ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 179

บทที่ 179 สวี่เอ้อร์หลาง ‘ข้าไม่มีครอบครัว’
เมื่อพิจารณาถึงปัญหาเรื่องควันไฟ ห้องครัวของเรือหลวงจึงตั้งอยู่ที่ชั้นบนซึ่งไร้ห้องโดยสาร สะดวกต่อการปล่อยควัน ผนังและพื้นของห้องครัวทาสีแดงกันไฟ ส่วนผสมหลักของสีแดงประเภทนี้คือยางของต้นไม้ที่ชื่อว่า ‘ต้นกินแมลง’ สามารถป้องกันน้ำไฟได้

ดังนั้นต้นไม้ชนิดนี้จึงถูกกรมโยธาสนับสนุนให้เพาะปลูกกันอย่างกว้างขวาง ใช้กันอย่างแพร่หลายในการก่อสร้าง

ในห้องครัว พ่อครัวหลายคนกำลังทำอาหารกลางวันกัน เหงื่อโซมกายในฤดูหนาว ในหม้อนั้นต้มแกงปลาหม้อใหญ่ ไอน้ำส่งเสียง ‘ฟู่ๆ’ กระทบฝาหม้อ กลิ่นหอมเข้มข้นตลบอบอวล

สวี่ชีอันตามกลิ่นมาถึงห้องครัว แล้วเปิดฝาหม้อออกเอง ก่อนถามขึ้นว่า “น้ำแกงปลาเสร็จหรือยัง”

“ใกล้จะเสร็จแล้วขอรับ!”

เหล่าพ่อครัวตกใจที่มีใต้เท้าคนหนึ่งเข้ามาในห้องครัวสกปรกเสื่อมโทรมแห่งนี้ด้วยตัวเอง

สวี่ชีอันมองดูน้ำแกงปลาที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย เป็นผลมาจากการใส่ซีอิ๊ว เขาดมกลิ่นหอมแล้วกล่าว “เอาช้อนมาให้ข้า”

พ่อครัวคนหนึ่งส่งช้อนไปให้อย่างเชื่อฟัง สวี่ชีอันตักน้ำแกงขึ้นมาแล้วชิมดู เอ่ยอย่างประหลาดใจ “กลิ่นคาวอ่อนมาก”

เมื่อการปรุงรสและระดับฝีมืองานครัวถูกจำกัด ปลาแม่น้ำส่วนใหญ่ในโลกนี้จึงกำจัดกลิ่นคาวออกไปไม่หมด แน่นอนว่ายกเว้นร้านอาหารชั้นสูงเช่นร้านกุ้ยเยว่ คนครัวที่ที่นั่นมีฝีมือระดับสูง

พ่อครัวได้ยินดังนั้นก็เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ใต้เท้า ของที่พวกเราซึ่งลอยอยู่บนน้ำมักจะกินบ่อยๆ ก็คือปลา หากพูดถึงเรื่องกินปลา ใต้หล้านี้ไม่มีใครรู้ดีกว่าพวกเราแล้วขอรับ กำจัดกลิ่นคาวได้อย่างไรน่ะหรือ หึๆ …พวกเรามีเคล็ดวิชาลับ”

เขายังปิดบัง จงใจไม่พูด

สวี่ชีอันร้อง “อา” ออกมา “ข้าก็มีส่วนผสมลับเหมือนกัน สามารถทำให้รสชาติสดใหม่ของน้ำแกงปลาหม้อนี้ดีมากยิ่งขึ้น”

พ่อครัวไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะไม่กล้า ทว่าความรู้สึกไม่พอใจในดวงตานั้นปิดไม่มิด

สวี่ชีอันถือโอกาสหยิบขวดกระเบื้องผงปรุงรสไก่ออกมาจากห่อ

“ใต้ ใต้เท้า…”

พ่อครัวหลายคนตกใจจนหน้าซีด พวกเขาทำงานอยู่บนเรือหลวงมาหลายปี เคยรับรองขุนนางมาไม่น้อย ย่อมมีความอ่อนไหวต่ออาหารเป็นธรรมดา

หากขุนนางบนเรือคิดจะวางยาพิษฆ่าคน พวกเขาก็มีแต่ต้องลงหลุมไปด้วย

“กลัวอะไร อีกเดี๋ยวพวกเจ้าค่อยทดสอบยาพิษก็ได้นี่” สวี่ชีอันปลอบใจ

เหล่าพ่อครัวไม่รู้สึกเหมือนถูกปลอบใจสักนิด กลับยิ่งเป็นกังวล

สวี่ชีอันเทผงปรุงรสลงไปในหม้อก่อนเล็กน้อย แล้วลองชิมรสชาติหนึ่งคำ พอรู้สึกว่ายังไม่พอก็เพิ่มลงไปอีกนิดหน่อย แล้วชิมอีกครั้ง ทำอยู่ซ้ำๆ หลายรอบก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“มา ลองชิมดู!” เขาตักน้ำแกงปลามาช้อนเล็กๆ แล้วส่งให้พ่อครัวที่เอ่ยขึ้นคนนั้น

การทดลองชิมเมื่อครู่ของสวี่ชีอันได้มอบความกล้าให้กับเขา พ่อครัวลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็รับช้อนมาชิม ชั่วขณะเดียวเขาก็เบิกตาโพลง

น้ำแกงปลากลิ่นหอมหวนแทรกซึมเข้าสู่ต่อมรับรส ‘โครกคราก…’ ลูกกระเดือกที่คอเคลื่อนไหวอย่างไม่อาจควบคุม จากนั้นมันก็ตกสู่กระเพาะ

เหลือกลิ่นหอมอบอวลติดอยู่ในปากและฟัน

“อร่อย อร่อยมากเลย…” พ่อครัวตื่นเต้นขึ้นมา “ใต้เท้า นี่ นี่มันสูตรลับอะไรกัน นี่มันสูตรลับระดับเทพแบบไหนกัน ขอใต้เท้าโปรดสอนข้าด้วย”

สวี่ชีอัน “ฮ่าๆ”

ผู้ตรวจการจางนั่งอยู่บนตั่ง กุมหน้าผาก อดทนต่อความโคลงเคลงขณะแล่นบนน้ำของตัวเรือ หลังจากกินยาที่โหรชุดขาวมอบให้แล้ว เขาก็ดีขึ้นมาก

ผู้ติดตามถือชาร้อนเข้ามากล่าวว่า “นายท่าน พอผ่านเขตเมืองหลวงแล้ว ลมในแม่น้ำก็จะลดลงมาก ถึงตอนนั้นท่านก็จะไม่ปวดหัวแล้วขอรับ”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้า รับชามาดื่ม

“ต้องกินอาหารกลางวันแล้ว บ่าวจะไปนำมาให้ท่านขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ย

“ไม่ต้อง” ผู้ตรวจการจางโบกมือ บีบนวดที่หว่างคิ้ว “ข้าเวียนหัว ไม่อยากอาหาร…”

เขาเพิ่งจะเอ่ยออกมา จมูกก็ขยับ “กลิ่นอะไร”

ในหน้าต่างที่เปิดอยู่ ลมแม่น้ำพัดพากลิ่นหอมเข้ามา กระตุ้นความอยากอาหารของผู้ตรวจการจาง ทำให้เขาหลั่งน้ำลายมากยิ่งขึ้น

‘โครกคราก…’ ผู้ติดตามกลืนน้ำลาย สายตามองออกไปนอกห้องบ่อยๆ ใจไม่อยู่ที่นี่แล้ว

ผู้ตรวจการจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ แม้จะไม่อยากอาหาร แต่ก็ไม่อาจต่อต้านร่างกายได้ ไปเอาของกินมาให้ข้าเถอะ… อืม แม้ว่าน้ำแกงปลานั่นจะคาวจนยากจะทนไหว แต่ข้าก็ไม่อาจถือสา ต้องแบ่งปันทุกข์สุขกับทุกคน”

ผู้ติดตามตอบรับอย่างดีใจ วิ่งเหยาะๆ ออกจากห้องไป ลอบคิดในใจว่า ‘สมแล้วที่ใต้เท้าเป็นปัญญาชน คำพูดไร้ยางอายยังพูดได้น่าฟังขนาดนี้’

สวี่ชีอันและเพื่อนร่วมหน่วยนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่อันกว้างขวาง กินข้าวพลางคุยโม้ติดลม

“น้ำแกงปลานี่สุดยอดมาก ชีวิตนี้ข้าไม่เคยกินน้ำแกงที่เข้มข้นขนาดนี้มาก่อน”

“ใช่แล้ว แม้แต่กลิ่นคาวนั่นก็ยังหอม”

“ถ้าได้ดื่มน้ำแกงปลาแบบนี้ทุกวันๆ จะให้ข้าอยู่บนเรือทั้งชีวิตก็ยินดี”

เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกินกันจนเหงื่อท่วม เพลิดเพลินกับน้ำแกงปลาที่น่าประหลาดใจ

เจียงลวี่จงครองโต๊ะคนเดียว เขาหลับตาลง รำลึกถึงกลิ่นหอมสดใหม่ติดลิ้นจนทำให้ยากจะลืมเลือน เขาตะโกนเรียกพ่อครัวมา แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “น้ำแกงปลานี้มีรสชาติไม่ธรรมดาทีเดียว ข้าไม่เคยกินมาก่อน พวกเจ้าทำอย่างไรหรือ”

‘น่าจะมีสูตรลับอยู่’ …เจียงลวี่จงคิดในใจ

เขาก็ไม่ได้ละโมบในสูตรลับของคนอื่นหรอก แค่สงสัยล้วนๆ อยากรู้ว่าน้ำแกงปลาที่ทำให้คนต้องตบโต๊ะชมเปาะนี้ทำออกมาอย่างไร

พ่อครัวมองไปที่สวี่ชีอันทันที “เป็นส่วนผสมลับของใต้เท้าท่านนั้นขอรับ ไม่เกี่ยวกับบ่าว”

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนหันไปมองทันที

“มองข้าทำไม นี่เป็นส่วนผสมลับของสำนักโหราจารย์ ข้ามีอยู่ไม่มากเท่าไหร่” สวี่ชีอันรีบพูดทันที

เขารู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไร้มารยาทเหล่านี้ โดยเฉพาะเจียงลวี่จงคนนั้น จะต้องมาขอของจากเขาทุกวิถีทางแน่นอน

ทุกคนหันหน้าไปมองโหรชุดขาวทั้งสามคนที่มุมห้องทันที โหรหนุ่มชุดขาวกล่าวว่า “มองพวกข้าทำไม ส่วนผสมลับของสำนักโหราจารย์ก็เป็นคุณชายสวี่ที่สอนให้”

บ้าเอ๊ย โหรพวกนี้ตั้งใจจะงัดข้อกันใช่ไหม …สวี่ชีอันสาปแช่งอยู่ในใจ

ตอนนี้เองกลุ่มทหารคุ้มกันสวมชุดเกราะเดินเข้ามาจากประตูห้องโดยสาร พวกเขาดมกลิ่นหอมของน้ำแกงปลาที่เย้ายวน พลางรับอาหารธรรมดาของตนเองมาเงียบๆ

ครั้งนี้คณะเดินทางไปอวิ๋นโจว มีฆ้องทองแดงยี่สิบคน ฆ้องเงินหกคน ฆ้องทองคำหนึ่งคน ผู้ติดตามผู้ตรวจการจางอีกสามคน กองทหารพยัคฆ์ทะยาน 100 คน

รวมผู้ตรวจการจางเข้าไปด้วย ก็มีทั้งหมด 131 คน

กองทหารพยัคฆ์ทะยานเหล่านี้พักอยู่ที่ใต้ท้องเรือขนาดเล็กมืดๆ อาหารที่กินก็ไม่ได้ดีเท่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล น้ำแกงปลาก็ย่อมไม่มีส่วนของพวกเขาด้วย

เหล่าชายฉกรรจ์ผอมกะหร่องขยับจมูกดมเงียบๆ ค่อยๆ กลืนน้ำลาย มองดูน้ำแกงปลาอย่างโหยหา

สวี่ชีอันครุ่นคิดดูแล้วก็เรียกพ่อครัว “ในเรือยังมีปลาอีกไหม ถ้าไม่มีก็ไปจับมา ต้มน้ำแกงปลาให้พวกทหารหนึ่งหม้อด้วย ต้องให้ทุกคนได้กิน”

พูดพลาง เขาก็มอบขวดกระเบื้องให้กับพ่อครัว “ไม่พอก็มาขอที่ข้า”

เหล่ากองทหารพยัคฆ์ทะยานดวงตาเป็นประกาย ‘ชิ้ง’ ขึ้นมา หลังตั้งตรงโดยไม่รู้ตัวแล้วพูดพร้อมกัน “ขอบคุณใต้เท้า”

ข้านี่มันใจอ่อนจริงๆ ใจอ่อนเกินไป ชอบแบกปัญหาทั้งหมดไว้กับตัวเอง …สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าแซ่สวี่”

“ขอบคุณใต้เท้าสวี่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง