ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 195

บทที่ 195 ไขปริศนา

“ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาวิเคราะห์กันตั้งแต่ต้น หากพวกเจ้าเป็นโจวหมิน จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร” สวี่ชีอันมองทุกคน แล้วถาม

บรรดาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างแสดงความคิดเห็นกันอื้ออึง

“ใช้รหัสของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรือ”

“เมื่อกี้เพิ่งบอกไม่ใช่หรือ ว่าระดับความปลอดภัยของรหัสนี้ยังไม่สูงพอ”

“ถ้าเป็นข้าล่ะก็ ข้าจะซ่อนไว้ในที่ที่ไม่มีใครหาเจอ”

“ไร้สาระ ถ้าไม่มีใครหาเจอ ถ้าเช่นนั้นการซ่อนหลักฐานจะมีประโยชน์อะไร”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทุกคนต่างตกตะลึง และตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่

สวี่ชีอันดีดนิ้ว มองไปที่ฆ้องทองแดงที่เอ่ยทฤษฎีขึ้นมาโดยไม่เจตนาแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง จุดประสงค์ที่โจวหมินซ่อนหลักฐานก็เพราะต้องการให้พวกเราหาเจอ พวกเจ้าลองไปคิดตามแนวความคิดนี้ดู”

ผู้ตรวจการจางชกกำปั้นเข้ากับฝ่ามือ กล่าวชื่นชมรัวๆ แล้วพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “ด้วยเหตุผลนี้ โจวหมินไม่มีทางซ่อนหลักฐานไว้ในที่ที่ไม่มีใครหาเจอ ถ้าเช่นนั้นเบาะแสที่ซ่อนไว้ ย่อมไม่ใช่ของมีค่า แต่ต้องสะดุดตามาก”

ทันใดนั้น ความคิดของทุกคนก็กระจ่างขึ้นทันที รู้สึกเหมือนได้สัมผัสกับประตูสู่โลกใหม่ ระดมสมองด้วยความตื่นเต้น

หลังจากนั้นไม่กี่นาที หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างมองหน้ากันอย่างงุนงง “แต่ว่า ของเหล่านี้ล้วนผ่านการตรวจสอบแล้ว ไม่มีรหัสลับ และไม่มีอะไรที่เข้ากับป้ายหยกด้วย”

ประตูสู่โลกใหม่ปิดลงเสียงดังลั่น แล้วก็กลับมาเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตอีกครั้ง ดังนั้น ทุกคนจึงหันมามองสวี่ชีอัน

…เบาะแสเบื้องหน้ามีน้อยเกินไป ไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม การสืบสวนคดีคือการหาเบาะแส ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนคดีอาญาที่ดี จะต้องเชี่ยวชาญในการคิดทบทวนจากทุกมุมมอง และค้นหาเบาะแสจากรายละเอียดได้ ส่วนพวกมือใหม่ก็เหมือนเด็ก ที่ในสมองนั้นเต็มไปด้วยคำถาม… สวี่ชีอันไม่ได้สนใจสายตาของทุกคน และจมอยู่ในโลกของตัวเอง

“มีเงื่อนงำอะไรหรือไม่…” ฆ้องเงินคนหนึ่งอดถามไม่ได้ แต่ยังไม่ทันพูด ก็ถูกเจียงลวี่จงปิดปากไว้

“อย่าไปรบกวนเขา” เจียงลวี่จงพูดเสียงขรึม

ผู้ตรวจการจางเองก็กดมือซ้ำๆ ส่งสัญญาณให้ทุกคนใจเย็นไว้ เขาฝากความหวังทั้งหมดที่สวี่ชีอันแล้ว ฆ้องทองแดงหนุ่มคนนี้ใช้ ‘ผลงาน’ ของตัวเอง พิสูจน์คุณค่าและความสามารถของเขา

ผู้ตรวจการจางอดคิดไม่ได้ว่า ‘สาเหตุที่เว่ยกงส่งสวี่ชีอันมา เป็นเพราะเขาคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงของอวิ๋นโจวไว้แล้วใช่หรือไม่’

‘เป็นเพราะคาดการณ์ได้ถึงความยากของคดีนี้… จึงส่งสวี่ชีอันอัจฉริยบุคคลในการคลี่คลายคดีมาช่วยข้า… เว่ยกงรอบคอบ มองการณ์ไกลจริงๆ’

‘เช่นเดียวกัน การที่เว่ยกงผู้ฉลาดล้ำเลิศส่งสวี่ชีอันมา แสดงว่าเขาจะต้องคลี่คลายคดีนี้ได้อย่างแน่นอน’ ผู้ตรวจการจางแอบดีใจ รู้สึกโล่งใจ และเลิกกระวนกระวายใจอีกต่อไป

เขาเป็นผู้ตรวจการ การคลี่คลายคดีเป็นงานหินสำหรับเขา แต่โชคดีที่มีสวี่หนิงเยี่ยน…

สวี่ชีอันไม่รับรู้ถึงความในใจอันพรั่งพรูของผู้ตรวจการจาง ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการอนุมานของตัวเอง

ในบรรดาสิ่งของของผู้ตายเหล่านี้มีเบาะแสอยู่จริงหรือ ถ้าหากข้าเป็นโจวหมิน ข้าจะหาวิธีทิ้งเบาะแสไว้ให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล… แต่ไม่จำเป็นต้องทิ้งไว้ในมรดกของผู้ตาย เพราะมันจะถูกทำลายได้ง่ายมาก แค่กองไฟกองใหญ่ก็สามารถกลายเป็นขี้เถ้าได้… แต่จะไม่เหลือร่องรอยไว้ก็ไม่ได้ ดังนั้น วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการเหยียบเรือสองแคม ไม่ใส่ไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียว

ใช่แล้ว!

เหยียบเรือสองแคม หยางอิงอิงนับเป็นตะกร้าอีกใบหนึ่งของโจวหมิน

หยางอิงอิงเป็นลาภลอย ไม่ใช่เบาะแสที่โจวหมินทิ้งไว้ให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ในเมื่อไม่พบเบาะแสใดๆ ในสิ่งของของผู้ตายเช่นโจวหมิน ทำไมไม่ลองค้นหาจากหยางอิงอิงเล่า

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สวี่ชีอันก็คึกคัก รู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันที

ฆ้องเงินระดับหลอมวิญญาณสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของสวี่ชีอันได้อย่างรวดเร็ว แล้วพวกเขาก็คึกคักตามไปด้วย ขณะที่กำลังจะถาม ก็พบว่าดวงตาของสวี่ชีอันหม่นหมองลง แล้วก็ตกอยู่ในภาวะคิดหนักอีกครั้ง

การอนุมานของนักสืบชื่อดังสวี่หนิงเยี่ยนต้องพบกับจุดชะงักอีกครั้ง นั่นก็คือมีเบาะแสในตัวของหยางอิงน้อยเกินไป

ยังคงเป็นปัญหาเดิม มีเบาะแสน้อยเกินไป ป้ายหยกเพียงครึ่งเดียว อย่างมากที่สุดก็แค่เดาได้แค่ว่ามันเป็นหลักฐานบางอย่าง… ไหนลองจัดระเบียบเบาะแสใหม่อีกครั้งซิ กำจัดเบาะแสอีกประเด็นของโจวหมินออกไป และเน้นที่ตะกร้าของหยางอิงอิง…

ถ้าหากหยางอิงอิงมาถึงชิงโจว ตามหาฆราวาสจื่อหยางจนเจอ แล้วมอบป้ายหยกให้เขา และอธิบายต้นสายปลายเหตุ… สวี่ชีอันจำลองลำดับขั้นตอนอยู่ในสมองของเขา

ฆราวาสจื่อหยางจะทำอย่างไร เขาก็จะต้องเผชิญสภาพตกระกำลำบากเพราะขาดเบาะแสเช่นเดียวกับข้าตอนนี้

ในสถานการณ์ที่สับสนและขาดเบาะแส ย่อมต้องขวนขวายหาวิธีให้ได้มาซึ่งข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าเช่นนั้นแล้วจะหาข้อมูลมาได้อย่างไร แน่นอนว่าก็ต้องถามคนที่นำป้ายหยกมา… ใช่ ใช่ ใช่! ไปสอบถามคนที่นำป้ายหยกมาไง

“ข้าคิดออกแล้ว ข้าคิดออกแล้ว!” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง

“คิดอะไรออก” ทุกคนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ไม่ต้องใจร้อน” สวี่ชีอันพูดกำชับ “ไปตามหยางอิงอิงมา ข้ามีอะไรจะสอบถามนาง”

“รีบไป รีบไป!” ผู้ตรวจการจางเร่งเร้า

ฆ้องทองแดงคนหนึ่งขึ้นไปชั้นบนทันที และเชิญหญิงสาวร่างอวบอัดที่อยู่แต่ในห้องหลังกินอาหารเย็นเสร็จลงมา

หยางอิงอิงยังคงสวมชุดกระโปรงผ้าพื้นเมืองเหมือนที่เห็นตอนแรก แสดงการคารวะอย่างอ่อนน้อม “ใต้เท้าเรียกข้าน้อยลงมามีธุระอันใดเจ้าคะ ”

สวี่ชีอันถามว่า “คืนนั้นตอนที่โจวหมินมอบป้ายหยกให้เจ้าแล้ว ยังพูดอะไรอีกบ้าง”

หยางอิงอิงส่ายหน้า “นอกจากสิ่งที่ข้าน้อยบอกไปก่อนหน้านี้ ใต้เท้าโจวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มิเช่นนั้นแล้ว ข้าน้อยไม่มีทางลืมแน่นอนเจ้าค่ะ”

ประเดี๋ยวก็เรียกโจวหมินว่าสามี ประเดี๋ยวก็เรียกว่าใต้เท้าโจว นี่เป็นการแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างยิ่ง ในใจยอมรับว่าโจวหมินเป็นสามี แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสถานะ มีแต่ชื่อไม่มีตัวตน ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำเรียกกลับไปกลับมา

สวี่ชีอันลูบถ้วยน้ำชา ต้องพูดอะไรอีกแน่ๆ มิเช่นนั้นต่อให้ฆราวาสจื่อหยางจะเป็นเซียน ก็คงหมดปัญญาสู้ โจวหมินเป็นสายลับที่มีความรู้ความสามารถ สติปัญญาจะต้องสูงอย่างแน่นอน… อืม หยางอิงอิงไม่รู้ บางทีนางอาจจะไม่เอะใจก็ได้

“เจ้าช่วยพูดสิ่งที่โจวหมินกล่าวกับเจ้าในคืนนั้นมาอีกครั้งซิ”

“เอ่อ…” หยางอิงอิงลำบากใจ “ข้าน้อยจะไปจำได้อย่างไรเจ้าคะ…”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดทุกคำ แค่พูดคร่าวๆ ก็พอ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างใจกว้าง ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย สาเหตุที่หยางอิงอิงจำไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกันในคืนนั้นอาจจะเป็นเรื่องในครอบครัว

เหมือนกับเจ้าเดินอยู่บนท้องถนน ได้พบเห็นผู้คนมากหน้าหลายตา เจ้าคงไม่จดจำรูปร่างหน้าตาของพวกเขา แม้แต่สีของเสื้อผ้าแค่เพียงหันหลังก็คงจะลืมแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องปรกติ ก็ยิ่งไม่ใส่ใจจำ

“ในคืนนั้นท่านใต้เท้าโจวมาหาข้าน้อย ก็ปฏิบัติเหมือนเช่นที่ผ่านมา นำชาดทาแก้ม แป้งและของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้ข้า พร้อมเหล้าหนึ่งกา และหัวหมูสองสามชั่ง…”

“ตอนดื่มเหล้าด้วยกัน เขาได้บ่นเรื่องในวงขุนนาง และเรื่องโจรในอวิ๋นโจวให้ข้าฟังตามปกติ…”

“แต่เนื่องจากข้าเป็นผู้หญิง ไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ดังนั้นใต้เท้าโจวจึงไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็เล่นปริศนาคำทายกันเจ้าค่ะ…”

“หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ตอนที่ข้าน้อยปรนนิบัติเขา เขาจึงพูดเรื่องนั้นกับข้า พร้อมกับมอบป้ายหยกครึ่งซีกให้ข้า”

สวี่ชีอันให้นางพูดสาระสำคัญ ‘เรื่องในวงขุนนาง’ และ ‘เรื่องโจร’ แต่ก็พบว่านั่นเป็นเพียงการบ่นของโจวหมินเท่านั้น

“แล้วปริศนาคำทายเล่า มีคำว่าอะไรบ้าง”

หยางอิงอิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “สิบปากหนึ่งใจ”

ขณะที่สวี่ชีอันกำลังจะคิด ผู้ตรวจการจางก็แย่งตอบว่า “ซือ! (思)”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ “หยางอิงอิงพูดต่อว่า “อักษรพันหายไปหนึ่งขีด อักษรร้อยหายไปหนึ่งขีด”

ผู้ว่าราชการจาง “ป๋อ (伯)”

หยางอิงอิงพยักหน้า แล้วพูดต่อว่า “กินหางวัวในคำเดียว”

ผู้ว่าราชการจาง “เก้า (告)”

‘ใต้เท้าผู้ตรวจการเก่งกาจเหลือเกิน’ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกองทหารพยัคฆ์ทะยานส่งสายตาชื่นชม

ไม่รู้ว่าทำไม ผู้ตรวจการจางกลับรู้สึกคลายความอึดอัด รู้สึกว่าในที่สุดก็ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อีกต่อไป ข้าก็เป็นคนมีความสามารถยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน จะปล่อยให้สวี่หนิงเยี่ยนรู้สึกสบายใจ อิ่มอกอิ่มใจอยู่คนเดียวได้อย่างไร

สำหรับปัญญาชนแล้วการทายอักษรปริศนาถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

สวี่ชีอันไม่พอใจที่ผู้ตรวจการจางมักจะพูดสอดขัดจังหวะความคิดของตน จึงเคาะโต๊ะแล้วพูดเสียงเคร่งขรึมว่า

“ใต้เท้าผู้ตรวจการ ข้าก็มีอักษรปริศนาตัวหนึ่ง ที่สงสัยมาเป็นเวลานานแล้ว”

ผู้ตรวจการจางพยักหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เขาถามคำถาม

สวี่ชีอันกล่าวว่า “แม่นางเหวินแต่งงาน”

ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น ต่อมาสีหน้าก็บึ้งตึง สุดท้ายก็รู้สึกงุนงงไปหมด ยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น

สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ มองไปที่หยางอิงอิงและขอให้นางพูดต่อ

“อักษรปริศนาสองตัวสุดท้ายคือ ‘หยกขาวไร้มลทิน’ และ ‘ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ฟ้าเดียวกัน’ ตัวแรกคือคำว่า ‘หวง’ (皇) และตัวหลังคือ ‘หมิง’ (明)”

สวี่ชีอันสั่งให้สหายร่วมหน่วยไปหากระดาษและพู่กันมา กางลงบนโต๊ะแล้วเขียนตัวอักษร ซือ ป๋อ เก้า หวง หมิง

ลงไป

เจียงลวี่จงอ่านกลับไปกลับมาหลายรอบ “อักษรห้าตัวนี้หมายความว่าอย่างไร”

อักษรห้าตัวไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ แต่ละตัวเป็นอิสระจากกัน โจวหมินต้องการจะบอกอะไร หรือว่า มันเป็นแค่ปริศนาคำทายที่เล่นกันสนุกๆ เท่านั้น

สวี่ชีอันหันไปมองผู้ตรวจการจาง ใต้เท้าผู้ตรวจการกำลังจมอยู่ในโลกของตัวเอง…

ช่างเถิด เห็นๆ อยู่ว่าตัวอักษรทั้งห้าตัวนี้ไม่ใช่อักษรปริศนา ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าผู้ตรวจการก็ไม่มีบทบาทแล้ว ให้เขาไปประลองกำลังกับแม่นางเหวินแล้วกัน

ต่อมา สวี่ชีอันก็จมอยู่ในโลกของตัวเองอีกคน ถ้าหากนี่เป็นเบาะแสที่โจวหมินต้องการจะแย้มให้ฆราวาสจื่อหยางได้รับรู้ ถ้าเช่นนั้นมันไม่ลึกล้ำคลุมเครือเกินไปหรือ จะต้องเป็นคำที่แม้แต่คนที่มาเยือนอวิ๋นโจวเป็นครั้งแรกก็สามารถไขปริศนาได้โดยง่าย

มีอะไรที่คนที่เพิ่งมาครั้งแรก ก็สามารถไขปริศนาได้โดยง่าย คิดอีกแง่หนึ่งก็คือ อะไรคือสิ่งที่คนที่มาอวิ๋นโจวครั้งแรกต้องการ…

คิดออกแล้ว!

สวี่ชีอันถอนหายใจยาว “ข้าไขปริศนาได้แล้ว”

…………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง