สวี่ชีอันสูดหายใจลึกอย่างเงียบๆ ดมกลิ่นอันหอมหวน
“อวิ๋นโจวมากด้วยภูเขา ไม่ใช่ป่าดงดิบที่กว้างใหญ่เหมือนซินเจียงตอนใต้เช่นนั้น อบอวลไปด้วยอากาศที่เป็นพิษ ในภูเขาท่วมท้นไปด้วยสมุนไพร ผลิตผลอุดมสมบูรณ์” ฆราวาสจื่อหยางทอดมองบัวแดงที่ดารดาษเต็มสระแล้วเอ่ยต่อ
“อวิ๋นโจวก็มีนาดีอันอุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกัน ปริมาณน้ำเต็มเปี่ยม แม้ข้าวที่ผลิตในทุกปีจะเทียบอวี้โจวและจางโจวภูมิภาคทั้งสองที่ถูกขนานว่าเป็นฉางข้าวแห่งต้าฟ่งไม่ติด ทว่าข้าวของอวิ๋นโจวในแต่ละปีเลี้ยงคนสองเมืองได้อย่างเหลือเฟือ”
…ดูเหมือนว่าอวิ๋นโจวน่าจะมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเนินเขา สวี่ชีอันพยักหน้าทันที
ในบรรดาลักษณะภูมิประเทศพื้นฐานของห้าแผ่นดินใหญ่ เนินเขาอุดมสมบูรณ์ที่สุด ผลผลิตล้นหลามที่สุด อู่ข้าวอู่น้ำที่เรียกกันในภพก่อนก็คือเนินเขาที่เจียงหนาน
อวี้โจวและจางโจวฉางข้าวแห่งต้าฟ่งทั้งสองอยู่ในที่ราบ ลักษณะภูมิประเทศของซินเจียงตอนใต้เป็นเทือกเขา ทั่วทุกแห่งล้วนเป็นภูเขาสูง นาดีมีอยู่ไม่มาก
ฆราวาสจื่อหยางเอ่ยเสียงขรึม “อวิ๋นโจวยังมีภูมิประเทศได้เปรียบอยู่ มันติดกับทะเลใต้ ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าหลัง หากล่าถอยไม่ได้จริงๆ ก็ยังออกเรือได้ ความขัดแย้งที่ชายแดนระหว่างสำนักพ่อมดกับต้าฟ่งนับวันเริ่มรุนแรงขึ้น หากพวกเขาอยากสร้างสงครามกลางเมือง ทำให้ต้าฟ่งเอาตัวไม่รอด การเลือกอวิ๋นโจวก็เป็นการกระทำที่ฉลาด”
ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าการเดินทางมาอวิ๋นโจวเที่ยวนี้เป็นการเดินทางมาตายยกกลุ่ม เฮ้ยๆๆ คำพูดเด็กอย่าไปถือสาๆ…
“ไม่ต้องเป็นห่วง” ราวกับมองเห็นความกังวลของสวี่ชีอัน ฆราวาสจื่อหยางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้ต้าฟ่งจะมีปัญหาร้ายแรง ทว่าส่วนใหญ่ยังคงเงียบสงบ ยังหลงเหลือความน่าเกรงขามของราชสำนักอยู่ ถึงแม้สำนักพ่อมดจะวางแผนแฝงตัวที่อวิ๋นโจว ก็ทำได้เพียงแต่หลบอยู่ในมุมมืด ไม่ออกมาที่แจ้ง ช่วงนี้ไม่มีอะไรทำจึงฝึกอินทรีไว้สองสามตัว ประเดี๋ยวจะแบ่งให้เจ้าตัวหนึ่ง หากอวิ๋นโจวเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ใช้อินทรีส่งสาร ย่อมเร็วกว่าเดินม้าส่งสาร”
ทว่าเร็วเพียงใด การจะไปหรือกลับก็ต้องใช้เวลาเป็นวัน…โลกที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือไม่มีความปลอดภัยจริงๆ หากในมือมีเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีสักชิ้นก็คงดี…สี่ชีอันเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณอาจารย์สำหรับความกรุณา”
เขาชะงักพร้อมเอ่ยถาม “ไปอวิ๋นโจวแล้ว ข้าควรทำอย่างไรบ้าง”
“ตรวจสอบคดีและปกป้องจางสิงอิงให้ดี ส่วนการสมาคมในวงขุนนาง เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ” ฆราวาสจื่อหยางหัวเราะหึๆ พร้อมเอ่ย
“ในเมื่อเว่ยเยวียนแต่งตั้งจางสิงอิงเป็นผู้ตรวจการ คนผู้นี้ย่อมไม่ใช่พวกมือสมัครเล่น”
สวี่ชีอันพยักหน้า
เมื่อกล่าวจบฆราวาสจื่อหยางบ่นพึมพำชั่วครู่ “ข้ากับจิ่นเหยียนส่งจดหมายไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ในจดหมายมักเอ่ยถึงเจ้าเสมอ เจ้าก็ถือเป็นนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ครึ่งหนึ่ง…ข้าได้ข่าวว่าปราณใสทะลวงสู่ฟ้าที่สำนักเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหรือ”
จิ่นเหยียนเป็นใคร อ้อๆ เป็นอาจารย์ของเอ้อร์หลาง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น…เพราะไม่คุ้นชินกับการเรียกชื่อ สวี่ชีอันจึงใช้เวลาหลายวินาทีจึงจะตอบสนองว่า ‘จิ่นเหยียน’ คือใคร
ฆราวาสจื่อหยางพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร…สำนักอวิ๋นลู่ไม่ได้บอกความจริงกับเขาหรือ หรือเขารู้ว่าข้าเป็นคนทำ จึงกล่าวเช่นนี้เพื่อบอกเป็นนัยแก่ข้า ทว่าไม่มีความจำเป็นที่จะบอกเป็นนัยนี่นา…เพราะการส่งจดหมายไปมาหาสู่ไม่อาจเก็บความลับได้ ดังนั้นเหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่เพียงกล่าวถึงในจดหมาย แต่กลับไม่ได้บอกความจริงหรือ
เขาเอ่ยอย่างพิจารณา “เรื่องนี้เหมือนจะถูกสำนักจัดเป็นความลับสุดยอด ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอกยังคงถูกสั่งปิดจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
เมื่อกล่าวถึงสถานที่นี้ สวี่ชีอันก็นึกถึงรองปราชญ์เอกที่กลับดำเป็นขาวผู้นี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เป็นบุรุษผู้เกริกก้องจริงๆ เพราะเขามักยืนอยู่ด้านหลังภรรยาตลอด
ฆราวาสจื่อหยางพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ
สวี่ชีอันกลับมีบางสิ่งอยากขอคำแนะนำจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาคิดสักพักและคิดจะถามคำถามข้อแรกก่อน
“ท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้เพราะคดีซังผอ ข้าจึงท้าทายอ่านหนังสือดึกดื่นพลิกอ่านตำราประวัติศาสตร์ พบว่าก่อนที่สมุหราชเลขาธิการของพวกเราจะทำลายศาสนาพุทธก็เคยกู่ร้องคำขวัญ ‘หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ’ ออกมา หลังจากนั้นสมุหราชเลขาธิการผู้นั้นก็เลื่อนขั้นเป็นระดับก่อชะตา ศิษย์คิดว่าแม้ศาสนาพุทธจะมีข้อเสียมากมาย ถึงอย่างไรมันก็สืบทอดจากสำนักเก่าแก่ ‘หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ’…เป็นความคิดที่สุดโต่งเกินไปหรือไม่”
สวี่ชีอันไม่รู้ว่าศาสนาพุทธของโลกนี้ต่างจากศาสนาพุทธของภพก่อนอย่างไร โลกนี้ไม่มีพระอมิตาภพุทธะมีเพียงพระพุทธเจ้า
แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ศาสนาพุทธก็ไม่ถึงกับเป็นลัทธินอกรีต
“เรื่องนี้เป็นความลับ ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” ฆราวาสจื่อหยางเอ่ย
เจ้าไม่รู้ เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นความลับ สวี่ชีอันปากพล่อยผู้นี้ข่มความอดทนเอาไว้
ฆราวาสจื่อหยางส่งเสียง ‘หึ’ “เจ้าสำนักรู้ดี”
คำถามข้อที่สองของสวี่ชีอัน เหตุใดในบ่อน้ำลึกของซินเจียงตอนใต้จึงมีรูปปั้นของปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ทว่าเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะถาม
สวี่ชีอันที่อยู่ในเมืองหลวงไม่ควรรู้ว่ามีรูปปั้นของปราชญ์ลัทธิขงจื๊ออยู่ที่ก้นบ่อน้ำลึก แม้จะอ้างว่า ‘ข้ามีเพื่อนคนหนึ่ง’ เช่นนี้ก็คงไม่ไหว
เรื่องนี้แม้แต่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่น่าจะรู้
…
เมื่อกลับถึงจุดพักเปลี่ยนม้า สวี่ชีอันก็อาบน้ำเย็น จากนั้นก็กลับเข้าห้องนั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจ มองภาพตระหนักรู้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง