ที่ว่าการแล้วจะยังไง ฆ่าคนหน้าประตูกรมอาญาข้ายังกล้าเลย ฆ่าเจ้าที่เป็นเสมียนขั้นเจ็ดตัวกระจ้อยจะไปยากอะไร
สวี่ชีอันกดมือลง ดาบยาวสีดำทองคมกริบกดลงบนหลังคอของใต้เท้าเสมียนผู้นี้ในชั่วพริบตา เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดจากหลังคออย่างชัดเจนและเลือดอุ่นร้อนที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากคอของตน
‘กล้าฆ่าข้าจริงๆ ด้วย’…หัวใจของเสมียนที่ว่าการหดเกร็ง เขามองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ด้วยความตื่นตะลึง คาดหวังว่าพวกเขาจะหยุดสหายร่วมหน่วยที่ทำตัวป่าเถื่อนผู้นี้ได้
แต่ท่าทีของพวกซ่งถิงเฟิงทำให้จิตใจของเสมียนที่ว่าการจมดิ่ง พวกเขานิ่งสงบ เย็นชา และยืนดูอยู่เฉยๆ เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์อันเลวร้ายของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาก่อนแล้ว พวกเขาโอหังยิ่งนัก แต่ถ้าบอกว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกล้าสังหารขุนนางถึงในที่ทำการปกครอง แบบนั้นเขาไม่เชื่อหรอก
ซ่งถิงเฟิงมองตอบสายตาของอีกฝ่าย ก่อนยิ้มตาหยีให้ “ใต้เท้าเสมียน เจ้ารุกล้ำมรดกของข้าราชสำนัก แม้ว่าตอนนี้จะไม่ฆ่าเจ้า แต่พอจับเจ้าเข้าคุก เราก็ยังมีวิธีสังหารเจ้าได้ไม่ต่างกัน”
ฆ้องเงินถังกล่าวเสริม “นี่คือวิธีการที่พวกเราหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมักจะใช้กัน พอถึงตอนนั้น เรื่องที่สอบปากคำเจ้าก็จะไม่จบแค่เรื่องมรดก”
“ข้าน้อย…ผิดไปแล้วขอรับ” เสมียนที่ว่าการกลืนน้ำลาย ยอมรับชะตาด้วยสีหน้าซีดเผือด
สวี่ชีอันจึงเก็บดาบแล้วเตะเสมียนที่ว่าการ “ไป เรียกคนที่เก็บเงินมาที่โถงใหญ่ทั้งหมด ข้าจะลงโทษมันทีละคน”
เสมียนที่ว่าการจับหลังคอที่โชกไปด้วยเลือดแล้วกุลีกุจอออกไป
จนกระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหลังของเขาแล้ว สวี่ชีอันก็ถอนสายตากลับไปตรวจดูมรดกต่อ
“เจ้ากลัวว่ามรดกที่มีเบาะแสอยู่จะถูกยักยอกจนทำให้สืบคดีไม่ได้สินะ” ฆ้องเงินถังเลือกคำมาพูด
“ถ้าโจวหมินทิ้งเบาะแสไว้ในมรดกจริงๆ เขาก็คงไม่เลือกของมีค่าพวกนั้นแน่นอน เพราะมันเป็นของที่ทำให้คนเกิดความโลภได้ง่ายๆ น่ะขอรับ” สวี่ชีอันพูดพลางเงยหน้ามองเขา
“ข้าแค่อยากจะเอาของของโจวหมินกลับคืนมาเท่านั้น พอคดีสิ้นสุดจะได้คืนให้แก่ครอบครัวของเขาขอรับ”
“คุณธรรมของเจ้าช่างน่ายกย่อง” ฆ้องเงินถังกล่าวชม พูดจบก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “แม้เจ้าจะเป็นพวกเจ้าชู้ก็ตาม”
ไม่หรอก นี่คือคุณธรรมขั้นพื้นฐาน…เจ้าพวกที่แม้แต่เงินทองของผู้ตายก็ยังไม่ยอมปล่อยต่างหากที่เป็นคนชั่ว พวกขยะเอ๊ย สวี่ชีอันค่อนขอดในใจ
อีกอย่าง วิถีชีวิตแบบชายหนุ่มจะเรียกว่าคนเจ้าชู้ได้หรือ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นบุรุษแสนดีที่หมายปองของสาวงาม
สวี่ชีอันนึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยเห็นในสมัยก่อน ‘ถึงฉันจะกินเหล้า สูบบุหรี่สักตัว เที่ยวกลางคืน แต่ฉันก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนดี’
ถึงข้าจะกินฟรี กินฟรี และกินฟรีในกินฟรีอีกที แต่ข้าก็รู้ตัวว่าข้าเป็นคนดีนะ…
ประมาณสิบนาทีต่อมา ขุนนางสวมชุดคลุมสีเขียวปักลายไก่ฟ้าสีขาวคนหนึ่งก็เข้ามาในคลังเก็บของ ด้านหลังมีเสมียนที่ว่าการที่พันแผลบนคอเอาไว้ลวกๆ เดินตามมา พร้อมกับขุนนางสวมชุดเขียวปักลายนกกระเรียนอีกคน
ในแวดวงขุนนางนั้น แค่ดูที่ชุดขุนนางก็รู้ถึงระดับขั้นของอีกฝ่ายแล้ว จากนั้นก็จะคาดเดาถึงตำแหน่งของเขาได้ ตัวอย่างเช่นเจ้าหน้าที่ชุดคลุมสีครามปักลายไก่ฟ้าขาวผู้นี้จะอยู่ระดับหก ในที่ว่าการ มีเพียงตำแหน่งข้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ระดับหกชั้นเอก
‘รู้เสื้อผ้าไม่รู้ใจคน’ ในยุคแรกๆ ประโยคนี้เริ่มแพร่หลายมาจากแวดวงขุนนางนี่เอง
ข้าหลวงใบหน้ากลมเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสมบูรณ์ เขาเข้ามาหาด้วยท่าทีเป็นมิตร เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพวกสวี่ชีอัน เขาก็เอ่ยอย่างคับแค้นใจ
“ข้าละอายใจนักขอรับที่ไม่เข้มงวดต่อผู้ใต้บัญชา กลับปล่อยให้ทำเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้เสียได้”
เขายอมรับความผิดด้วยตัวเองแล้วหยิบหีบห่อใบเล็กหนักๆ ที่บวมพองออกมา “ในนี้มีอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง เป็นมรดกของเสมียนโจวขอรับ ข้าขอคืนใต้เท้าแทนเขาด้วย”
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้วิชามองปราณก็รู้ ที่ว่าการมณฑลยอมถอยให้ขนาดนี้ ความจริงแล้วเป็นเพราะเกรงใจฐานะของผู้ตรวจการ สวี่ชีอันก็คาดเดาจุดนี้เอาไว้แล้วจึงกระทำการอย่างไม่เกรงกลัว
ถ้าหากข้าหลวงไม่ยินยอม เขาก็แค่ไปรายงานผู้ตรวจการจางเท่านั้น แน่นอนว่าความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มีไม่มาก เขาเชื่อว่าข้าหลวงประจำมณฑลมีความฉลาดตรงนี้อยู่
ดังนั้นสวี่ชีอันจึงยื่นมือไปรับมา ชั่งน้ำหนักดูสองสามครั้ง และไม่ได้ดันทุรังต่อ
“ใต้เท้าข้าหลวง รบกวนช่วยเตรียมรถม้าไว้ให้ด้วย ข้าจะนำมรดกของเสมียนโจวกลับไปที่จุดพักม้าด้วย” สวี่ชีอันพูด
ข้าหลวงมองไปยังคนที่ปักลายฆ้องเงินที่หน้าอกก่อน พอเห็นว่าคนผู้นี้นิ่งเงียบไม่พูดจาก็เข้าใจแล้วว่าผู้นำที่นี่คือฆ้องทองแดงที่พูดคุยกับตน
“ได้ขอรับๆ”
สวี่ชีอันทิ้งทหารพยัคฆ์ทะยานสองคนเอาไว้แล้วประสานงานกับที่ว่าการเมือง เมื่อส่งมรดกของโจวหมินกลับไปยังจุดพักม้าแล้ว พวกเขาก็ขี่ม้าออกจากเมือง ที่ตามมาด้วยยังมีเจ้าหน้าที่จับกุมจากหน่วยจับกุมหนึ่งคน
หรือเรียกง่ายๆ ว่ามือปราบ
ศพของโจวหมินถูกฝังไว้สุสานไร้ญาติที่อยู่ห่างจากนอกเมืองไปสามสิบลี้ สุสานไร้ญาติในยุคสมัยนี้คล้ายกับป่าช้าในชาติก่อน หลุมศพจะตั้งติดกันหลุมต่อหลุม
หลุมศพที่อยู่ในสุสานไร้ญาติล้วนเป็นผู้เสียชีวิตจากครอบครัวยากจน ส่วนตระกูลที่มั่งคั่งสักหน่อยจะเชิญหมอฮวงจุ้ยมาช่วยเลือกสถานที่ฝังศพให้
“ใต้เท้าทั้งหลาย หลุมฝังศพของเสมียนโจวอยู่ตรงนั้นขอรับ” มือปราบชี้ไปที่ต้นหลิวต้นหนึ่ง ใต้ต้นหลิวมีเนินดินเล็กๆ แห่งหนึ่ง
กองทหารพยัคฆ์ทะยานสองสามคนปลดพลั่วที่แขวนอยู่บนตะขอม้าออกมา ตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมศพจนเศษดินปลิวกระเด็น และเมื่อเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น พลั่วก็ขุดเจอโลงศพแล้ว
เหล่านายทหารกองทหารพยัคฆ์ทะยานปัดดินโคลนนอกโลงศพออกมา ‘ปัง’ …พอแง้มเปิดโลงศพ กลิ่นเหม็นเน่าไม่พึงประสงค์ก็พวยพุ่ง
ทุกคนถอยหลังออกไปพร้อมกัน พวกทหารที่มีสัมผัสไวต่อกลิ่นก็ยังทนรับกลิ่นเหม็นร้ายกาจเช่นนี้ไม่ไหว
สวี่ชีอันหยิบขวดกระเบื้องออกมาแล้วแจกจ่ายเม็ดยาในนั้นให้กับทุกคน นี่คือยาป้องกันพิษที่โหรจากสำนักโหราจารย์มอบให้
จากนั้นก็ปิดปากปิดจมูกแล้วเดินไปข้างๆ โลงศพ
ศพของชายสวมชุดสีขาวนอนนิ่ง ใบหน้าสีเขียวคล้ำแหงนมองฟ้า
ผิวหนังของเขาเป็นสีเขียวอมดำ กล้ามเนื้อศพเต็มไปด้วยสีเข้มสีจาง ใบหน้าเน่าเปื่อยจนเกิดรู ตัวนอนมากมายขยับดิ้นอยู่ในรูเนื้อเหล่านั้น
ร่างกายบวมเป่งเล็กน้อย นี่คือสภาวะหลังตายซึ่งผิวหนังจะเต็มไปด้วยแก๊สเน่าเสีย จึงก่อให้เกิดอาการบวมพอง ในสภาพนี้ แค่จิ้มเบาๆ เพียงหนึ่งทีผิวหนังก็จะแตกออกมาแล้วน้ำเหลืองกับเลือดเน่าเหม็นก็จะไหลทะลัก
สวี่ชีอันเคยเรียนเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็เพิ่งเคยเห็นกับตาเป็นครั้งแรก
…แม่จ๋า ข้าจะตายแล้ว สวี่ชีอันพยายามอดทนไม่ให้กรดในกระเพาะพุ่งขึ้นมา เขาเอ่ยเสียงขรึม “ถอดเสื้อผ้าเขา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง