล้วลองชิมรสชาติหนึ่งคำ พอรู้สึกว่ายังไม่พอก็เพิ่มลงไปอีกนิดหน่อย แล้วชิมอีกครั้ง ทำอยู่ซ้ำๆ หลายรอบก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“มา ลองชิมดู!” เขาตักน้ำแกงปลามาช้อนเล็กๆ แล้วส่งให้พ่อครัวที่เอ่ยขึ้นคนนั้น

การทดลองชิมเมื่อครู่ของสวี่ชีอันได้มอบความกล้าให้กับเขา พ่อครัวลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็รับช้อนมาชิม ชั่วขณะเดียวเขาก็เบิกตาโพลง

น้ำแกงปลากลิ่นหอมหวนแทรกซึมเข้าสู่ต่อมรับรส ‘โครกคราก…’ ลูกกระเดือกที่คอเคลื่อนไหวอย่างไม่อาจควบคุม จากนั้นมันก็ตกสู่กระเพาะ

เหลือกลิ่นหอมอบอวลติดอยู่ในปากและฟัน

“อร่อย อร่อยมากเลย…” พ่อครัวตื่นเต้นขึ้นมา “ใต้เท้า นี่ นี่มันสูตรลับอะไรกัน นี่มันสูตรลับระดับเทพแบบไหนกัน ขอใต้เท้าโปรดสอนข้าด้วย”

สวี่ชีอัน “ฮ่าๆ”

ผู้ตรวจการจางนั่งอยู่บนตั่ง กุมหน้าผาก อดทนต่อความโคลงเคลงขณะแล่นบนน้ำของตัวเรือ หลังจากกินยาที่โหรชุดขาวมอบให้แล้ว เขาก็ดีขึ้นมาก

ผู้ติดตามถือชาร้อนเข้ามากล่าวว่า “นายท่าน พอผ่านเขตเมืองหลวงแล้ว ลมในแม่น้ำก็จะลดลงมาก ถึงตอนนั้นท่านก็จะไม่ปวดหัวแล้วขอรับ”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้า รับชามาดื่ม

“ต้องกินอาหารกลางวันแล้ว บ่าวจะไปนำมาให้ท่านขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ย

“ไม่ต้อง” ผู้ตรวจการจางโบกมือ บีบนวดที่หว่างคิ้ว “ข้าเวียนหัว ไม่อยากอาหาร…”

เขาเพิ่งจะเอ่ยออกมา จมูกก็ขยับ “กลิ่นอะไร”

ในหน้าต่างที่เปิดอยู่ ลมแม่น้ำพัดพากลิ่นหอมเข้ามา กระตุ้นความอยากอาหารของผู้ตรวจการจาง ทำให้เขาหลั่งน้ำลายมากยิ่งขึ้น

‘โครกคราก…’ ผู้ติดตามกลืนน้ำลาย สายตามองออกไปนอกห้องบ่อยๆ ใจไม่อยู่ที่นี่แล้ว

ผู้ตรวจการจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ แม้จะไม่อยากอาหาร แต่ก็ไม่อาจต่อต้านร่างกายได้ ไปเอาของกินมาให้ข้าเถอะ… อืม แม้ว่าน้ำแกงปลานั่นจะคาวจนยากจะทนไหว แต่ข้าก็ไม่อาจถือสา ต้องแบ่งปันทุกข์สุขกับทุกคน”

ผู้ติดตามตอบรับอย่างดีใจ วิ่งเหยาะๆ ออกจากห้องไป ลอบคิดในใจว่า ‘สมแล้วที่ใต้เท้าเป็นปัญญาชน คำพูดไร้ยางอายยังพูดได้น่าฟังขนาดนี้’

สวี่ชีอันและเพื่อนร่วมหน่วยนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่อันกว้างขวาง กินข้าวพลางคุยโม้ติดลม

“น้ำแกงปลานี่สุดยอดมาก ชีวิตนี้ข้าไม่เคยกินน้ำแกงที่เข้มข้นขนาดนี้มาก่อน”

“ใช่แล้ว แม้แต่กลิ่นคาวนั่นก็ยังหอม”

“ถ้าได้ดื่มน้ำแกงปลาแบบนี้ทุกวันๆ จะให้ข้าอยู่บนเรือทั้งชีวิตก็ยินดี”

เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกินกันจนเหงื่อท่วม เพลิดเพลินกับน้ำแกงปลาที่น่าประหลาดใจ

เจียงลวี่จงครองโต๊ะคนเดียว เขาหลับตาลง รำลึกถึงกลิ่นหอมสดใหม่ติดลิ้นจนทำให้ยากจะลืมเลือน เขาตะโกนเรียกพ่อครัวมา แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “น้ำแกงปลานี้มีรสชาติไม่ธรรมดาทีเดียว ข้าไม่เคยกินมาก่อน พวกเจ้าทำอย่างไรหรือ”

‘น่าจะมีสูตรลับอยู่’ …เจียงลวี่จงคิดในใจ

เขาก็ไม่ได้ละโมบในสูตรลับของคนอื่นหรอก แค่สงสัยล้วนๆ อยากรู้ว่าน้ำแกงปลาที่ทำให้คนต้องตบโต๊ะชมเปาะนี้ทำออกมาอย่างไร

พ่อครัวมองไปที่สวี่ชีอันทันที “เป็นส่วนผสมลับของใต้เท้าท่านนั้นขอรับ ไม่เกี่ยวกับบ่าว”

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนหันไปมองทันที

“มองข้าทำไม นี่เป็นส่วนผสมลับของสำนักโหราจารย์ ข้ามีอยู่ไม่มากเท่าไหร่” สวี่ชีอันรีบพูดทันที

เขารู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไร้มารยาทเหล่านี้ โดยเฉพาะเจียงลวี่จงคนนั้น จะต้องมาขอของจากเขาทุกวิถีทางแน่นอน

ทุกคนหันหน้าไปมองโหรชุดขาวทั้งสามคนที่มุมห้องทันที โหรหนุ่มชุดขาวกล่าวว่า “มองพวกข้าทำไม ส่วนผสมลับของสำนักโหราจารย์ก็เป็นคุณชายสวี่ที่สอนให้”

บ้าเอ๊ย โหรพวกนี้ตั้งใจจะงัดข้อกันใช่ไหม …สวี่ชีอันสาปแช่งอยู่ในใจ

ตอนนี้เองกลุ่มทหารคุ้มกันสวมชุดเกราะเดินเข้ามาจากประตูห้องโดยสาร พวกเขาดมกลิ่นหอมของน้ำแกงปลาที่เย้ายวน พลางรับอาหารธรรมดาของตนเองมาเงียบๆ

ครั้งนี้คณะเดินทางไปอวิ๋นโจว มีฆ้องทองแดงยี่สิบคน ฆ้องเงินหกคน ฆ้องทองคำหนึ่งคน ผู้ติดตามผู้ตรวจการจางอีกสามคน กองทหารพยัคฆ์ทะยาน 100 คน

รวมผู้ตรวจการจางเข้าไปด้วย ก็มีทั้งหมด 131 คน

กองทหารพยัคฆ์ทะยานเหล่านี้พักอยู่ที่ใต้ท้องเรือขนาดเล็กมืดๆ อาหารที่กินก็ไม่ได้ดีเท่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล น้ำแกงปลาก็ย่อมไม่มีส่วนของพวกเขาด้วย

เหล่าชายฉกรรจ์ผอมกะหร่องขยับจมูกดมเงียบๆ ค่อยๆ กลืนน้ำลาย มองดูน้ำแกงปลาอย่างโหยหา

สวี่ชีอันครุ่นคิดดูแล้วก็เรียกพ่อครัว “ในเรือยังมีปลาอีกไหม ถ้าไม่มีก็ไปจับมา ต้มน้ำแกงปลาให้พวกทหารหนึ่งหม้อด้วย ต้องให้ทุกคนได้กิน”

พูดพลาง เขาก็มอบขวดกระเบื้องให้กับพ่อครัว “ไม่พอก็มาขอที่ข้า”

เหล่ากองทหารพยัคฆ์ทะยานดวงตาเป็นประกาย ‘ชิ้ง’ ขึ้นมา หลังตั้งตรงโดยไม่รู้ตัวแล้วพูดพร้อมกัน “ขอบคุณใต้เท้า”

ข้านี่มันใจอ่อนจริงๆ ใจอ่อนเกินไป ชอบแบกปัญหาทั้งหมดไว้กับตัวเอง …สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าแซ่สวี่”

“ขอบคุณใต้เท้าสวี่”

ตอนนี้เอง ผู้ติดตามของผู้ตรวจการจางก็เดินเข้ามาเอ่ยเสียงดัง “ยังมีน้ำแกงปลาอยู่หรือไม่ ใต้เท้าของข้าอยากกิน”

ทุกคนหัวเราะ ในห้องโดยสารเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง

เมืองหลวง ก่อนพลบค่ำ

สวี่ซินเหนียนกลับมาเมืองหลวงแล้ว เขาเตรียมจะกลับบ้านมาเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนใหม่ รวมถึงข้าว บะหมี่และเงินทองด้วย

ศิษย์ที่มาเรียนกับสำนักอวิ๋นลู่จะต้องมอบของตอบแทนอาจารย์หนึ่งชุดให้ทุกๆ สามเดือน ขณะเดียวกันก็ต้องนำข้าวและบะหมี่ไปเอง สำนักศึกษาให้ที่อยู่อาศัย แต่ไม่มีอาหารให้

ดังนั้นสวี่เอ้อร์หลางก็จะกลับบ้านมารอบหนึ่งเป็นประจำ เพื่อนำเสื้อผ้าสกปรกที่ไม่มีเวลาซักมาโยนให้คนรับใช้ แล้วถือโอกาสนำเงินทองและอาหารสำหรับอยู่สามเดือนไปด้วย

“หืม…”

เขารั้งบังเหียนม้าหยุดอยู่นอกจวนสกุลสวี่ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่ประตูใหญ่คล้องกุญแจไว้

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ในจวนเลี้ยงดูคนรับใช้ไว้ แม้ว่าเจ้านายจะไม่อยู่ในบ้าน จึงต้องปิดประตูไม่รับแขก แต่แบบนั้นก็ต้องลงกลอนประตูจากข้างในสิ คล้องกุญแจข้างนอกมักจะหมายความว่าในจวนไม่มีคนอยู่

สวี่เอ้อร์หลางใจหายวาบ มีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

เขาพลิกตัวลงจากม้า เดินมาถึงข้างกำแพงแล้วสูดลมหายใจ กล่าวเสียงดัง “เหาะเหินเดินหลังคา!”

หลังกล่าวจบ เขาก็ก้าวถอยหลังเงียบๆ ไปสองสามก้าว รู้สึกว่าพลังพลุ่งพล่านไปทั่วแขนขา เขาสับขาวิ่งเข้าช่วย แล้วกระโดดจากกำแพงสูงสามเมตรเข้าไป ก่อนลงจอดบนพื้นอย่างมั่นคง

ในจวนเงียบสนิท ไม่มีคนแม้แต่คนเดียว

สวี่ซินเหนียนเดินจากลานด้านนอกเข้าไปยังลานด้านใน เปิดประตูแต่ละบาน ห้องของน้องสาว ของพ่อแม่ ของคนรับใช้ …ว่างเปล่าไร้ผู้คน

ที่สำคัญที่สุดคือ ของในจวนล้วนถูกขนย้ายจนว่างโล่งแล้ว ในห้องเหลือเพียงเตียงเปล่าๆ ไม่มีผ้าห่ม

‘บ้านข้าล่ะ บ้านหลังใหญ่โตของข้าล่ะ …อ้อ มันยังอยู่ แต่ครอบครัวของข้าไปไหนเสียแล้ว’ สวี่เอ้อร์หลางยืนอยู่ที่ลานบ้านอย่างงุนงง ไตร่ตรองถึงชีวิตมนุษย์

“ประตูคล้องกุญแจไว้ ไม่มีแปะป้ายห้าม หมายความว่าพี่ใหญ่ไม่ได้ทำผิดอะไรอีก…ของในบ้านถูกย้ายไปจนเกลี้ยง แต่บนพื้นไม่มีฝุ่นผง ปัดกวาดสะอาดเอี่ยมอ่อง หมายความว่าไม่ได้ถูกปล้น…”

สวี่เอ้อร์หลางอาศัยสติปัญญาของจวี่เหริน คิดคำนวณได้ผลลัพธ์ออกมาว่า ‘พวกเขาย้ายบ้านไปแล้ว’

‘ทำไมย้ายบ้านแล้วไม่มีใครบอกข้า พวกเขาลืมว่ายังมีเอ้อร์หลางอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่อย่างนั้นเหรอ’ สวี่ซินเหนียนโมโหจนอยากจะด่าให้ยับ

‘แย่แล้ว…’ จากนั้นเขาก็หน้าเปลี่ยนสี รีบเสริมพลังให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วพลิกตัวข้ามกำแพง ขึ้นขี่ม้า วางแผนจะออกไปจากเมืองหลวงก่อนที่ประตูเมืองจะปิด

ตอนนี้เอง เสียงกลองเลือนรางก็ดังมาจากที่ไกลๆ นี่คือเสียงกลองตีบอกก่อนปิดประตูเมือง

จวนสวี่

วันนี้อารองสวี่ต้องเข้ากะดึก กินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็จะออกจากบ้านเลย

อาสะใภ้มองสามีแล้วเอ่ยอย่างสงสัย “ตามหลักแล้ว เอ้อร์หลางก็น่าจะกลับแล้วนี่ คราวก่อนเขาเอาเงินกับอาหารไปไม่พอ”

มารดาย่อมเป็นห่วงบุตรชาย มักจะคำนวณวันเวลาที่ลูกชายกลับบ้านเสมอ

“น่าจะในสองสามวันนี้กระมัง” อารองสวี่เอ่ยอย่างเฉยเมย

“ต้าหลาง…ได้เขียนจดหมายให้เขาไหม” อาสะใภ้เอ่ยถาม

“ไม่รู้”

“ไม่รู้หมายความว่าอะไร” อาสะใภ้เลิกคิ้ว

“ก็ข้าไม่ได้ถามนี่” อารองสวี่ตอบกลับ กินข้าวคำสุดท้ายเสร็จแล้วก็แขวนดาบพกไว้ที่เอว แล้วสวมหมวกเกราะ

“ข้าไปแล้วนะ ตอนกลางคืนก็ดูแลหลิงอินด้วย อย่าให้นางออกไปอยู่ข้างบ่อน้ำอีก อีกอย่าง อย่าเอาแต่หวาดระแวงนู่นนี่ ในบ้านไม่มีผีหรอก”

พูดจบ อารองสวี่ก็ออกจากบ้านไป

เมื่อถึงยามค่ำคืน เขาก็นำกองดาบกลุ่มหนึ่งออกลาดตระเวนที่เมืองชั้นนอก เมื่อเดินผ่านบ้านบรรพบุรุษก็เห็นร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่หน้าประตูจวน กอดเข่าเอาไว้ ใบหน้าซุกอยู่ที่แขนสองข้าง ตัวสั่นสะท้านภายใต้ลมหนาว

ข้างกายยังมีม้าหนึ่งตัว มันพ่นลมออกจมูกอย่างเศร้าซึมและไสกีบเท้า

เมืองชั้นนอกไม่มีเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ชาวบ้านสามารถออกมาสัญจรได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่กองดาบก็มีอำนาจในการสุ่มตรวจถาม เมื่อเห็นว่ามีคนนั่งอยู่หน้าบ้านตนเอง อารองก็พาคนเดินเข้าไปทันที

พอกำลังจะตะโกนถาม แสงจากคบเพลิงก็ส่องให้เห็นชุดนักปราชญ์ของคนผู้นั้น ทันใดนั้นก็รู้สึกคุ้นตา

อารองสวี่ผงะ ลอบเอ่ยว่า ‘ไม่หรอกมั้ง’…

“เอ้อร์หลาง” เขาเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก

บัณฑิตในชุดนักปราชญ์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา หน้าตาหล่อเหลา สีหน้าซีดเซียว สวี่เอ้อร์หลางนั่นเอง

สองพ่อลูกมองหน้ากันเงียบๆ อยู่นาน อารองสวี่หนังศีรษะชา “ทำไมไม่ไปโรงเตี๊ยม”

‘เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนที่ต้องทนทุกข์กับดาบพันเล่ม! เจ้านั่นไม่ได้เขียนจดหมายให้น้องชายตัวเองจริงๆ’

“ไม่มีเงินแล้ว”

“ทำไมไม่ไปพักในจวน”

“เดี๋ยวม้าจะถูกขโมย”

“ทำไมไม่กลับสำนักศึกษา”

“ประตูเมืองปิดแล้ว”

“…เราย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในเมืองชั้นในแล้ว ลืมบอกเจ้าน่ะ อืม เมืองชั้นในมีเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ถ้าอย่างนั้นพ่อพาเจ้าไปโรงเตี๊ยม”

สวี่เอ้อร์หลางค่อยๆ หันหน้ามา น้ำเสียงว่างเปล่า “ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อยไม่มีครอบครัวหรอกขอรับ”

อารองสวี่ “…”

ยามค่ำคืน จันทร์เดียวดายลอยสูงเด่น

ห้องในเรือหลวงมีจำกัด สวี่ชีอันเป็นฆ้องทองแดงจึงไม่มีห้องแยกต่างหาก เขาต้องนอนห้องเดียวกันกับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว

เป็นเตียงแบบเรียงแถวติดกัน

เขาหันหน้าไปมองทางซ้าย ซ่งถิงเฟิงหันหน้ามาหาเขา หันไปมองทางขวา จูกว่างเสี้ยวหันหน้ามาหาเขา

จู่ๆ สวี่ชีอันก็นึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ‘ถ้าคุณนอนอยู่ระหว่างผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณจะหันก้นไปทางผู้ชายหรือว่าผู้หญิง’

หันก้นไปทางผู้หญิงก็จะถูกหาว่าเป็นเกย์ หันไปทางผู้ชายก็มีความเสี่ยงจะถูกชำเรา ส่วนสถานการณ์อย่างข้า ข้าเลือกนอนหงาย…สวี่ชีอันคร่ำครวญอยู่ในใจ ก็มีเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตู

เสียงของผู้ติดตามผู้ตรวจการจางดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าสวี่ นายท่านของข้าเรียนเชิญขอรับ”

………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง