นางลืมตาที่พร่ามัว มองเห็นท้องฟ้าสีขาว เวลานี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
ยายตัวร้ายเหมือนเมาค้างอยู่ในไนต์คลับ สายตาเลือนรางเปลี่ยนเป็นความฉงน สงสัยว่าตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า ทำไมสิ่งที่เห็นไม่ใช่พระแท่นบรรทมอันวิจิตร แต่กลับเป็นท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ
ส่งเสียง ‘อืม’ อย่างน่าเอ็นดู ร้องครางเบาๆ
ทุกฉากเมื่อคืนนี้ผ่านเข้ามาในความคิดอย่างรวดเร็ว นางจำได้แล้ว เมื่อคืนล่องเรือในสระน้ำกับสวี่หนิงเยี่ยน ดื่มเหล้าและพูดคุยกัน
เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางจึงทรงตอบรับข้อเสนอของฆ้องทองแดงทันที สำหรับองค์หญิงที่ยังไม่ได้อภิเษกสมรส หากพฤติกรรมบ้าบิ่นเช่นนี้แพร่งพรายออกไปก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายชื่อเสียงของนาง
และต่อมา คงเป็นเพราะดื่มน้ำจัณฑ์มากไปหน่อย นางจึงปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากขึ้นทุกขณะ จนลืมตัวเอนพระวรกายลงบนพื้นเรือ ตามคำพูดของเขา
หลังจากที่ได้เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า ดวงใจของยายตัวร้ายก็เคลิบเคลิ้ม ในความคิดมีเพียงประโยค ‘หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’
ด้วยความเมามาย จึงไม่อยากลุกขึ้น และบรรทมไปด้วยฤทธิ์เหล้า
อบอุ่นเหลือเกิน แม้จะอยู่ในช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวและบรรทมในเรือ แต่นางกลับไม่รู้สึกหนาว แต่รู้สึกอบอุ่นราวกับกลับคืนสู่อ้อมกอดของพระมารดา
แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องนี้ ยายตัวร้ายทรงลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนก พบว่ามีผ้าคลุมพระวรกายก็คิดจะเลิกผ้าคลุมออกตามสัญชาตญาณ แต่ก็ชะงักไป แล้วลองคลำพระวรกายของตัวเองภายใต้ผ้าคลุมด้วยความกังวลใจ เพื่อความมั่นใจว่าฉลองพระองค์ยังอยู่ดี และพระวรกายก็ไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ อย่างเช่นความเจ็บปวดจากการเสียความบริสุทธิ์ ที่มักถูกกล่าวถึงในหนังสือ
ยายตัวร้ายถอนหายใจอย่างโล่งใจ มองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นนางกำนัลที่เฝ้าระวังอยู่บนฝั่ง ดังนั้นยายตัวร้ายแห่งไนต์คลับที่มีอาการเมาค้าง ก็กลับมาเป็นองค์หญิงหลินอันผู้สง่างามเช่นเดิม
นางทรงตะโกนเรียกทหารรักษาพระองค์ที่รออยู่บนฝั่ง ให้เขาขึ้นเรือพาย แล้วช่วยพายเรือเข้าฝั่ง จากนั้นทรงถามว่า “ใต้เท้าสวี่กลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฟ้ายังไม่สางก็กลับไปแล้วเพคะ” นางกำนัลตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและนอบน้อม
หลินอันทรงพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ นึกถึงความรู้สึกอบอุ่นเมื่อวานนี้ หลังจากเปรียบเทียบอย่างละเอียดแล้ว ก็ทรงพบว่ามันไม่ได้มาจากผ้าคลุม จึงตรัสถามด้วยพระพักตร์บึ้งตึงว่า
“เมื่อคืนเขาได้ทำอะไรนอกลู่นอกทางหรือไม่”
“มีเพคะ มีเพคะ”
ใต้ตาดำคล้ำ นางกำนัลที่ไม่ได้นอนทั้งคืนถือโอกาสถวายรายงานด้วยขอบตาคล้ำ “เขาล่วงเกินองค์หญิงเพคะ”
“ฮะ” สีพระพักตร์หลินอันดูหวาดหวั่น
“เขาจับพระหัตถ์องค์หญิงตลอดเวลาเลยเพคะ” นางกำนัลพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “เมื่อเช้านี้ก่อนที่เขาจะกลับ ยังได้ตบ..ก้นของหม่อมฉัน พร้อมกับขู่ว่าไม่ให้บอกองค์หญิงด้วยเพคะ”
กล้าทำขนาดนี้เชียวหรือ คิ้วของหลินอันตั้งตรง รู้สึกอับอายและโกรธขึ้งที่มองคนผิด
“องค์หญิงรอง…” ทหารรักษาพระองค์อยากจะพูดแต่ก็ชะงักไป
“ท่าทางอึกๆ อักๆ” หลินอันทรงเหลือบมองเขาด้วยความไม่พอพระทัย
“อากาศหนาวเหน็บ องค์หญิงบรรทมบนเรือ ผ้าคลุมบรรทมเพียงผืนเดียวไม่สามารถป้องกันความหนาวเหน็บได้” ทหารรักษาอธิบาย “เมื่อคืนกระหม่อมเห็นชัดเจนว่าใต้เท้าสวี่ไม่ได้นอนทั้งคืน คอยจับพระหัตถ์องค์หญิง เพื่อถ่ายทอดพลังปราณ เพื่อขับไล่ความหนาวพ่ะย่ะค่ะ”
‘ถ่ายทอดพลังปราณ… ไม่ได้นอนทั้งคืน…’ ยายตัวร้ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก็จำได้ว่าเมื่อคืนนี้หลับสบายจริงๆ จึงตรัสด้วยความสงสัยว่า
“ทำไมข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน แล้วก็ไม่มีใครเคยถ่ายทอดพลังปราณให้ข้ามาก่อนเลย”
“เรื่องนี้…” ทหารรักษาพระองค์ยิ้มแหยๆ แล้วพูด “การถ่ายทอดพลังปราณตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้พักผ่อน สิ้นเปลืองกำลังอย่างมาก ใครจะทนได้พ่ะย่ะค่ะ” เว้นแต่จะเป็นนักรบตำแหน่งระดับกลางหรือนักรบตำแหน่งระดับสูง
“อีกอย่าง องค์หญิงทรงมีชีวิตหรูหราสุขสบาย จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ยายตัวร้ายกัดริมฝีปาก แล้วทรงตรัสหยั่งเชิงว่า “เหนื่อยแค่ไหน?”
ทหารรักษาพระองค์ตอบว่า “หากเป็นกระหม่อม คงจะหมดกำลังตายไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตากลมโตเป็นประกายของนางรื้นขึ้น อ่อนโยนขึ้นมาทันที
“ตอนที่ใต้ ใต้เท้าสวี่กลับไป ดูเหมือน… สีหน้าอิดโรยมาก” นางกำนัลหวนคิดแล้วพูดว่า “แต่ทำไมเขาจึงไม่ให้หม่อมฉันพูดล่ะ”
หลินอันไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ทรงพระดำเนินออกไป ทันใดนั้น “เช้านี้เขาจะออกเดินทางจากเมืองหลวงไปอวิ๋นโจว ตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว ข้าจะไปส่งเขาออกเดินทาง…”
ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของนางจึงรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกอยากจะเห็นสุนัขรับใช้ตัวนั้น
“พระองค์ เลยเวลาเหม่าไปแล้วเพคะ…” นางกำนัลเดินตามองค์หญิงไป “มีอย่างที่ไหน องค์หญิงจะไปส่งฆ้องทองแดงออกเดินทาง หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป จะไม่เป็นผลดีทั้งกับพระองค์และตัวเขานะเพคะ”
ประโยคนี้ทำให้หลินอันผู้ทรงเอาแต่ใจต้องหยุดเดิน
‘สำหรับข้า อย่างมากที่สุด ก็ถูกเสด็จพ่อทรงตำหนิ… แต่หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยเช่นเขา จะต้องทรมานอย่างแน่นอน…’ หลินอันเหลือบมองนางกำนัลและทหารรักษาพระองค์ พระพักตร์รูปไข่ปรากฏแววน่าเกรงขามอย่างแทบไม่เคยเห็นมาก่อน
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของข้า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้พวกเจ้าห้ามแพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องถูกโบยจนตายทุกคน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
…
จากเมืองหลวงถึงอวิ๋นโจว ระยะทางยาวไกล เพื่อเป็นการประหยัดเวลา คณะผู้แทนพระองค์คณะนี้จึงเลือกเดินทางทางน้ำ ตัดการเดินทางบนที่แห้ง
เรือของทางการฝ่าคลื่นลม ใบเรือต้านลมแรง
สวี่ชีอันยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ รับลมที่พัดมาจากพื้นผิวแม่น้ำ เรือลำใหญ่น้อยแล่นอยู่บนผิวน้ำ มีทั้งเรือของทางการและเรือของพ่อค้า
“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย ดูเหน็ดเหนื่อย” เจียงลวี่จงมาที่ดาดฟ้า ยืนเคียงข้างเขา หันหน้าไปมองสวี่ชีอัน แล้วหัวเราะเบาๆ
“เมื่อวานไปสำนักสังคีตมาหรือ”
“…อืม” สวี่ชีอันไม่พูดอะไร
เขาไปที่สำนักสังคีตก็จริง และยังได้เชื่อมสัมพันธ์กับฝูเซียงก่อนจากกัน แต่สาเหตุที่อ่อนเพลียที่แท้จริงก็คือถูกยายตัวร้ายรีดพลังไปหมด แต่เรื่องแบบนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง