ใหญ่คือใหญ่ เล็กคือเล็ก มีทั้งใหญ่และเล็กคือกระบองทอง…สวีชีอันพูดแขวะขุนนางขั้นสี่ที่เรียกเขาผู้นี้ในใจ แล้วส่งยิ้มกลับ
“ข้าน้อยมิบังอาจถูกเรียกว่าใต้เท้า กลอนบทนั้นข้าน้อยเป็นผู้แต่งเองขอรับ”
โอ้ เป็นเขาจริงด้วย…เหล่าขุนนางทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสีในทันใด
ยามที่เพิ่งได้ยินชื่อของสวี่ชีอัน พวกเขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทว่าก็รู้สึกว่าชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก หลังจากใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เป็นเวลานาน ก็พอจะคาดเดาตัวตนของฆ้องทองแดงแปลกประหลาดผู้นี้ได้
จากความแพร่หลายของผลงานชิ้นเอกหลายชิ้นของสวี่ชีอัน แม้วงราชการและเหล่าปัญญาชนจะไม่ได้ตั้งใจเผยแพร่ชื่อเสียงของเขา ทว่าผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นขุนนางระดับสูงของเมือง ย่อมมีช่องทางเหมาะๆ ให้สืบหาต้นตอของกวี
มิน่าเล่าหลังจากท่านสมุหเทศาภิบาลได้ยินชื่อนี้ก็รุดมาราวกับโดนไฟจี้ไฟลน
‘ศาลาเหมียนหยางส่งหยางกงสู่ชิงโจว’ แพร่หลายไปทั่วประเทศมานานแล้ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เพิ่งจะได้เป็นขุนนางก็มีผลงานเอกชิ้นนี้เบิกทางขึ้นเป็นผู้นำ เรียกได้ว่าใช้ประโยชน์จากความสามัคคีของผู้คนอย่างเต็มที่ทีเดียว
ทั้งหมดนี้ล้วนยกให้ฆ้องทองแดงนามว่าสวี่ชีอันตรงหน้าผู้นี้
“เลื่อมใสชื่อเสียงมาเนิ่นนาน ภาพลักษณ์ภูมิฐาน โดดเด่นท่ามกลางหมู่ชน”
ข้าหลวงชิงโจวหัวเราะชอบใจ เอ่ยคำเยินยอด้วยท่าทีเปิดเผยไร้เล่ห์เหลี่ยม ฝีมือการยกยออยู่ในระดับสูงสุดยอด
ชมกันเกินไปแล้วๆ…ไม่เพียงโดดเด่นท่ามกลางหมู่ชน ยังโดดเด่นท่ามกลางหมู่ยอดคนอีกด้วย สวี่ชีอันต้องจำใจยอมรับ หากเปลี่ยนตำแหน่งตนจะกลายเป็นจุดสนใจ เช่นนั้นงานเลี้ยงของเหล่าขุนนางอันน่ารังเกียจก็จะมีชีวิตชีวาน่าสนใจขึ้นในทันที พลางคิดว่าจะดีสักเพียงใดหากยืดเวลาออกไปได้ตลอด
เมื่อข้าหลวงชิงโจวดื่มสุราหมดก็ชายตามองหยางกงสมุหเทศาภิบาลที่อยู่หัวโต๊ะ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีฝีไม้ลายมือชั้นยอดคนนี้ บัดนี้สลัดภาพขุนนางบ้าอำนาจที่น่าอึดอัดออก ท่าทางผ่อนคลายขึ้น
วินาทีนี้ข้าหลวงชิงโจวพลันนึกถึงแผ่นจารึกเตือนใจที่น่าปวดหัวขึ้นมา อันที่จริงการแต่งบทกวีเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เรียบง่ายสะดุดตา เบิกทางสว่างให้ตระหนักคิดได้
เพียงแต่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์หาได้ยาก จึงปัดตกความคิดนี้ แต่ตอนนี้ต่างออกไป สวี่ชีอันมาถึงแล้ว
มาได้ถูกจังหวะพอดี
‘สวี่ชีอันผู้นี้มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์มากทีเดียว…ท่านสมุหเทศาภิบาลกลุ้มใจกับอักษรจารึกอยู่พอดี แม้แต่พวกเราต่างก็ปวดหัวไปด้วย…ให้อัจฉริยบุรุษผู้นี้ปวดประสาทแทนพวกเราไม่ดีกว่าหรือ อืม ท่านสมุหเทศาภิบาลใช่ว่าจะไม่มีความคิดเช่นนี้ ทว่าในฐานะผู้อาวุโสของเมืองอาจจะเป็นการเสียหน้า ยากจะเอื้อนเอ่ย’…ข้าหลวงชิงโจวปรับความคิด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่านข้าหลวงก็ยิ้มพลางกล่าว “ใต้เท้าสวี่ยังฝากผลงานชั้นยอดอะไรไว้ที่เมืองหลวงอีกบ้าง”
เขาถามเล่นๆ หากอีกฝ่ายบอกปัดว่าไม่มี เขาก็อาศัยสิ่งนี้ต้อนสวี่ชีอันให้จนมุม ร่วมมือกับเหล่าขุนนางพากันเอะอะโวยวายยุให้เขาแต่งกลอนเสียตรงนั้นเลย จากนั้นก็ให้ ‘หัวข้อ’ อย่างเป็นธรรมชาติ
คล้ายกับอุบายที่เห็นกันจนคุ้นชินบนโต๊ะอาหาร เพียงแต่ตามปกติจะใช้ชักชวนให้ดื่มสุรา ทว่าตอนนี้เพื่อให้แต่งกลอน แค่จุดประสงค์ต่างออกไปก็เท่านั้น
…คิดจะมาเอากลอนฟรีจากข้าอีกแล้วหรือ สวี่ชีอันคิดจะบอกปัดว่า ‘ไม่มี’ ใครจะรู้ว่าผู้ตรวจการจางจะชิงต่อประเด็นสนทนาไปก่อนพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังมีอยู่ๆ”
ขุนนางตรงนั้นจ้องมองมาด้วยความสนใจอย่างเหลือล้น รวมถึงฆราวาสจื่อหยางด้วย
ปัญญาชนจะไม่มีบทกวีดีๆ ได้อย่างไรกัน
ผู้ตรวจการจางแย่งความสนใจกลับมาอย่างง่ายดาย จิบสุราพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทว่ามีเพียงครึ่งบท เพิ่งจะเป็นที่แพร่หลายในเมืองหลวงไม่นาน คิดว่าท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยได้ยิน”
“หือ มีเพียงครึ่งบทหรือ”
“ท่านผู้ตรวจการรีบบอกเร็ว ข้าน้อยจะล้างหูตั้งใจฟังอยู่”
เหล่าขุนนางไม่ได้ดูถูกเพราะมีครึ่งบทแต่กลับยิ่งใคร่รู้ กลอนครึ่งบทนี้จะต้องเป็นผลงานชั้นยอดเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นลำพังเพียงครึ่งบทจะแพร่หลายไปทั่วเมืองหลวงได้อย่างไร หากไม่ดีก็ไม่ควรค่าให้ท่านผู้ตรวจการหยิบมาพูดต่อหน้าสาธารณชน
ครึ่งบท…หยางกงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสวี่ชีอัน แล้วหันกลับมามองผู้ตรวจการจาง
ผู้ตรวจการจางวางแก้วลงพร้อมกระแอมกระไอ เมื่อวางมาดได้แล้วจึงมองไปรอบๆ ฝูงชนแล้วเอ่ยเสียงดัง “หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา”
บัดนี้ระบำสิ้นสุดลงพอดี เสียงบรรเลงค่อยๆ เงียบลง
บนโต๊ะอาหารตกอยู่ในความเงียบ เหล่าขุนนางดื่มด่ำกับกลอนครึ่งบทนี้ รู้สึกถึงเพียงความสง่างามอันเหนือความเป็นจริงที่ปะทะเข้ามา โดยไม่คะนึงถึงชื่อเสียงเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่คะนึงผลได้ผลเสีย
หลังจากเมามายก็นอนอยู่ในเรือสำปั้นสวน ทอดมองหมู่ดาวเหนือศีรษะ ร่างสูงเจ็ดฉื่อ (1 ฉื่อประมาณ 33.33 เซนติเมตร) ร่างกายทับอีกฟากของหมู่ดาว กลิ่นอายแห่งความอิสระและชีวิตชีวาบังเกิดขึ้นโดยปริยาย
บ้างก็อิ่มเอมใจและมึนเมา บ้างก็อดไม่ได้ที่หันไปมองสระน้ำเล็กในลาน ในนั้นมีดอกบัวสีแดงเพลิงเป็นกลุ่มก้อนงอกงามอยู่ น่าเสียดายที่สระน้ำเล็กเกินไป
ฆราวาสจื่อหยางปรบมือเอ่ย “บทกลอนนี้ปณิธานสูงส่ง เป็นจุดสูงสุดของบทกวีในราชวงศ์อายุเกือบสองร้อยปีนี้ ช่างวิเศษเสียนี่กระไร”
เขาดื่มสุราสามแก้วในรวดเดียว ดื่มสุราเคล้าบทกวี สำราญใจยิ่งนัก
เมื่อดื่มเสร็จเขาก็จ้องมองสวี่ชีอันตาเป็นประกาย “บทกวีนี้เป็นที่เลื่องลือหรือไม่”
ไอ้**…เจ้าปล้นข้าไปรอบหนึ่งยังไม่พออีกหรือ ข้ามันไม่มีศักดิ์ศรีหรือไง…สวี่ชีอันเกือบอยากจะพ่นน้ำเกลืออัดลมใส่หน้าเขาสักที แล้วเอ่ยเสียงขรึม “แน่นอนอยู่แล้วขอรับ”
ฆราวาสจื่อหยางผิดหวังเล็กน้อย พยักหน้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ แล้วบ่นพึมพำราวกับมึนเมา
เมื่อเห็นว่าพอหอมปากหอมคอแล้ว ข้าหลวงชิงโจวจึงประคองแก้วขึ้นพร้อมกล่าวประจบ “บังเอิญเสียจริง สมุหเทศาภิบาลกำลังอยากสร้างแผ่นจารึกเตือนใจที่ลานหน้าที่ทำการปกครองแต่ละแห่ง ยังไม่ได้กำหนดอักษรจารึก ไม่ทราบว่าใต้เท้าสวี่ช่วยเขียนกลอนสักหนึ่งบทได้หรือไม่”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เกือบทุกคนต่างจ้องมองสวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว
ฆราวาสจื่อหยางไม่ได้คล้อยตามแต่ก็ไม่ได้ห้ามเช่นกัน จ้องมองฆ้องทองแดงตัวจ้อย ด้วยรอยยิ้มโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
สุราแก้วหนึ่งก็คิดอยากได้กลอนของข้า ข้ามิใช่คนเช่นนั้น…สวี่ชีอันทอดถอนใจ
“ข้าน้อยติดตามท่านผู้ตรวจไปสืบคดีที่อวิ๋นโจว อนาคตมิอาจคาดการณ์ จิตใจร้อนรุ่ม จะมีแรงและอารมณ์ที่ไหนไปแต่งกลอน ต้องขออภัยใต้เท้าทั้งหลายด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง