ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 192

สรุปบท บทที่ 192 (1) แม่หม้าย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 192 (1) แม่หม้าย – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 192 (1) แม่หม้าย จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 192 (1) แม่หม้าย
ทันทีที่เท้าทั้งสองเหยียบลงบนโกลนม้า ม้าศึกที่ส่งมาจากค่ายทหารชิงโจวตัวนี้ก็กู่ร้อง ขาทั้งสี่ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น สวี่ชีอันพลันบินทะยานเข้าไปในป่าทึบราวกับนกยักษ์ตัวหนึ่ง

ดาบยาวสีดำทองส่องประกาย พร้อมกับตัดหัวได้คนหนึ่ง เชือดคอจนสายเลือดพุ่งเป็นน้ำพุ

อย่าไปมอง อย่าไปมอง…ในหัวของสวี่ชีอันหวนกลับไปนึกถึงกองคาราวานที่สิ้นชีวิตอย่างน่าสังเวช ก็ใจแข็งขึ้น เขายกมือตวัดดาบคร่าชีวิตของโจรภูเขาคนแล้วคนเล่า

ด้วยพลังฝึกตนแบบครึ่งก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณของเขา การสังหารโจรชั่วกลุ่มนี้ก็เหมือนกับหั่นแตงหั่นผัก ทั้งยังมีดาบยาวดำทองที่คมกริบจนตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลนเล่มนี้อีก คราวนี้ก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้แม้แต่ครู่เดียว

‘ชิ้งๆ!’

ประกายดาบแผดเผาฟาดฟันมาจากด้านหลัง กิ่งไม้ใบหญ้าตามทางร่วงหล่นอย่างไร้สุ้มเสียง รอยตัดเรียบกริบ

พลังจิตอันแข็งแกร่งของสวี่ชีอันทำให้เขารับรู้ถึงการโจมตีได้ล่วงหน้า เขาจึงบิดเอวแล้วหันตัวกลับ ดาบยาวสีดำทองทำลายประกายคมดาบของชายฉกรรจ์ผู้ใช้ดาบเหล็กกล้าคนหนึ่งได้ทันท่วงที

คนผู้นั้นฟันกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่ขวางทางอยู่ด้วยดาบเดียว แล้วแสยะยิ้มพุ่งมาหาสวี่ชีอัน ขณะเดียวกัน ชายฉกรรจ์ร่างผอมสองคนก็ถือดาบทหารมาตรฐานเข้ามาโจมตีสวี่ชีอันจากทั้งซ้ายขวา

ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่มีศัตรูขนาบสองข้างพร้อมกับชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่มุ่งเข้ามา

บนถนน เจียงลวี่จงที่หรี่ตามองดูการต่อสู้อยู่ตลอดเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา “ฝีมือของโจรสามคนนี้ไม่เลวเลย คนหนึ่งเป็นระดับหลอมปราณขั้นสูงสุด อีกสองคนมีพลังปราณอ่อนกว่าหน่อย แต่ก็ไม่ใช่พวกไก่อ่อนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับหลอมปราณ”

ได้ยินดังนั้น ฆ้องเงินคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ต้องช่วยเขาไหมขอรับ”

เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมองเจียงลวี่จงพร้อมกัน รอให้เขาออกคำสั่ง

สำหรับพวกเขาแล้ว สวี่ชีอันที่มีพลังฝึกตนแค่ระดับหลอมปราณไม่อาจต้านทานการล้อมโจมตีของยอดฝีมือระดับเดียวกันถึงสามคนได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอ่อนหัดอยู่มาก ฆ่าคนมาไม่เยอะ ยังขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง

บนสนามรบนั้น บางครั้งประสบการณ์ต่อสู้จริงก็สำคัญกว่าพลังฝึกตน

จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงรู้ว่าสวี่ชีอันกำลังทะลวงระดับหลอมวิญญาณ แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไร เพราะตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะอ่อนเพลีย ซึ่งส่งผลต่อพลังต่อสู้อย่างยิ่ง

เจียงลวี่จงผายมือราวกระบี่เงียบๆ จ้องมองสวี่ชีอันที่มีอันตรายรายล้อม เขาเตรียมพร้อมลงมือช่วยเหลือได้ทุกเวลา “รออีกหน่อย”

ระดับหลอมปราณสามคน…ชายฉกรรจ์ที่ใช้ดาบเหล็กกล้ามีพลังปราณกล้าแกร่ง เขาคือระดับหลอมปราณขั้นสูงสุด…อีกสองคนกลับด้อยกว่ามาก…โจรภูเขาของอวิ๋นโจวมีคุณสมบัติสูงถึงเพียงนี้เลยหรือ ถึงได้สุ่มเจอระดับหลอมปราณถึงสามคนได้ง่ายขนาดนี้

สวี่ชีอันถือดาบ สีหน้าเคร่งขรึม เขาพุ่งเข้าไปเพื่อตวัดดาบฟันชายฉกรรจ์ที่ใช้ดาบเหล็กกล้าก่อน ขณะเดียวกันนั้น ในหัวที่ระลึกถึงภาพสิงโตทองคำร้องคำราม

“โฮก!”

ลำคอของเขาส่งเสียงร้องคำรามดังลั่นออกมา สั่นสะเทือนทั้งป่าเขา สะท้านจนทำให้สองฝ่ายที่กำลังเข่นฆ่าเป็นพัลวันชะงักนิ่งไปชั่วคราว

ชายฉกรรจ์ที่ใช้ดาบเหล็กกล้ารู้สึกราวกับมีสายฟ้าระเบิดขึ้นที่ข้างหู นัยน์ตาของเขาซึมกะทือไปช่วงสั้นๆ ความคิดอ่านตกอยู่ในสภาวะชะงักงัน

เพียงการชะงักงันแค่เสี้ยววินาทีก็ตัดสินความเป็นความตายของเขาได้แล้ว

‘สวบ!’

ท่ามกลางประกายแสงคมปลาบของดาบยาวสีดำทอง ชายฉกรรจ์ผู้ใช้ดาบเหล็กกล้าถูกผ่าครึ่งทั้งเป็น อวัยวะที่ถูกฟันจนไหลเกลื่อนทั่วพื้นและผสมปนเปไปกับเลือด

หลังจากสวี่ชีอันฆ่าคนไปแล้วก็ได้ทีขี่แพะไล่ หันกายกลับมาโดยไม่ชะงักแม้แต่น้อย แล้วระลึกถึงภาพยักษ์ตัวใหญ่ขึ้นมาในหัว เพียงชั่วพริบตา เขาก็ราวกับกลายร่างเป็นเทพสงครามที่รบราไปทั่วทุกหนแห่ง พลังปราณพลุ่งพล่าน

‘เคร้ง…สวบ…’

ชายร่างผอมคนหนึ่งในนั้นตวัดดาบขึ้นมากั้น แต่ก็ถูกฟันจนหักได้อย่างง่ายดาย จากนั้นดาบยาวสีดำทองก็แทงเข้าที่หน้าอกของเขา

ชายร่างผอมอีกคนเห็นท่าไม่ดีจึงคิดหนี แต่ถูกขวางไว้ด้วยการระดมยิงจากกองทหารพยัคฆ์ทะยาน สวี่ชีอันตามไปแล้วระลึกถึงการคำรามของสิงโตทองคำอีกครั้ง มันสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็สังหารด้วยดาบเดียว

ทั้งกระบวนท่าก็ใช้เวลาเพียงสิบกว่าอึดใจสั้นๆ เช่นกัน

‘นี่มัน’ …หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ดูการต่อสู้อยู่ส่งเสียงตกตะลึงออกมา

“พลังปราณของเขาล้ำลึกทรงพลัง เหนือกว่าระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดทั่วไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่ข้าก็ยังกล้าพูดได้แค่ว่าเก่งกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” ฆ้องเงินคนหนึ่งเอ่ยอย่างตื่นตะลึง

“คำถามที่เราควรสนใจก็คือ เขาเอาวิชาตระหนักรู้ของสำนักพุทธมาจากไหน นั่นมันสิงโตคำรามเลยนะ” ฆ้องเงินคนหนึ่งกล่าวเสริม

“ยังมีอีกเรื่อง เขาเหมือนจะฝึกการตระหนักรู้สองอย่างพร้อมกันเลย…ทั้งยังเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นี่มันถึงขั้นทะลวงระดับหลอมวิญญาณได้เลยนะ”

“เขาเพิ่งจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้แค่สองเดือนเท่านั้นเอง”

พูดกันไปพูดกันมา เหล่าฆ้องเงินก็เงียบลง สีหน้าซับซ้อน

ปฏิกิริยาของฆ้องทองแดงนั้นเล่นใหญ่ยิ่งกว่า พวกเขาตาโตอ้าปากค้างจ้องมองเงาของสวี่ชีอัน ภาพการสังหารโจรระดับหลอมปราณสามคนจนราบคาบเมื่อครู่ยังคงตราตรึงอยู่ในหัว

ถึงอยู่ระดับหลอมปราณเช่นเดียวกัน แต่พลังต่อสู้ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน และระดับหลอมปราณของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ทรงพลังยิ่งกว่าทหารทั่วไป

แต่ก็ยังไม่ถึงระดับเกินมนุษย์มนาเช่นนี้

สวี่ชีอันสามารถสังหารจอมยุทธ์สามคนได้ภายในเวลาสั้นๆ ทั้งยังไม่บาดเจ็บใดๆ อีก นี่หมายความว่าหากฆ้องทองแดงที่อยู่ที่นี่เข้าไปดวลกับเขาตัวต่อตัว คงไม่มีใครสู้ได้เกินสิบกระบวนท่าแน่ ทั้งนี้ก็รวมพลังของอาวุธเวทมนตร์ฆ้องทองแดงไปแล้วด้วย

ปกติทุกคนจะหัวเราะหยอกเย้าและนั่งอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้ได้รู้ซึ้งแล้วว่าที่แท้เจ้านั่นก็สามารถสู้กับพวกเขาสิบคนได้

เจียงลวี่จงยิ่งรู้ดีว่าสวี่ชีอันยังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชา ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ของเขาเลย

เมื่อจัดการโจรกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว กองทหารพยัคฆ์ทะยานก็นำตัวคนธรรมดาที่ถูกมัดไพล่หลังไว้กลุ่มหนึ่งออกมาจากในป่า พวกเขามีทั้งหมด 25 คน หลังจากสอบถามดูก็รู้ถึงสถานะว่าเป็นพ่อค้า

ในจำนวนนั้นมีสตรีผู้หนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นางไม่ได้อ่อนหวานแช่มช้อยอย่างสาวน้อย แต่อวบอิ่มมีเสน่ห์เหมือนลูกท้อฉ่ำๆ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญด้านบุปผาเท่านั้นถึงจะเข้าใจความงดงามของสตรีเจ้าเนื้อเช่นนี้

“ขอบคุณใต้เท้าทั้งหลาย ขอบคุณใต้เท้าทั้งหลาย…”

พ่อค้าที่ได้รับความช่วยเหลือสำนึกบุญคุณเป็นล้นพ้น เอาแต่คุกเข่าโขกหัวไม่หยุดหย่อน

ผู้ตรวจการจางปลอบโยนพวกเขาอย่างใจดีแล้วเปิดเผยฐานะออกมา พร้อมรับรองว่าจะส่งพวกเขากลับสู่ใจกลางของอวิ๋นโจว ซึ่งก็คือเมืองไป๋ตี้

“ฝังศพพวกนี้ให้หมด จัดระเบียบสินค้าแล้วให้นำไปพร้อมกัน” ผู้ตรวจการจางเอ่ย

เจียงลวี่จงพยักหน้า ออกคำสั่งให้กองทหารพยัคฆ์ทะยานทำงาน

“…”

“สามีเจ้ามีจุดเด่นบนใบหน้าใดหรือไม่”

“…”

“สามีเจ้าสูงเท่าใด”

“…”

“สามีเจ้าเขียนจดหมายว่าอะไร ขอเจ้าโปรดอธิบายให้ฟังสักหน่อย แล้วสามีของเจ้าทำธุรกิจใด”

หยางอิงอิงตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ทั้งงุนงงทั้งไร้ทางสู้ เงียบงันไปนาน นางก็ฟื้นสติกลับมา เอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “สามีของข้าน้อยนามว่า…”

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” สวี่ชีอันกวักมือเรียกกองทหารพยัคฆ์ทะยาน “ค้นตัวนาง”

“???” หยางอิงอิงมองเขาทำตัวไม่ถูก การกระทำของใต้เท้าผู้นี้อยู่เหนือความคาดหมายของนางโดยสิ้นเชิง

นางถอยหลังอย่างตื่นกลัว สองแขนกอดทรวงอกเอาไว้ กัดริมฝีปาก สีหน้าอับอาย

“คิดนานไปแล้ว” สวี่ชีอันพินิจดูสตรีงามเปี่ยมเสน่ห์ด้วยรอยยิ้มหยี “ภรรยาคนหนึ่งยังต้องคิดตั้งเนิ่นนานถึงจะบอกชื่อแซ่และลักษณะเด่นของสามีออกมาได้ เช่นนั้นคนอื่นจะเชื่อถือได้อย่างไร คำโกหกใช่ว่าสร้างออกมาสุ่มๆ สองสามคำแล้วจะทำให้คนเชื่อถือได้ หากเจ้าไม่อยากถูกค้นตัวจงบอกความจริงมา เหตุใดโจรภูเขาเหล่านี้ถึงต้องมาขวางเจ้า”

หลังจากตีด้วยไม้ท่อนใหญ่ สีหน้าของหญิงสาวก็ค่อยๆ ซีดขาว สวี่ชีอันเอ่ยปลอบโยน “ใต้เท้าของข้าเป็นผู้ตรวจการที่มาจากราชสำนัก ในอวิ๋นโจวแห่งนี้ไม่มีขุนนางใดใหญ่ไปกว่าเขาแล้ว มีเรื่องอะไรแค่พูดออกมาเท่านั้น”

หยางอิงอิงมองไปยังผู้ตรวจการจาง ซึ่งคนหลังก็พยักหน้าเอ่ย “ข้ารับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งเพื่อไปตรวจสอบอวิ๋นโจว เจ้าเป็นสตรีชาวบ้านธรรมดา ไม่คุ้มที่จะหลอกลวงขุนนางอย่างข้าหรอก”

หยางอิงอิงก้มหน้าลง ชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้ตัวว่าตนไม่มีทางเลือก จึงกัดฟันคุกเข่าลงกับพื้นทันใด

“ข้าน้อยหยางอิงอิง ครั้งนี้เดินทางไปชิงโจวก็เพื่อหลีกเลี่ยงภัยที่จะมาถึงตัว ขณะเดียวกันก็จะไปหาใต้เท้าหยางสมุหเทศาภิบาลแห่งมณฑลชิงโจวเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับสามีข้าและแก้แค้นด้วยเจ้าค่ะ”

ผู้ตรวจการจางไม่ได้พูดในทันที เขาเงียบงันไปพักหนึ่ง “สามีเจ้าคือผู้ใด เหตุใดต้องไปขอความเป็นธรรมจากใต้เท้าหยาง”

หยางอิงอิงร้องไห้ “สามีของข้าน้อยนามว่าโจวหมินเจ้าค่ะ”

ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงหลง “อะไรนะ?!”

สวี่ชีอันและเจียงลวี่จงหันหน้าไปมองหยางอิงอิงทันใด

โจวหมิน สายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เสียชีวิตอยู่ที่อวิ๋นโจวผู้นั้น ผู้ที่เปิดโปงว่าผู้บัญชาการหยางชวนหนานแห่งอวิ๋นโจวสมคบคิดกับโจรภูเขา และลักลอบส่งทรัพยากรทางทหารเพื่อหาผลประโยชน์ เลี้ยงโจรเพื่อเสริมตำแหน่งตน

จดหมายลับถูกส่งไปเมืองหลวงได้ไม่นาน เขาก็ตายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียแล้ว

………………………………

[1] ล่าห่านป่ามาตลอดฤดูหนาว สุดท้ายถูกห่านจิกตาบอด หมายถึง มั่นใจมากเกินไปจนประมาทเลินเล่อและประสบเคราะห์

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง