ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 193

บทที่ 193 ที่นี่คือที่ว่าการ
หลังจากเดินทางข้ามผ่านสองมณฑลและสามอำเภอ ในที่สุดคณะผู้ตรวจการก็มาถึงเมืองหลักของอวิ๋นโจว ‘เมืองไป๋ตี้’

ที่มาของชื่อเมืองไป๋ตี้นั้นมาจากตำนานในประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของราชวงศ์ก่อน

เมื่อ 1300 ปีก่อนนับจากปัจจุบัน อวิ๋นโจวประสบภัยแล้งรุนแรง ดินแดงแห้งระแหงตลอดพันลี้ ชาวบ้านเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ได้ ชีวิตไร้ที่พึ่งพา ในปีนั้นเอง มีสัตว์ประหลาดเดินทางมาจากต่างแดน ลำตัวของมันเหมือนกวาง ทั้งตัวปกคลุมด้วยเกล็ดขาวราวหิมะ หัวมีเขาหนึ่งคู่ มีกีบม้า และหางงู

ทุกที่ที่มันผ่านไปจะมีเมฆครึ้มปกคลุม ห่าฝนตกลงมาไม่หยุดหย่อน สัตว์ตัวนี้อยู่ในอวิ๋นโจวนานกว่าหนึ่งเดือน ช่วยเติมเต็มอ่างเก็บน้ำในแต่ละแห่งของอวิ๋นโจว ให้ความชุ่มชื่นแก่แม่น้ำทะเลสาบที่แห้งขอด และขจัดปัญหาภัยแล้งให้แก่อวิ๋นโจว ราชสำนักคิดว่ามันคือสัตว์มงคล จึงตั้งนามให้มันว่าไป๋ตี้

สวี่ชีอันมองไปยังเค้าโครงอันสูงตระหง่านของเมืองไป๋ตี้ ก่อนหัวเราะพลางถามกลับไป “แล้วตำนานนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จล่ะขอรับ”

ผู้ตรวจการจางที่กำลังเลิกม่านขึ้นมองไปยังเมืองไป๋ตี้ที่อยู่ไกลๆ พร้อมเล่าตำนานเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยก็พยักหน้าตอบ

“น่าจะจริง ไม่อย่างนั้นคงไม่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หรอก ภัยแล้งน้ำท่วมพวกนี้เป็นเรื่องปกติ เจ้าหน้าที่อาลักษณ์คงไม่แต่งเรื่องขึ้นมาแน่ เพียงแต่ว่านับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครเคยเห็นสัตว์มงคลไป๋ตี้อีกเลย”

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากโพ้นทะเล ถึงขั้นอาจจะเป็นสัตว์ทะเลก็ได้ บางทีมันอาจแค่มาเที่ยวเล่นที่จิ่วโจว พอเห็นว่าอวิ๋นโจวเกิดภัยแล้งก็รู้สึกไม่ชอบใจ จึงออกโรงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้…สวี่ชีอัน ‘วิเคราะห์ด้วยมุมมองทางวิทยาศาสตร์’ พร้อมกล่าวว่า

“ใต้เท้าช่างมีความรู้สูงส่ง”

พูดจบเขาก็ทอดมองไปยังกำแพงเมืองต่อ พลันมีกลอนท่อนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ‘จากลาไป๋ตี้เมฆมากหลากสี เจียงหลิงพันลี้หนึ่งวันหวนกลับ เสียงลิงโหยหวนริมสองฝั่ง แล่นเรือน้อยไหลผ่านขุนเขาหมื่นแห่ง’

เจียงหลิงพันลี้หนึ่งวันหวนกลับ[1]…หรูหราเลิศเลออะไรขนาดนี้นะ หากเปลี่ยนเป็นข้าล่ะก็ ต่อให้เป็นวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือจนกว่าจะหนึ่งเดือนสามสิบเอ็ดวันนั่นแหละถึงจะยอมกลับ สวี่ชีอันคิดในใจ

เขานึกถึงโฆษณาการท่องเที่ยวที่เคยดูเมื่อก่อน โฆษณานั้นส่งเสริมให้พนักงานคอเสื้อปกขาวที่อยู่ระดับสูงบินตรงไปยังประเทศไทยหลังเลิกงานวันศุกร์ ทำตัวเป็นหนุ่มงามสง่าล้ำสมัยหนึ่งวัน จากนั้นก็กลับประเทศวันอาทิตย์

ไม่ว่าใครล้วนเป็นหลี่ไท่ไป๋ยุคใหม่กันทั้งนั้น

ทหารยามคุ้มกันเมืองไป๋ตี้หยุดคณะเดินทางไว้ แต่หลังจากเห็นเอกสารจากราชสำนักก็ปล่อยเข้าไปด้วยความเคารพ

หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว สวี่ชีอันก็มองไปทั่ว ท่ามกลางฝูงชนที่คลาคล่ำอยู่บนถนน ไม่ว่าตรงไหนก็จะมองเห็นคนเดินไปมาที่พกดาบพกกระบี่ติดตัวมากมาย

ต้าฟ่งค่อนข้างเข้มงวดในด้านการกำกับดูแลอาวุธยุทโธปกรณ์ ตั้งแต่ที่ว่าการมณฑลไปจนถึงที่ว่าการอำเภอ จะห้ามไม่ให้พกดาบเดินไปเดินมาในเมืองเด็ดขาด นอกเสียจากจะเป็นอาชีพพิเศษอย่างเช่นผู้คุ้มกัน

แต่ต่อให้เป็นผู้คุ้มกันก็พกอาวุธได้แค่ตอนที่ปฏิบัติงานเท่านั้น

เรื่องนี้นับว่าเป็นจุดเด่นของอวิ๋นโจวหรือไม่นะ สวี่ชีอันพึมพำในใจ

ตอนนี้เอง ผู้ตรวจการจางก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยกับสวี่ชีอัน “หนิงเยี่ยน เจ้าให้คนไปส่งพ่อค้าเหล่านี้กลับบ้านเสีย สินค้ายังไม่ต้องมอบคืน บอกพวกพ่อค้าว่าพรุ่งนี้ให้นำสมุดบัญชีมาที่จุดพักม้าเพื่อตรวจสอบและรับสินค้าคืน”

สวี่ชีอันใจสั่นไหว “สินค้าของจ้าวหลงผู้นั้นล่ะขอรับ”

ผู้ตรวจการจางเอ่ย “ย่อมต้องให้คนส่งกลับไป จ้าวหลงผู้นั้นกับพวกผู้คุ้มกันเจอเคราะห์ร้าย ครอบครัวของผู้คุ้มกันจะต้องเรียกเงินทำขวัญแน่นอน ตอนนี้จ้าวหลงตายแล้ว ก็ให้ส่งสินค้าคืนไป นับว่าชดเชยความสูญเสียให้คนในครอบครัวได้”

สวี่ชีอันยกนิ้วโป้งให้ “ใต้เท้านี่เป็นปลาไหล[2]ที่ดีจริงๆ ขอรับ”

ผู้ตรวจการจางได้ยินก็ขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”

“ไม่มีอะไรขอรับ ไม่มีอะไร” สวี่ชีอันหันหน้าไปหาซ่งถิงเฟิงแล้วบอกเรื่องราวให้ฟัง ก่อนสั่งให้เขาไปทำ

“เรื่องอะไรจะให้ข้าไปทำ” ซ่งถิงเฟิงอารมณ์เสีย “ทำเหมือนข้าเป็นลูกน้องเจ้า แต่เห็นๆ อยู่ว่าเรามันระดับเดียวกันนี่”

สวี่ชีอันหันหน้าตะโกนบอก “ใต้เท้าผู้ตรวจการ ซ่งถิงเฟิงบิดพลิ้วเกี่ยงงาน หักเงินเขาเลยขอรับ”

ซ่งถิงเฟิงรีบพูด “ข้าไปเองๆ”

จากนั้นเขาก็หันไปหาจูกว่างเสี้ยว บอกเรื่องราวให้ฟัง แล้วสั่งให้เขาไปทำ

จูกว่างเสี้ยวเอ่ยอย่างขมขื่น “หนิงเยี่ยนไม่ได้บอกให้เจ้าไปทำหรืออย่างไร”

ซ่งถิงเฟิงกล่าวว่า “สวี่หนิงเยี่ยน จูกว่างเสี้ยวบิดพลิ้วเกี่ยงงาน”

“…” จูกว่างเสี้ยวหันหัวม้าด้วยอารมณ์หดหู่ไม่พูดไม่จา เขาตะโกนเรียกกองทหารพยัคฆ์ทะยานสองสามคนแล้วไปทำงานตามคำสั่ง

คนต่ำช้าทั้งสองรวมหัวกันแล้วเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ

“กว่างเสี้ยวช่างเป็นคนซื่อสัตย์ขยันขันแข็งดีจริงๆ เลยนะ”

“ใช่แล้วๆ ไม่ว่าจะเป็นบนเตียงหรือตอนทำงานก็ตาม”

ณ กรมบัญชาการทหาร

ปีนี้หยางชวนหนานอายุได้สี่สิบต้นๆ แล้ว เขาเป็นปัญญาชนที่มีอุปนิสัยเที่ยงธรรมรักสงบ และยังมีฐานะอีกอย่างหนึ่ง คือทหารระดับห้า

หยางชวนหนานกำเนิดในครอบครัวทหาร มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว เขาชอบฝึกการต่อสู้และอ่านหนังสือ และได้เป็นบัณฑิตขั้นสูงในปีหยวนจิ่งที่ 12 เพราะมีภูมิหลังทางด้านครอบครัว เขาจึงคุ้นเคยกับหนังสือการทหารและได้ทำงานอยู่ในกรมทหารเช่นกัน

ปีหยวนจิ่งที่ 16 ถูกมอบหมายให้ไปประจำการที่อวิ๋นโจวและทำผลงานได้จากการปราบโจร จึงเลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทีละก้าวๆ กลายเป็นหนึ่งในสามบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในอวิ๋นโจว

หยางชวนหนานกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องโถงพลันเงยหน้าขึ้น ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงฝีเท้าก็ดังให้ได้ยิน สตรีในชุดเกราะเบาก้าวอาดๆ เข้ามาหา ระหว่างทางไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดขวางไว้

นางมีร่างกายสูงโปร่ง ที่เอวพกกระบี่ ที่หลังมีหอกเงินหนึ่งด้าม มีใบหน้าแหลมคมรูปเมล็ดแตง เห็นอยู่ว่าเครื่องหน้างดงามประณีตชัดเจน แต่ไร้ซึ่งความอ่อนโยนบอบบางอย่างอิสตรี กลับกลายเป็นความห้าวหาญเสียมากกว่า

นอกจากนั้นนางยังมัดผมเป็นทรงหางม้าสูงยาว เผยให้เห็นหน้าผากเกลี้ยงเกลางดงาม

“ผู้ตรวจการเข้าเมืองแล้ว” ประโยคแรกเมื่อนางเดินผ่านประตูมาก็เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา

สีหน้าของหยางชวนหนานชะงักไปแล้วพยักหน้าเบาๆ “รู้แล้ว”

“จักรพรรดิหยวนจิ่งน่าสับเป็นพันชิ้นนัก วันทั้งวันเอาแต่ฝึกจะเป็นเซียน เป็นจักรพรรดิโลกมนุษย์แล้วยังคิดจะเป็นอมตะอีก ละเมอเพ้อพกเสียจริง” แค่อ้าปากดอกไม้ก็ร่วงหล่น “@#@#*….”

“เมี่ยวเจิน!” หยางชวนหนานขมวดคิ้วแน่น

หลี่เมี่ยวเจินแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่ได้ทำงานกินเงินหลวงเสียหน่อย”

นางวางหอกเงินพิงไว้กับผนัง นั่งขัดสมาธิบนโต๊ะชารับแขก แล้วปลดกระบี่ลงมาวางไว้บนหน้าตักก่อนเอ่ยถาม

“ถ้าผู้ตรวจการอยู่ที่นี่ เจ้าก็ต้องมอบอำนาจทหารให้ นี่เป็นกฎของต้าฟ่ง เจ้าคิดจะทำอย่างไร”

“ในเมื่อเป็นกฎ ย่อมต้องทำตาม” หยางชวนหนานเอ่ย

หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า “ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

หยางชวนหนานเหลือบมองนางแล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ “ในยุทธภพมีคนตั้งมากมายยินดีจะถวายชีวิตให้เจ้า จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ข้ารับน้ำใจของเจ้า แต่ขอให้รู้จักหนักเบาด้วย คณะเดินทางที่มายังมีฆ้องทองคำอยู่ เขาเป็นถึงขุนนางระดับสี่ เมื่อก้าวสู่ยุทธภพก็ถือเป็นยอดยุทธ์คนหนึ่ง”

หลี่เมี่ยวเจินไม่สนใจ “กลัวอะไร ถ้าไม่ใช่ระดับสามก็สู้กับหมาหมู่ไม่ได้หรอก”

อาหารของอวิ๋นโจวเผ็ดชาไปหน่อย ทั้งยังชอบใส่เครื่องเทศ ข้าไม่ชอบรสชาติอาหารของที่นี่เลย…กินเผ็ดบ่อยๆ คงไม่เป็นริดสีดวงหรอกมั้ง

ณ จุดพักม้า สวี่ชีอันกินอาหารร้อนๆ ไปพลาง พร่ำบ่นในใจไปพลาง

ในห้องโถงใหญ่มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกองทหารพยัคฆ์ทะยานนั่งอยู่แน่นขนัด แปดคนต่อหนึ่งโต๊ะ แทบจะไม่พอรองรับ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง