เมื่อได้ยินคำนี้ ปฏิกิริยาแรกของสวี่ชีอันก็คือ นางพูดโกหก
นอกจากพวกเจ้าหน้าที่แล้ว ขุนนางระดับสูงๆ ในแต่ละพื้นที่ของต้าฟ่ง ตั้งแต่สมุหเทศาภิบาลไปจนถึงนายอำเภอ ล้วนแต่เป็นคนต่างถิ่นทั้งสิ้น
ในฐานะที่โจวหมินเป็นเสมียนคนหนึ่งของกรมเสมียนตราและกรมบัญชาการทหาร เขาก็ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น อีกอย่าง เสมียนก็เป็นเพียงตำแหน่งขุนนางเบื้องหน้าของเขา แต่ฐานะเบื้องหลังนั้นเป็นสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เว่ยเยวียนจะยอมให้สายลับคนหนึ่งเก็บภรรยาไว้ข้างตัวหรือ แบบนั้นจะไม่กลายเป็นนกสองหัวที่พร้อมจะเข้าข้างภรรยาตลอดเวลาหรืออย่างไร
“โจวหมินหรือ” ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว “เขาได้รับความอยุติธรรมใดหรือ”
นั่นเป็นการแสดงที่บอกว่า ‘โจวหมินเป็นใคร ข้าไม่รู้จัก’
หยางอิงอิงเอ่ยอย่างเศร้าโศก “สามีของข้าเดิมเป็นเสมียนคนหนึ่งในกรมบัญชาการทหารของอวิ๋นโจวเจ้าค่ะ”
ผู้ตรวจการจางตกตะลึง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาค้อมตัวลงไปคุกเข่าคุยกับหยางอิงอิง “ที่แท้ก็เป็นภรรยาของเสมียนโจวนั่นเอง เกิดเรื่องใดกับเสมียนโจวหรือ เหตุใดฮูหยินถึงต้องเดินทางไปร้องเรียนไกลถึงชิงโจวด้วย ชิงโจวกับอวิ๋นโจวเป็นมณฆลที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่แน่ว่าสมุหเทศาภิบาลหยางผู้นั้นอาจไม่รับทำคดีนี้ก็ได้ อืม ข้าเป็นผู้ตรวจการตรวจสอบอวิ๋นโจว สามสำนักงานของอวิ๋นโจวล้วนต้องฟังคำสั่งข้า ฮูหยินมีเรื่องร้องทุกข์อันใด โปรดบอกมาได้เลย”
ปรากฏว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง การแสดงของขุนนางก็ไม่เป็นสองรองใครเสียด้วย…สวี่ชีอันรับชมเงียบๆ มองดูเหล่าจางเปิดการแสดงเดี่ยว
หยางอิงอิงลังเลพักหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองผู้ตรวจการจางแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้าขอดูเอกสารแต่งตั้งของท่านได้หรือไม่ หรือว่าตราประจำตำแหน่งก็ได้เจ้าค่ะ”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ผู้ตรวจการจางและเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน
เหล่าฆ้องทองแดงและฆ้องเงินอดไม่ได้ที่จะกระชับดาบพกในมือ พลางเพ่งพินิจดูหยางอิงอิง
นี่ไม่ใช่คำพูดที่หญิงชาวบ้านทั่วไปจะเอ่ยออกมา แม้ว่านางจะเป็นฮูหยินของเสมียนก็ตาม
นางรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเสียด้วย…สวี่ชีอันก็กุมดาบพกไว้เช่นกัน เขาจ้องหยางอิงอิงเขม็ง บนตัวของผู้หญิงคนนี้ไม่มีพลังปราณผันผวนแม้แต่น้อย ใช้สายตาตรวจวัดเรือนร่างแล้วก็ดูไม่เหมือนพวกที่ฝึกยุทธ์
แต่ตัดตัวเลือกที่ว่าอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ไปได้เพียงข้อเดียว ส่วนสายการฝึกตนอื่นๆ ยังคงคลุมเครือเพราะยังมีกลยุทธ์อีกมากมาย จึงไม่อาจประมาทได้
ผู้ตรวจการจางถอยหลังไปสองก้าวอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “รบกวนฆ้องทองคำเจียงนำเอกสารและตราประทับของข้าออกมาด้วย”
‘ปอดแหก’ …เจียงลวี่จงปรายตามองเขาแล้วหยิบเอกสารกับตราประทับออกมา
ผู้ตรวจการจางไม่รับ เมินเฉยต่อท่าทางของเจียงลวี่จงโดยปริยายแล้วมองไปยังหยางอิงอิง “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นภรรยาของท่านเสมียน จึงอนุญาตให้เจ้าดู”
เจียงลวี่จงทำได้แค่เดินขึ้นไปหานางแล้วแสดงเอกสารกับตราประทับ
หยางอิงอิงดูอย่างละเอียดอยู่เนิ่นนาน ความจริงนางเพิ่งจะเคยเห็นเอกสารแต่งตั้งเป็นครั้งแรก เมื่อกวาดสายตาพบกับ ‘อวิ๋นโจว’ ‘ผู้ตรวจการ’ สองคำนี้ และมองเห็นตราประทับสีแดงชาด นางก็ไม่สงสัยสิ่งใดอีก
จนถึงตอนนี้ การที่อีกฝ่ายยอมถกเถียงกับผู้หญิงอ่อนแอเช่นนางตั้งนานขนาดนี้ ก็ถือเป็นการแสดงความจริงใจอย่างหนึ่งแล้ว
หยางอิงอิงคุกเข่าลงไปอีกครั้งแล้วก้มหน้าเอ่ย “ข้าน้อยชื่อหยางอิงอิง เดิมเป็นสตรีในสำนักสังคีตของอวิ๋นโจว หลายปีก่อนได้ผูกสมัครรักใคร่กับใต้เท้าโจว จึงหลุดพ้นสถานะต่ำต้อยและปรนนิบัติอยู่ข้างกายใต้เท้าโจวมาตลอดเจ้าค่ะ…”
ทุกคนเผยสีหน้า ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ ออกมาอย่างรู้ใจ
…ที่แท้ก็เป็นคนขายของทะเลนั่นเอง มิน่าได้ถึงมีความรู้มากกว่าสตรีทั่วไป ทั้งยังรู้จักขอดูเอกสารกับตราประทับราชการด้วย สวี่ชีอันเข้าใจทันที
ในยุคสมัยนี้ คนขายของทะเลก็คือกลุ่มสตรีที่มีการศึกษาและมีวัฒนธรรมสูงส่งในหมู่สตรีทั้งหลายนั่นเอง ทั้งด้านฉิน หมาก อักษร ภาพวาด โคลงกลอน ล้วนเชี่ยวชาญไปทุกเรื่อง
หยางอิงอิงพูดคร่าวๆ ไม่กี่ประโยคเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนางกับโจวหมิน เอ่ยตามตรงว่าตนเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงไว้นอกบ้าน โจวหมินจะมาพบนางเป็นครั้งคราวเท่านั้น
“ช่วงก่อนหน้านี้ จู่ๆใต้เท้าโจว ก็มาหาข้าแล้วมอบของบางอย่างให้ เขาบอกว่าช่วงนี้ตนอาจตกอยู่ในอันตราย ถ้าหากมีอันเป็นไป ก็ให้ข้ารีบหลบซ่อนตัวทันที จากนั้นให้หาวิธีออกจากอวิ๋นโจวแล้วมอบของสิ่งนี้ให้กับใต้เท้าหยางสมุหเทศาภิบาลแห่งมณฑลชิงโจว ผ่านไปไม่นาน ข้าก็ได้รับข่าวว่าใต้เท้าโจวสิ้นลมเจ้าค่ะ…” หยางอิงอิงน้ำตาไหลรินอาบหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้าน้อยทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัว ไม่กล้าอยู่ต่อ จึงไปหลบอยู่ในบ้านของพี่น้องผู้หนึ่ง แล้วไหว้วานให้นางไปสืบข่าวคราวหลังจากซ่อนตัวได้พักหนึ่ง พี่น้องผู้นั้นของข้าก็บอกข้าว่าอีกไม่นานกองคาราวานของท่านจ้าวไปเดินทางไปชิงโจว ข้าจึงยืมเงินนางมายี่สิบตำลึง ซื้อม้าหนึ่งตัว แล้วตามกองคาราวานออกจากอวิ๋นโจวเจ้าค่ะ…”
เรื่องราวต่อจากนั้น ทุกคนก็รู้กันแล้ว
สวี่ชีอันมองดูด้วยสายตาเย็นชา พิจารณาดูท่าทางการแสดงออกของอย่างอิงอิง ครั้งนี้ยามที่นางพูดจา แววตาไม่ล่อกแล่กและมีน้ำเสียงโศกเศร้า เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
มองไม่เห็นส่วนที่ปลอมแม้สักนิด
ดังนั้นเขาจึงหันไปมองหาเบาะแสในคำพูดของหยางอิงอิง โจวหมินไม่ได้เปิดเผยฐานะสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออกมาจนกระทั่งวันตาย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้โดยสมบูรณ์ก็ตาม ซึ่งหมายความว่าโจวหมินเป็นสายลับผู้เพียบพร้อมคนหนึ่ง
หากเขาบอกฐานะของตนออกไปง่ายๆ แบบนั้นจะดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมต้องถ่อไปหาฆราวาสจื่อหยางที่ชิงโจว แต่ไม่ไปมณฑลอื่นที่อยู่ข้างเคียงกันนั้น สวี่ชีอันเดาว่าโจวหมินคงไม่เชื่อใจใคร แต่เชื่อถือเพียงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่เท่านั้น
อย่างแรก เมื่อเทียบกับปัญญาชนธรรมดาทั่วไป เนื่องจากระบบการฝึกตน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่จึงมีบุคลิกนิสัยที่ควรค่าแก่การไว้วางใจ เพราะสุดท้ายแล้วหากเป็นคนเลวก็เดินบนเส้นทางสายลัทธิขงจื๊อไม่ได้
อย่างที่สอง ปัญญาชนที่เล่าเรียนมาจากสำนักอวิ๋นลู่และราชวิทยาลัยหลวงเป็นคู่แข่งทางลัทธิเต๋า หากยึดหลักที่ว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร การไปหาฆราวาสจื่อหยางจึงเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง
ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยว่าโจวหมินถูกฆาตกรรมหรือ”
หยางอิงอิงพยักหน้าเต็มแรง “ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ขอให้ใต้เท้าคืนความเป็นธรรมให้สามีข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้…” ผู้ตรวจการจางเงียบงันไปพักหนึ่ง “ได้ ข้ารับปาก เจ้านำของที่เสมียนโจวมอบให้เจ้าเป็นครั้งสุดท้ายออกมาหน่อย”
หยางอิงอิงก้มหัวให้ทันที “ขอบคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันอดมองต่างออกไปไม่ได้ เล่ห์กลครั้งนี้ของเหล่าจางใช้ได้เลย สมแล้วที่เป็นคนเจนจัดในแวดวงขุนนาง ในเมื่อทำงานกับเว่ยเยวียน จิตใจก็ต้องสกปรกกันบ้าง
หยางอิงอิงยืดตัวตรงแล้วควานหาในอก ก่อนนำป้ายหยกครึ่งชิ้นออกมาแล้วยื่นให้ด้วยสองมือ “นี่คือของที่ใต้เท้าโจวมอบให้ข้าในเย็นวันนั้นเจ้าค่ะ”
สายตาของทุกคนก็เพ่งไปยังป้ายหยกชิ้นนั้น
มันคือป้ายหยกทรงครึ่งวงกลม ทั้งชิ้นเป็นสีเขียวใส เดิมทีมันควรจะเป็นหยกทรงกลมชิ้นหนึ่ง แต่ตรงกลางถูกอาวุธมีคมผ่าออกเป็นสองส่วน
เจียงลวี่จงรับป้ายหยกมาแล้วมอบให้ผู้ตรวจการจาง คนหลังใช้นิ้วลูบคลำแล้วเงียบงันไม่พูดจา
“สิ่งนี่ดูแล้วถือเป็นหลักฐานได้ไหม” เจียงลวี่จงเอ่ยเสียงเบา พอเขาพูดจบก็มองสวี่ชีอันเพื่อขอความเห็นจากเขา
ผู้ตรวจการจางก็มองมาเช่นกัน
มองข้าทำไม ข้าสืบคดีได้ แต่ไม่ใช่หมอดูนะ…พวกเจ้าสองคนไม่ปิดบังความคิดที่จะใช้ข้าเป็นเครื่องมือมนุษย์แม้แต่นิดเลยนะ…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างนิ่งขรึม “ไปที่อวิ๋นโจวก่อนเถอะ เดาสุ่มไปก็เท่านั้นขอรับ”
ผู้ตรวจการจางเก็บป้ายหยกพลางเอ่ยสั่งทหารทุกคน “เดินทางต่อ ไปยังอวิ๋นโจว”
เมื่อขุดหลุมฝังศพและนำพ่อค้าและสินค้าที่โชคดีเหลือรอดอยู่ไปด้วยกัน ทั้งคณะก็ออกเดินทางต่อ แล้วมุ่งไปตามถนนหลวงสู่อวิ๋นโจว
…
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ความอบอุ่นแผ่กระจาย ในยามเช้าที่หาได้ยากเช่นนี้ ฮว๋ายชิ่งฝึกกระบี่เสร็จสิ้นแล้ว กำลังจะสั่งให้นางกำนัลไปเตรียมน้ำร้อน แต่พอหันหน้าไปก็เห็นนางกำนัลกำลังเดินหมากอยู่ในศาลา
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว ไม่ใช่ไม่พอใจที่นางกำนัลเดินหมากกัน แต่เป็นเพราะพวกนางเล่นหมากรุกไม่เป็นต่างหาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง