สรุปตอน บทที่ 188 ใต้เท้าผู้นี้คือ... – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
ตอน บทที่ 188 ใต้เท้าผู้นี้คือ... ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
หยางกงเป็นใครไม่รู้หรอก แต่เมื่อพูดถึงฆราวาสจื่อหยาง ชื่อนั้นก็ดังก้องหูประหนึ่งฟ้าร้อง เจ้านี่ฉวยโอกาสที่ตนลืมชื่อกลอนเลี้ยงส่งบทนั้น บังคับให้ตั้งชื่อกลอนหลังจากเอ้อร์หลางอ่านจบ
ช่างไร้ยางอายที่สุด
ภายหลังสวี่ชีอันใช้บทกลอนไว้อาลัยแก่สามนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนัก จากนั้นก็ปอกลอกพวกนั้นอย่างสบายใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ได้ฆราวาสจื่อหยางชี้ทางสว่างให้ ในใจจึงไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อย
ผู้คนในยุทธภพล้วนปลิ้นปล้อน ไม่ใช่เจ้าก็เป็นข้าที่จะตกเป็นเหยื่อ
เขาจ้างรถม้าแถวท่าเรือ หลังจากที่ผู้ตรวจการจางเข้าไปนั่งก็เลิกม่านรถพร้อมกล่าวต่อ “ฆราวาสจื่อหยางคือบัณฑิตจอหงวน 14 ปีของหยวนจิ่ง ลาออกจากราชการในปีถัดมา อบรมสั่งสอนผู้คนอยู่ที่สำนัก ลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง”
สวี่ชีอันใจเต้น “ลาออกจากราชการในปีถัดมาหรือขอรับ”
บัณฑิตจอหงวนเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้ ขนาดบัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการประจำสำนักบัณฑิตฮั่นหลินยังถูกเรียกว่าอัครมหาเสนาบดี นั่นก็แปลว่าบัณฑิตจอหงวนสามารถชิงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการได้เลย
ลาออกจากราชการในปีถัดมาเนี่ยนะ จะเป็นลม!
“ถูกเลื่อยขาเก้าอี้ในสงครามพรรคการเมืองในท้องพระโรง อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าสงครามพรรคการเมืองแต่ละพรรคกำลังดุเดือด ทันทีที่ต้องเผชิญกับปัญญาชนจากสำนักอวิ๋นลู่ หัวหอกก็หันไปภายนอกพร้อมเพรียงกัน[1]” ผู้ตรวจการจางทอดถอนใจ
“หลังจากฆราวาสจื่อหยางเข้ารับตำแหน่งจอหงวน ก็ถูกทิ้งไว้ที่ซอกมุม ไม่มีผู้ใดเหลียวแล ด้วยเหตุนี้เขาจึงหมดอาลัยตายอยากอยู่หนึ่งปี เที่ยวเตร่สำนักสังคีตไปวันๆ ปีถัดมาก็ลาออกจากราชการ แล้วกลับไปสอนที่สำนักอวิ๋นลู่”
…ข้าเคยได้ยินว่ากินฟรีไปเกือบหนึ่งปี สวี่ชีอันนึกอิจฉาจากใจจริง
เรื่องที่ฆราวาสจื่อหยางถูกเลื่อยขาเก้าอี้จากพรรคการเมืองต่างๆ ในท้องพระโรง ผู้ตรวจการจางนอกจากทอดถอนใจก็ไม่ได้อธิบายเกินกว่านี้
สวี่ชีอันมีเจ้าน้องชายอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่ จึงเข้าใจโดยกระจ่างแจ้ง
เหตุการณ์ศึกชิงบัลลังก์เมื่อสองร้อยปีก่อน ทำให้ราชวงศ์ทั้งหวาดกลัวทั้งรังเกียจปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ ดังนั้นรองปราชญ์เอกสกุลเฉิงจึงลุกขึ้นก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง เพื่อผลิตอัจฉริยบุคคลให้แก่ราชสำนักแทนสำนักอวิ๋นลู่
กล่าวได้ว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายมีทั้งความขัดแย้งทางผลประโยชน์และความคิดด้านลัทธิเต๋า หากจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่คนบ้าสมดุล ป่านนี้ฆราวาสจื่อหยางก็คงจะยังคงอบรมสั่งสอนผู้คนในสำนักต่อไป
“พรสวรรค์และฝีไม้ลายมือของฆราวาสจื่อหยางกล่าวได้ว่าเป็นเลิศในใต้หล้า ยามที่เขามาถึงชิงโจวในคราแรกก็ใช้อานุภาพแห่งอสนีบาตกวาดล้างที่ว่าการมณฑล ภายในหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ขุนนางที่ทุจริตรับสินบนทั้งหมด 178 คนก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกส่งเข้าคุก ทำให้วงราชการของชิงโจวทั้งหมดสั่นคลอน” น้ำเสียงของผู้ตรวจการจางเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส
มุทะลุเช่นนี้เลยหรือ แม้จะเป็นขุนนางหน้าใหม่ไฟแรง ทว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกส่งมาประจำการนอกเมืองหลวงคนหนึ่ง แม้อยากจะกวาดล้างขุนนางของชิงโจวก็ควรจะค่อยๆ วางแผนการสิ…ฆราวาสจื่อหยางได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในราชสำนักและกลายเป็นสมุหเทศาภิบาลของชิงโจวนานเท่าไรกัน
สวี่ชีอันนึกสงสัยอยู่ในใจ แล้วขมวดคิ้วเอ่ย “แต่ละพรรคในท้องพระโรงยอมให้เขากระทำการใหญ่เช่นนี้หรือขอรับ”
ผู้ตรวจการจางยิ้มพลางเอ่ย “ระหว่างตรวจสอบข้าราชการ สงครามพรรคการเมืองในท้องพระโรงดุเดือด มิอาจร่วมมือกันได้อีก ทั้งยังมีการควบคุมของเว่ยกง…”
เขาส่งสายตา ‘ทำความเข้าใจเอาเอง’ ให้สวี่ชีอันแล้วกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ในความมุทะลุของฆราวาสจื่อหยางยังมีความรอบคอบอยู่ หลักฐานกระทำผิดที่ควรมีก็เสาะหามาได้ แถมยังบีบให้พวกขุนนางกังฉินคายคำพูดที่เป็นหลักฐานได้ด้วย…อืม ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ชำนาญด้านเหตุผลที่สุดมิใช่หรือ”
‘เหตุผล’ จากปากของใต้เท้าคือเหตุผลทางฟิสิกส์สินะ…สวี่ชีอันซาบซึ้ง แล้วสบตากับผู้ตรวจการจางพลางหัวเราะ
หลังจากมาถึงจุดพักม้าที่ดำเนินการโดยรัฐของชิงโจว ผู้ตรวจการจางตั้งใจพาสวี่ชีอันมุ่งไปยังที่ว่าการมณฑลเพื่อเยี่ยมเยียนฆราวาสจื่อหยางโดยเฉพาะ
บัดนี้สวี่ชีอันเข้าใจเหตุผลที่ผู้ตรวจการจางเป็นฝ่ายชวนสนทนาผูกไมตรี ผู้ตรวจการผู้มีประสบการณ์แก่กล้ากลัวฆราวาสจื่อหยางจะไม่เล่นด้วย จึงลากเขามาด้วยกัน
อย่างไรเสียผู้ตรวจการคนนี้ก็ลาดตระเวนที่อวิ๋นโจวมิใช่ชิงโจว
มีสวี่ชีอันตามมาด้วย ฆราวาสจื่อหยางต้องไว้หน้าและตอบรับคำขออย่างแน่นอน
เมื่อเข้าสู่ที่ว่าการมณฑล เจ้าพนักงานก็นำบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไปในโถงด้านใน นั่งลงรินชา
“ท่านสมุหเทศาภิบาลไปตรวจสอบเรื่องของแผ่นจารึกเตือนใจที่ทำการปกครองใหญ่”
ผู้ที่มาต้อนรับพวกเขาคือรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายของที่ว่าการมณฑล ขุนนางระดับสี่ชั้นโท
ผู้ตรวจการจางเอ่ยพึมพำ “หมายถึงศิลาจารึกที่ตั้งอยู่หน้าสำนักนั่นหรือ”
รองเสนาบดีฝ่ายซ้ายยิ้มพร้อมพยักหน้า “ท่านสมุหเทศาภิบาลต้องการสร้างแผ่นจารึกเตือนใจเพื่อเตือนเหล่าขุนนางจำนวนมากของชิงโจว ให้ขุนนางซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา สร้างความผาสุกแก่ท้องถิ่น”
ผู้ตรวจการจางพยักหน้า นี่เป็นควันหลงหลังจากกระแสนิยมการกวาดล้างขุนนาง “สมุหเทศาภิบาลทุ่มเทแรงกายแรงใจกระทำการนี้ แต่เหตุใดบนแผ่นจารึกเตือนใจจึงว่างเปล่าไร้ตัวอักษร”
รองเสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านสมุหเทศาภิบาลยังคิดไม่ออกว่าจะสลักอะไร หมู่นี้ก็กลัดกลุ้มกับเรื่องนี้ ขอให้พวกเราระดมความคิด หาแรงบันดาลใจ แม้กระทั่งพวกเรายังเหนื่อยใช้สมองอย่างหนัก”
ฆราวาสจื่อหยางช่างเลิศล้ำ เข้าใจจัดกิจกรรมเขียนเรียงความ…สวี่ชีอันคิดในใจ
อาณาเขตของต้าฟ่งแบ่งเป็น 16 เมือง สวี่ชีอันเข้าใจว่าเมืองคือมณฑล ทว่าไม่ใช่ทุกเมืองจะเป็นมณฑล ยังมีเมืองเล็กอีกมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น มีสิบกว่าเมืองขึ้นตรงต่อชิงโจว นอกจากนี้ยังมีจังหวัดและอำเภอเป็นอาทิ
…
หยางกงสมุหเทศาภิบาลคนปัจจุบันนำเหล่าขุนนางของชิงโจวทั้งหลายเข้ามาในที่ว่าการเมืองชิงโจว ท่านข้าหลวงของที่ว่าการเมืองคอยตามเขาอยู่ข้างกายอย่างนอบน้อม
หยางกงอยู่ในชุดคลุมสีแดงยืนอยู่หน้าแผ่นจารึก แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ใต้เท้าทุกท่านมีข้อเสนอสำหรับอักษรจารึกหรือไม่”
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน กลิ่นอายความสง่าลุ่มลึกที่คอยอบรมสั่งสอนผู้คนเช่นนั้นค่อยๆ จางหายและแทนที่ด้วยขุนนางบ้าอำนาจผู้ปกครอง
“ข้าน้อยคิดว่าสลักเรื่องที่ท่านสมุหเทศาภิบาลกวาดล้างขุนนางทุจริต คอยประคับประคองสายลมอันชอบธรรมไว้บนจารึกเพื่อตักเตือนคนรุ่นหลัง” ข้าหลวงชิงโจวคารวะพร้อมเอ่ย
หยางกงคล้อยตามเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้อักษรจารึกจะถูกบันทึกไว้ในอักขรานุกรมท้องถิ่นของชิงโจว ให้คนรุ่นหลังกล่าวขานอย่างแพร่หลาย
ทว่าเขาก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างรวดเร็ว “อักษรจารึกไม่ควรยาวเกินไป มิฉะนั้นจะซับซ้อนยืดยาว ไม่สะดุดตามากพอ”
“เช่นนั้นก็สลักบทกลอนเถิด” ขุนนางท่านหนึ่งกล่าวโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเขาก็พบว่าทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจ้องมาที่เขาด้วยสายตาอันราบเรียบ…
ขุนนางผู้นี้หัวเราะแห้งแล้วไม่กล่าวสิ่งใดอีก
สำหรับปัญญาชนที่ช่ำชองบทกวี การแต่งกลอนก็คงไม่ยาก สมัยเยาว์วัยใครจะไม่มีผลงานบ้าง แต่จะควรค่าหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เฉกเช่นบทกวีที่สลักไว้บนอักษรจารึกนี้ ไม่เพียงจะต้องแต่งได้ดี ยังต้องมีหน้าที่เตือนสติปุถุชนด้วย ใช่ว่าอยากจะเขียนก็เขียน
สวี่ชีอันรู้จักเพียงเครื่องแต่งกายไม่รู้จักคน เดาว่าชุดคลุมแดงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจผู้นี้น่าจะเป็นสมุหเทศาภิบาลแห่งชิงโจว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ ฆราวาสจื่อหยางที่เอาบทกวีอำลาของไปเขาไปฟรีๆ
หลังแสดงคารวะกับผู้ตรวจการจาง ฆราวาสจื่อหยางก็เบือนสายตาสำรวจสวี่ชีอันมองที่อยู่ในเครื่องแบบสีดำ ผูกฆ้องทองแดงบนหน้าอกอย่างเงียบๆ
บัดนี้เขากลับไม่ตื่นเต้น ในความอ่อนโยนแฝงด้วยความน่าเกรงขาม
…มีเพียงฆ้องทองแดงเช่นเขาคนเดียว คิดๆ ดูแล้วถึงจะเป็นญาติผู้น้องของสวี่ฉือจิ้ว…แต่มองจากโฉมภายนอกเพียงอย่างเดียว ทั้งสองพี่น้องไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย…เทียบกับฉือจิ้ว ยังห่างชั้นกันมากนัก…หยางกงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าก็คือสวี่หนิงเยี่ยนสินะ”
สวี่ชีอันรีบคารวะ “ข้าน้อยเองขอรับ”
“ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องเกร็งมาก คิดเสียว่าตนเป็นนักเรียนก็ได้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางกงขยายกว้างพร้อมเอ่ย “สมเป็นผู้มีพรสวรรค์ไม่แพ้ฉือจิ้วจริงๆ”
สายตาของฆราวาสจื่อหยางยอดเยี่ยมจริงๆ…สวี่ชีอันเอ่ยด้วยความปลาบปลื้ม “ใต้เท้ากล่าวชมเกินไปแล้ว”
หลังจากกล่าวทักทายพอเป็นพิธีอยู่พักหนึ่ง หยางกงก็เอ่ยถามสถานการณ์ปัจจุบันของเมืองหลวง แม้ว่าเขาจะส่งสารผ่านสำนัก รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ไม่น้อยก็ตาม
การพาสวี่หนิงเยี่ยนมาเยี่ยมเยียนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ มิฉะนั้นสมุหเทศาภิบาลคงไม่มีท่าทีเช่นนี้… ผู้ตรวจการจางทอดถอนใจ “สถานการณ์ในเมืองหลวงอลหม่าน สงครามพรรคการเมืองยังคงดุเดือด…”
จากนั้นก็กล่าวถึงคดีซังผอต่อเนื่องไปจนถึงคดีอวิ๋นโจวของเจ้ากรมกรมโยธา
ฆราวาสจื่อหยางได้ฟังก็ยิ้มเยาะไม่หยุด แต่กลับไม่ได้ประเมินสถานการณ์ในท้องพระโรงจนเกินควร เหตุผลหลักคือผู้ตรวจการจางมิใช่คนของตน หากตรงนี้มีเพียงสวี่ชีอัน เขาก็คงพูดออกมาตรงๆ แล้ว
หลังตะวันลาลับ ฆราวาสจื่อหยางจัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้ตรวจการจางที่ลานเล็กอันงามวิจิตร เจียงลวี่จงก็ได้รับเชิญเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีข้าหลวงชิงโจวและขุนนางระดับสูงอีกจำนวนมาก
แสงไฟภายในลานเล็กสว่างไสว ม่านผืนใหญ่ห้อยลง เหล่าขุนนางนั่งลงที่โต๊ะยาว ร่ำสุราพูดคุยกันอย่างสำราญใจ
วงดนตรีและนางระบำเชิญมาจากสำนักสังคีตร่ายระบำอย่างพลิ้วไหวอยู่ในลานบ้านอันหนาวเหน็บ เพิ่มความสนุกสนานให้กับเหล่าใต้เท้า
อันที่จริงสำนักสังคีตในแรกเริ่มเป็นฝ่ายให้ความบันเทิงทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว ร้องรำทำเพลงเพิ่มความสนุกสนานเฉพาะบนโต๊ะอาหารของวงราชการ ต่อมาจึงค่อยๆ พัฒนาเป็นหอนางโลมที่ดำเนินการโดยรัฐ
เหล่าพี่สาวขายตั้งแต่ศิลปะยันเรือนร่าง ถูกบังคับให้ทำการค้า
บุคคลสำคัญของงานเลี้ยงคือสมุหเทศาภิบาลหยางกงและผู้ตรวจการจางสิงอิง ส่วนเจียงลวี่จงแม้จะเป็นฆ้องทองคำฝีมือเหนือชั้น ทว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับขุนนางบุ๋นเป็นปฏิปักษ์กันโดยธรรมชาติ จึงไม่มีใครสนใจเขา
เดิมทีสวี่ชีอันคิดว่าตนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน หาความสุขสำราญไปตามสบาย ไม่ต้องไปสนใจคบค้าสมาคมกับพวกขุนนาง
ใครจะรู้ว่าขุนนางที่สวมชุดคลุมแดงลวดลายถักรูปห่านงดงามผู้หนึ่งจะชูแก้วส่งสัญญาณมาทางสวี่ชีอันและกล่าวหยั่งเชิง “ใต้เท้าผู้นี้เป็นผู้แต่งบทกลอน ‘เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ ใช่หรือไม่”
……………………………………….
[1] หมายถึง ยุติความขัดแย้งภายในชั่วคราวและร่วมกันเผชิญกับศัตรูภายนอก
[2] กติกาซ่อนเร้น หมายถึง คนใหญ่คนโตหรือผู้มีอำนาจหวังเคลมเด็กหน้าใหม่หรือผู้มาใหม่ที่ใช้ทางลัด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...