แม่นางหงซิ่วที่พลาดโอกาสที่จะโด่งดังในชั่วข้ามคืน ได้แต่ร้องไห้จนเหนื่อยหอบ คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้ จากนั้นก็ต้องปรับปรุงตัวด้วยความรู้สึกหดหู่ใจเป็นเวลายาวนาน
คณิกาหงซิ่วร้องไห้ขนาดนี้ จึงจำต้องถอนตัวจากการประชุมชา คุณชายเว่ยและคนอื่นๆ สมกับที่เป็นปัญญาชนที่มีความรู้และมีเหตุผล พวกเขาไม่เพียงไม่ได้กล่าวโทษหรือต่อว่าต่อขาน แต่กลับปลอบโยนให้นางพักผ่อนมากๆ
หลังจากส่งหงซิ่วกลับไปแล้ว คุณชายเว่ยและคนอื่นๆ ก็ดื่มเหล้ากันต่อ เดิมทีสถานที่เช่นสำนักสังคีตก็เป็นสถานที่สำหรับการพบปะสังสรรค์และสมาคมอยู่แล้ว
หญิงงามข้างกายเป็นเหมือนเครื่องประดับ ไม่มีก็ไม่เป็นไร พวกผู้ชายนั้นก็ดื่มและพูดคุยกันตามประสา
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่ามีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาประชุมชาไม่ใช่หรือ”คุณชายเว่ยเอะใจ นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงถามสาวใช้ที่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ว่า
“เมื่อครู่แม่นางหงซิ่วบอกว่า ในจำนวนนั้นมีคนอ้างว่าแม่นางฝูเซียงเป็นคนสนิทของเขานี่”
“ดูเหมือนว่าจะใช่เจ้าค่ะ” สาวใช้พูด
คุณชายเว่ยพอคาดเดาในใจได้รางๆ แล้วจึงหยุดดื่มเหล้า แล้วจ้องหน้าสาวใช้อย่างจริงจัง “เจ้า..ฆ้องทองแดงคนนั้นชื่ออะไร”
“คุณชาย บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้ส่ายหน้า คิดในใจว่า ‘ข้าไม่ได้ใส่ใจ’
คุณชายคนอื่นๆ ล้วนเป็นคนฉลาด เมื่อนึกถึงความผิดปกติของแม่นางหงซิ่วเมื่อครู่นี้ ต่างก็พากันตกใจ “ถ้าอย่างนั้น เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนนั่นมาที่อวี่โจวหรือ”
คดีของเจ้ากองส่งเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้ ข่าวยังไม่แพร่กระจายในอวี่โจว บัณฑิตกลุ่มนี้ มีเพียงคุณชายเว่ยเท่านั้นที่มีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับวงราชการ แต่หากอยากรู้เรื่องพวกนี้ ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองวัน
“พรุ่งนี้ลองไปดูที่จุดพักเปลี่ยนม้าก็ได้ ถ้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพักที่จุดพักเปลี่ยนม้า จะต้องไปเยี่ยมเยียนให้ได้”
…
ณ จุดพักเปลี่ยนม้า
รถม้าลดความเร็ว และจอดอยู่ด้านนอกจุดพักเปลี่ยนม้า
ผู้ตรวจการจางลงจากรถม้า สีหน้าเคร่งขรึม และกลับไปที่จุดพักเปลี่ยนม้าพร้อมกับเจียงลวี่จงที่ติดตามเขามา เวลานี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า
ผู้ตรวจการจางเหลือบมองคอกม้าที่อยู่ไกลออกไป มีม้าเพียงไม่กี่ตัวที่ถูกผูกไว้ที่นั่น หลังจากเข้าไปในจุดพักเปลี่ยนม้า และถามทหารประจำจุดพักเปลี่ยนม้าแล้ว จึงได้รู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเกือบทั้งหมดไปมั่วสุมกันอยู่ข้างนอก ไม่ได้กลับมาที่จุดพักเปลี่ยนม้า
ผู้ตรวจการจางซึ่งกลุ้มใจอยู่จึงได้พูดด้วยความโกรธเคืองว่า “เหลวไหล พวกเรารับพระบัญชาจากองค์จักรพรรดิ จะเกียจคร้านและเอาแต่เสพสุขเช่นนี้ได้อย่างไร ”
เจียงลวี่จงพูดยิ้มๆ ว่า “พวกเขาอัดอั้นอยู่บนเรือมาหลายวันแล้ว การผ่อนคลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ใต้เท้าผู้ตรวจการสบายดี คนอื่นๆ จะทำอะไรก็ไม่สำคัญ”
ทั้งสองขึ้นไปชั้นบน มีชายสวมกางเกงชั้นในเดินมาตามทางเดินอันมืดมิด เดินกอดอก ตัวสั่นเทาท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ
เจียงลวี่จงมีความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืน พูดด้วยความสงสัยว่า “เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่”
“ข้าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ อาบน้ำเย็น”
สวี่ชีอันซึ่งไม่ได้ค้างคืนที่สำนักสังคีตตอบคำถาม
“แล้ว?”
“ที่นี่คือภาคใต้” เขาพูดโดยไม่ทันคิด แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ “ทบทวนความรู้สึกในอดีต… ฆ้องทองคำเจียง ผู้ตรวจการจางพวกท่านกลับมาแล้วหรือ คนอื่นๆ ค้างคืนที่สำนักสังคีตกัน”
ผู้ตรวจการจางพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
“ทำไมเจ้าไม่ค้างคืนที่สำนักสังคีต” เจียงลวี่จงสังเกตสวี่ชีอันอย่างละเอียด เท่าที่เขารู้ เจ้าหมอนี่เป็นคนหนึ่งที่ช่ำชองเรื่องผู้หญิง
“การค้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับเงินนั้นล้วนเป็นเรื่องต่ำ และเป็นความชั่วร้าย ขอต่อต้านพฤติกรรมเช่นนี้อย่างเด็ดขาด” สวี่ชีอันกล่าวจบด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเดินจากไปไกล
เจียงลวี่จงมองตามหลังเขาไป คิดในใจว่า ‘เจ้าหมอนี่คงจะดื่มมากเกินไป จึงพูดจาเลอะเทอะ อีกอย่าง ทหารระดับหลอมจิตนั้นมีภูมิคุ้มกันต่อความหนาวเย็นและความร้อนมานานแล้ว แต่เขากลับแสร้งทำเป็นหนาวเหน็บ’
สวี่ชีอันเข้ามาในห้อง ปิดประตู แกล้งทำตัวสั่นอย่างสนุกสนาน ขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ม้วนตัวเข้ากับผ้าห่ม ทำเหมือนตัวเองอาศัยอยู่ในภาคใต้ที่หนาวเย็นและชื้น
พูดตามตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แล้ว แม้ว่าอวี่โจวจะไม่ใช่พื้นที่ชายฝั่งทะเล แต่ก็จัดว่าอยู่ทางภาคใต้ แตกต่างจากเมืองหลวงที่หนาวเข้ากระดูก ความหนาวเย็นในอวี่โจวจะเกาะติดกับผิวหนังและแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน
ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงภาคใต้ที่เขาเคยอาศัยอยู่ในชาติก่อน การอาบน้ำในฤดูหนาว ปิดน้ำร้อนถูสบู่ ถูไปตัวสั่นไป
อาบน้ำเสร็จก็สวมเสื้อผ้า สวมไปสวมไปน้ำมูกก็ไหลออกมา
น่าเสียดายที่ทหารระดับหลอมปราณนั้นสุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแกร่ง ปกติจะไม่รู้สึกหนาว ถึงแม้จะแช่อยู่ในน้ำแข็ง อย่างมากที่สุดก็แค่รู้สึกเย็นๆ
ห่อตัวด้วยผ้านวมแล้ว สวี่ชีอันก็หลับไปอย่างสบายใจ
…
แสงเทียนริบหรี่ ส่องแสงสลัวพลิ้วไหว
ผู้ตรวจการจางนั่งอยู่หน้าโต๊ะ หยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนข้อความลงในบนกระดาษ
‘กระหม่อมเดินทางผ่านอวี่โจว ได้สังเกตเห็นคดีทุจริตโดยไม่ได้ตั้งใจ เหยียนข่ายเจ้ากองส่งจากสำนักงานขนส่งแห่งอวี่โจว บงการพรรคธงเหลืองซึ่งเป็นพรรคในท้องถิ่นสังหารกองอารักขาเรือ ยักยอกแร่เหล็ก ลักลอบขนส่งไปยังอวิ๋นโจ…’
‘กระหม่อมได้อ่านสำนวนคดีเรือล่มของสำนักงานขนส่งแห่งอวี่โจว พบว่าภายในเวลาสิบปี มีคดีเรือล่มทั้งหมดสี่สิบสามคดี มีแร่เหล็กสูญหายไปสองล้านชั่ง จำนวนมหาศาล ทำให้ผู้คนโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง โจรปล้นชาติ ขุดรีดต้าฟ่ง รีดนาทาเร้นประชาชน ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก’
‘ในเขตแดนของอวี่โจว ภายในเวลาสิบปีมีแร่เหล็กสูญหายไปสองล้านชั่ง หากรวบรวมจากทั้งสิบหกแคว้นของต้าฟ่ง จะเป็นจำนวนมหาศาลเพียงใด กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบคดีเรือล่มของสำนักงานขนส่งทุกแคว้นในต้าฟ่งอย่างถี่ถ้วน’
‘อดีตเจ้ากรมแห่งกรมโยธาสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด แอบสนับสนุนโจรในอวิ๋นโจว เกรงว่าจะมีแผนทรยศบ้านเมือง นอกจากนี้ ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันฉลาดเกินใคร มีความสามารถโดดเด่น เป็นเสาหลักของชาติ การสืบสวนคดีครั้งนี้ คนผู้นี้มีความดีความชอบมากที่สุด’
‘การเดินทางไปอวิ๋นโจวอันตรายอย่างไม่อาจคาดเดาได้ กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ จะตั้งใจทำงานจนตัวตาย’
…
พลบค่ำวันต่อมา คนทั้งคณะเดินทางออกจากอวี่โจว โดยสารเรือเดินทางต่อไปยังอวิ๋นโจว
ในตอนกลางวันสวี่ชีอันพากองทหารพยัคฆ์ทะยานและสหายร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไปซื้อของกินของใช้เช่นผักตามฤดูกาล เหล้า และข้าวสารในเมือง
ใช้งบของสำนักงานขนส่ง เท่ากับของฟรี
คืนวันนั้น พ่อครัวบนเรือทำอาหารเย็นมากมายให้กับคณะผู้แทนพระองค์ หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว สวี่ชีอันก็นั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจอยู่ในห้อง
“หนิงเยี่ยนเอ๋ย เมื่อคืนเจ้าไม่ได้หลับนอนร่วมกับคณิกาที่สำนักสังคีต ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก” แม้แต่ซ่งถิงเฟิงยังรู้สึกเสียดายแทนเพื่อนร่วมงาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง