ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 191

บทที่ 191 สังหารศัตรู
ตามบันทึกทางภูมิศาสตร์ของต้าฟ่ง อวิ๋นโจวมีเนื้อที่หกหมื่นลี้ที่อุดมไปด้วยทรัพยากร ทั้งพืชผลการเกษตรเครื่องปั้นดินเผา และสมุนไพร ก่อนที่จักรพรรดิอู่จงจะก่อรัฐประหาร ระดับความร่ำรวยของอวิ๋นโจวติดอันดับหนึ่งในห้าจากทุกมณฑลในต้าฟ่งเลยทีเดียว

ถนนทนหางทอดยาว เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า สองข้างทางเป็นทุ่งนาและดินเหลือง เนินเขาสูงต่ำไร้ที่สิ้นสุดอยู่ไกลออกไป

แสงอาทิตย์เพิ่งจะสาดส่องได้ไม่นาน อุณหภูมิต่ำของเมื่อคืนยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ กลุ่มคนหนึ่งร้อยกว่าคนค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามถนน

เสียงกีบม้า ‘กุบกับ’ ดังปะปนไปกับเสียงล้อรถ

“ในปีหยวนจิ่งช่วงแรกๆ นั้น ประชากรชาวอวิ๋นโจวมีถึงห้าล้านคน แต่ต่อมา ทุกๆ สิบปีสมุดเหลืองจะทำการเรียบเรียงใหม่หนึ่งครั้ง พบว่าประชากรค่อยๆ ลดลง ในปีหยวนจิ่งที่ 30 ประชากรในอวิ๋นโจวก็มีอยู่สามล้านห้าแสนกว่าคน ตอนนี้เป็นปีหยวนจิ่งที่ 36 เหลืออีกสี่ปีก็จะถึงปีที่เรียบเรียงสมุดเหลืองใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าอวิ๋นโจวแห่งนี้จะมีประชากรเหลืออยู่เท่าไร”

ผู้ตรวจการจางเปิดม่านออกแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

ประชากรลดลงไปถึงหนึ่งล้านห้าแสนคนภายในสามสิบปี น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่จำนวนประชากรที่ลดลงไปจริงๆ กลับมีมากยิ่งกว่าตัวเลขนี้ ทว่าผืนดินของอวิ๋นโจวอุดมสมบูรณ์ เมื่อไม่มีภัยธรรมชาติก็ไม่ต้องคิดถึงปัญหาความอดอยากเลย

ดังนั้นจึงหมายความว่าหากมีการสืบพันธุ์ตามปกติในช่วงสิบปีนี้ ประชากรก็ต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

…จากห้าล้านคนลดเหลือสามล้านห้าแสนคน นี่ไม่ใช่การลดลงแบบปกติ แถมถ้าคำนวณจริงๆ จำนวนประชากรที่ลดลงก็ต้องเพิ่มขึ้นจากที่บันทึกไว้เป็นเท่าตัวเลย…สวี่ชีอันอ้าปากกว้างเป็นตัวอักษร 国 “สถานที่บ้าบอคอแตกอะไรเนี่ย”

ผู้ตรวจการจางเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยต่อ “จำนวนประชากรที่สูญเสียไปนั้น ครึ่งหนึ่งเกิดการจากเก็บภาษีจำนวนมาก พวกเขาจึงละทิ้งทุ่งนาไปเป็นผู้ลี้ภัย หรือไม่ก็เข้าเมืองไปหาเลี้ยงชีพแบบอื่น หรืออาจจะเข้าป่าไปเป็นโจร ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่ถูกบันทึกไว้ในสมุดเหลือง อีกอย่างก็เป็นเพราะมีการโจรกรรมรุนแรง ทั้งเผาฆ่าปล้นชิงทรัพย์ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเข้าไปอีก บางครั้งโจรภูเขาก็จะลงเขามาชิงตัวชาวบ้านไปเสริมกำลังพล อ้อ โจรภูเขาก็ไม่อยู่ในสมุดเหลืองด้วยเช่นกัน”

สายตาของสวี่ชีอันทอดมองไปไกลอย่างไม่หือไม่อือ หูก็ฟังคำพูดของผู้ตรวจการจางไปด้วย ส่วนใจก็คิดวิเคราะห์

…สมัยหยวนจิ่งปีแรกยังมีอยู่ห้าล้านคน พอปีหยวนจิ่งที่ 10 ประชากรก็ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งปีหยวนจิ่งที่ 30 ก็มีไม่ถึงหนึ่งล้านห้าแสนคนแล้ว จำนวนคนควรมีมากกว่านี้จริงๆ …ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่อวิ๋นโจวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็เกือบจะเป็นช่วงที่จักรพรรดิหยวนจิ่งเริ่มฝึกเต๋าพอดี…

เพราะจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งหมกมุ่นในการฝึกเต๋า ดังนั้นจึงทำให้สำนักพ่อมดเห็นเป็นโอกาสอย่างนั้นหรือ สำนักพ่อมดวางแผนการมายี่สิบกว่าปี ไม่มีทางคิดทำเรื่องเล็กๆ แน่ และดินแดนที่ควบคุมโดยต้าฟ่งกับสำนักพ่อมดร่วมกันจะต้องเกิดสงครามขึ้นแน่

คิดไปคิดมา หัวของเขาก็เอนเอียง เกือบจะหลับอยู่รอมร่อ

“สภาพของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไร” ผู้ตรวจการจางพินิจดูเขาแล้วขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป”

ใต้เท้าผู้ตรวจการจำได้ว่าในการเดินทางครั้งนี้ สวี่ชีอันประพฤติตนเหมาะสมสงบเสงี่ยม ไม่มัวอ้อยอิ่งอยู่ที่สำนักสังคีต ดูจากเหตุผลนี้แล้ว เขาก็ไม่ควรมีท่าทางอ่อนล้าเช่นนี้สิ

สวี่ชีอันหันหน้าไปยิ้มขมขื่นให้กับใต้เท้าผู้ตรวจการ “ไม่ได้เป็นอะไรขอรับ แค่กลายเป็นยอดปรมาจารย์ด้านการบริหารเวลาเท่านั้นขอรับ”

นี่เป็นวันที่แปดที่เขาไม่ได้นอนแล้ว จึงรู้สึกปวดหัวฉับพลัน เส้นเลือดก็คล้ายจะระเบิดออกมาให้ได้ วันนี้ตอนกินอาหารเช้าก็ถึงขั้นเห็นภาพมายาเลือนราง คิดว่าสวี่หลิงอินกำลังแย่งซาลาเปาไส้เนื้อของเขาอยู่

ลูกตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ขอบตามีทั้งสีดำสีเขียว นี่ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงตอนที่ตนมีชีวิตอยู่ในสังคมแห่งการทำงานล่วงเวลา และบางครั้งก็ต้องทำงานแบบไม่หลับไม่นอน ซึ่งก็ย่ำแย่พอๆ กับตอนนี้เลย

ยังเหลืออีกสองวัน ผ่านสองวันนี้แล้วข้าก็น่าจะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณได้สักที จะให้ตัวเองนอนหลับไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะสะดุดล้มก่อนถึงเส้นชัยได้…แต่ทำไมรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจัง…

สวี่ชีอันสูดหายใจลึกแล้วปลดถุงน้ำราดลงบนศีรษะ อาศัยสิ่งนี้มากระตุ้นร่างกายและปลุกเร้าจิตใจ

กองคาราวานพ่อค้าสามร้อยคนมุ่งหน้าไปตามถนนหลวง มีเกวียนพื้นเรียบลากขนสินค้า และใต้ผ้าใบกันน้ำก็มีทั้งผ้าไหม ใบชา เครื่องเคลือบ และผงชาด ล้วนเป็นสินค้าที่ผลิตจากอวิ๋นโจวทั้งสิ้น

นอกจากนั้นยังมีสินค้าเฉพาะของอวิ๋นโจวบางอย่าง เช่นหมึกน้ำลายงูและหินบุษราคัม เป็นต้น

เจ้าของกองคาราวานเป็นชายฉกรรจ์ใบหน้าดุดันนามว่าจ้าวหลง สมัยหนุ่มเป็นผู้กล้าระบือนามในยุทธภพอวิ๋นโจว และเคยเดินบนเส้นทางทั้งดำและขาวมาแล้ว

พอเบื่อหน่ายจากการฟาดฟันกระบี่ลิ้มรสเลือด เขาก็อาศัยชื่อเสียงและเส้นสายความสัมพันธ์ที่เคยสร้างสมัยหนุ่มๆ หันไปทำธุรกิจกองคาราวานพ่อค้า

เขามักจะหาเส้นทางดีๆ บนภูเขาและออกจากอวิ๋นโจวได้อย่างราบรื่นปลอดภัยเสมอ จากนั้นจึงกระจายสินค้าไปยังทั่วทุกหนแห่งและทำเงินเป็นกอบเป็นกำ

เมื่อเวลาผ่านไป พ่อค้ามากมายก็เต็มใจจะจ่ายเงินหนักๆ ให้กับกองคาราวานของจ้าวหลงเพื่อความปลอดภัย

กองคาราวานของจ้าวหลงจึงพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นกึ่งพ่อค้ากึ่งผู้คุ้มกัน

หยางอิงอิงก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาพึ่งพิงร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เช่นกัน แต่นางไปจากอวิ๋นโจวด้วยสถานะคนเร่ร่อน โดยใช้เงินไปยี่สิบตำลึงเพื่อขอรับความคุ้มครองจากกองคาราวาน

ถึงอย่างไรผู้หญิงอ่อนแอเช่นนางก็ไม่อาจออกจากอวิ๋นโจวได้เพียงลำพังอยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าวันไหนนางจะถูกโจรดักฉุดกลางถนนแล้วกลายเป็นเมียโจรไปเสีย

จากความงามของนางแล้ว ให้เป็นเมียโจรก็ออกจะเกินไปหน่อย

หยางอิงอิงเป็นสตรีจากสำนักสังคีตเมืองอวิ๋นโจว สมัยยังสาวเป็นคณิกาผู้หนึ่ง ต่อมาโชคดีได้เจอกับคนดีที่มาไถ่ตัวนางไปถูกเลี้ยงดูไว้ในบ้าน กลายเป็นเมียเก็บ

ปีนี้นางอายุเลยสามสิบแล้วแต่ความงามก็ไม่ได้ลดลงเลย รูปร่างกลับอวบอิ่มมากยิ่งขึ้น และยังทวีเสน่ห์ของสตรีวัยสุกงอมยิ่งขึ้นอีก นางมีดวงตารูปผลซิ่งที่สว่างไสวคู่หนึ่ง ยามใช้มองผู้คนก็จะเป็นประกายสดใส

หยางอิงอิงนั่งอยู่บนหลังม้า สัมผัสได้ถึงดวงตาร้อนแรงของพวกผู้คุ้มกันรอบข้าง จึงอดไม่ได้ที่จะกระชับเสื้อคลุมและก้มหน้าลงไปให้ต่ำกว่าเดิม

มองแวบแรกมือของนางคล้ายปกป้องทรวงอกอวบอิ่มเพื่อเลี่ยงสายตาแทะโลมจากชายฉกรรจ์บางคน แต่ความจริงสิ่งที่นางปกป้องอยู่ในอ้อมอกคือของชิ้นหนึ่ง

ของสิ่งนี้เองที่บีบให้นางต้องไปจากอวิ๋นโจว

ผู้คุ้มกันคนหนึ่งมองดูแผ่นหลังของหยางอิงอิงพลางน้ำลายหก นางขี่ม้า ชุดกระโปรงก็แนบติดลำตัว เรือนร่างและสะโพกแน่นๆ นั่นช่างเย้ายวนใจจริงๆ

ผู้คุ้มกันร่างบึกบึนตบท้องม้าเขยิบเข้าหาหยางอิงอิงแล้วแยกเขี้ยวเอ่ยยิ้มๆ “คนสวยจ้ะ ตอนกลางคืนมาเล่นกับพี่หน่อยไหม เงินที่พี่หามาได้ครั้งนี้จะให้เจ้าทั้งหมดเลย ตั้งสิบตำลึงเชียวแหนะ”

หยางอิงอิงแสร้งทำหูทวนลม ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ทำเหมือนว่าเขาไม่ใช่คน

ผู้คุ้มกันพูดต่ออีกสองสามคำ แต่พอเห็นคนงามไม่สนใจก็ก่นด่าแล้วจากไป

ผู้คุ้มกันที่คุ้นเคยกับเขาหัวเราะดังลั่น เหน็บแนมไปหนึ่งที แต่ในแววตาของทุกคนล้วนหมดหวัง ผู้หญิงคนนี้มีทิฐิสูง ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่มีโอกาสเช่นกัน

ดวงตาของผู้คุ้มกันที่กอบกุมชีวิตของผู้คนไว้ในมือสาดประกายโหดเหี้ยม สตรีนุ่มนิ่มเดินทางเพียงลำพังเช่นนี้ หากไม่ได้เจอกับพี่ใหญ่จ้าวก็คงถูกจับกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว

จ้าวหลงผู้อยู่หน้าสุดของกองคาราวานยกมือขึ้นทำสัญญาณ เหล่าผู้คุ้มกันชักอาวุธออกมาทันที ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แต่ดาบก็จะถูกชักออกจากฝักแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น นี่คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของผู้คุ้มกัน

ทุกคนพเนจรอยู่ในยุทธภพก็เพื่อเงินทอง ดังนั้นพวกเขาจะไม่สู้จนถึงขั้นเอาชีวิต เว้นเสียแต่พลังของสองฝ่ายจะห่างไกลกันมาก ยิ่งไปกว่านั้นลูกพี่จ้าวก็มีเส้นสายในอิทธิพลมืดอยู่พอสมควร ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่มาทำงานนี้หรอก

ในป่าทึบสองข้างทางของถนนสายเล็กๆ มีคนราวๆ เจ็ดสิบแปดสิบคนกระโดดผลุงออกมา หอกดาบส่องประกายวูบวาบ บนทางแยกก็ยังมีคนถูกฆ่าตายมากกว่ายี่สิบศพ ทั้งหมดเป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำทั้งสิ้น

จ้าวหลงรู้สึกงุนงง แต่ละปีเขาใช้งานถนนเส้นนี้มาหลายหน รู้ดีว่าเส้นไหนจำเป็นต้องเก็บกวาดถางทาง และเส้นไหนจำเป็นต้องเคารพให้เกียรติ

‘แล้วป่าแห่งนี้มีโจรร้ายดักปล้นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด’ …จ้าวหลงกดมือลง เป็นสัญญาณให้ผู้คุ้มกันใต้บัญชาอย่าเพิ่งวู่วาม จากนั้นบังคับม้าให้เดินขึ้นหน้าเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสียงดัง

“ข้าน้อยจ้าวหลง ก่อนหน้านี้พวกสหายมาทางใด…”

พอเข้าไปใกล้ เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติทันที ที่เอวของโจรป่ากลุ่มนี้แขวนหน้าไม้ทหารเอาไว้ ในมือถือดาบยาวมาตรฐาน คนเหล่านี้ล้วนติดตั้งอุปกรณ์ของทหารทั้งนั้น

จ้าวหลงเคยได้ยินว่ามีหมู่บ้านใหญ่บางแห่งที่ไม่เคยขาดยุทโธปกรณ์เลย พวกนั้นมีทั้งดาบทั้งหน้าไม้และปืนไฟ ครบครันทุกด้าน แต่นั่นล้วนเป็นหมู่บ้านโจรป่าชั้นยอดที่ไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่

“หนิงเยี่ยน เจ้าเหมือนคนป่วยที่โดนผู้หญิงหลอกจนหมดตัวเลยนะ” ซ่งถิงเฟิงและสวี่ชีอันเดินคู่กันไป ถือโอกาสนี้เยาะเย้ยขำขัน

สวี่ชีอันเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยเรียบๆ “ข้ามีเพื่อนคนหนึ่ง เขาถามข้าว่ามียาเพิ่มสมรรถนะบำรุงไตของสำนักโหราจารย์หรือไม่”

รอยยิ้มของซ่งถิงเฟิงแข็งค้าง

“เพื่อนคนนั้นก็คือจูกว่างเสี้ยวสินะ กว่างเสี้ยวหนอ เจ้ามีคู่หมั้นอยู่ทั้งคน เหตุใดจะต้องทุ่มชีวิตขนาดนี้ด้วยเล่า” ซ่งถิงเฟิงโยนหม้อไปให้จูกว่างเสี้ยว

จูกว่างเสี้ยวปรายตามองเขานิ่งๆ ไม่พูดอะไร แต่รู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจจึงตอบโต้ว่า “ข้าน่ะรักหยกถนอมบุปผา แต่เจ้ามันทำตัวน่าเกลียดนัก สตรีที่นอนกับเจ้าทุกเช้าล้วนลุกจากเตียงไม่ขึ้นกันทั้งนั้น เจ้ามันไม่เคยรู้จักควบคุมตัวเอง ร่างกายเสียสมดุลหมดแล้ว”

ทหารมีร่างกายแข็งแรงและเปี่ยมกำลังวังชา แต่ต่อให้เป็นราชาปีศาจกระทิง ถ้าต้องไถพรวนดินตั้งแต่ค่ำยันเช้าทุกวันๆ เมื่อเวลาผ่านไปเลือดลมก็จะขาดสมดุลได้เช่นกัน

“ข้านี่ร้ายกาจเสียจริง” ซ่งถิงเฟิงพึงพอใจ ยิ้มย่องอย่างภาคภูมิ “มีเพียงหญิงสาวจากสำนักสังคีตเท่านั้นที่เข้ากับข้าได้อย่างมีความสุข แม้ว่าพวกนางจะรับมือจนหมดเรี่ยวแรงก็ตาม”

“ถิงเฟิง…”

ซ่งถิงเฟิงได้ยินสวี่ชีอันเรียกเขา จึงหันหน้ากลับมามอง “อะไร?”

“เจ้าไม่ได้ร้ายกาจหรอก แต่เป็นคนอื่นเขาต่างหากที่อดทนต่อความเล็กจ้อยของเจ้าได้”

“ไปให้พ้นเลย”

ขณะที่กำลังหัวเราะเล่นกันอยู่นั้น เจียงลวี่จงที่เดินนำกลุ่มอยู่ก็เอ่ยเสียงเครียด “ด้านหน้ามีกลิ่นคาวเลือด ทุกคนเตรียมพร้อม”

‘ชิ้ง’ …เสียงดาบถูกชักออกมาจากฝักดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กองทหารพยัคฆ์ทะยานและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลชักดาบพกออกมาพร้อมกันและปลดหน้าไม้ลงเรียบร้อยแล้ว

“บุก!” เจียงลวี่จงตบท้องม้าแล้วพุ่งออกไป

คณะตรวจการเข้าสู่สภาวะเคลื่อนทัพ ทั้งรวดเร็วยิ่งยวดและยังเป็นระเบียบแบบแผน

เคลื่อนพลมาได้สิบนาที ด้านหน้าก็มีป่าทึบปรากฏขึ้น รวมถึงกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่พัดโชยมาตามลม

ทันทีที่เข้ามาในป่าทึบ ลูกศรคมก็ถูกยิงมาจากสองข้างทางเพื่อโจมตีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่กำลังเคลื่อนพล

เจียงลวี่จงยกมือขึ้นแล้วกดลง ห่าลูกศรก็ชนเข้ากับกำแพงปราณที่มองไม่เห็น ก่อนร่วงลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

เขาโบกมือกล่าว “กองทัพพยัคฆ์ทะยาน เข้าป่าฆ่าศัตรู”

เมื่อพูดจบ เจียงลวี่จงก็มองไปด้านหน้า ศพหลายร้อยศพตายเกลื่อนอยู่ทั่วถนน เลือดอาบย้อมพื้นดิน แม้แต่อาชาก็ไม่อาจหนีจากเคราะห์ร้ายได้ สินค้าที่กองคาราวานกลุ่มนี้ขนส่งมากระจัดกระจายไปทั่ว

เขาวิเคราะห์สถานการณ์ได้ทันท่วงที…เพราะเขาได้กลิ่นคาวเลือดล่วงหน้า จึงสั่งให้กองกำลังบุกโจมตี ยามที่โจรป่าดักปล้นสินค้ากลุ่มนี้ได้ยินเสียงควบม้าก็สลายตัวถอยหลังไม่ทันแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ต้องหลบซุ่มโจมตีอยู่ในป่า

เสียงต่อสู้ดุเดือดดังมาจากในป่าทึบ กองทหารพยัคฆ์ทะยานคือหนึ่งในห้ากองกำลังประจำเมืองหลวง แม้ว่าจะไม่ได้ดุดันเหี้ยมหาญเช่นทหารรักษาวัง แต่ก็เป็นเลิศในเรื่องการรบบนภาคพื้นดิน

จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายต่างกันไม่มาก ลูกศรกับคมดาบปะทะกัน รบกันอุตลุด

เจียงลวี่จงชะงักนิ่ง รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่สักหน่อย เขาหันหน้าไปมองสวี่ชีอัน “หนิงเยี่ยน เคยฆ่าคนหรือไม่”

“เคยฆ่าหนึ่งคน ทำให้เจ็บหนักหนึ่งคนขอรับ” สวี่ชีอันมองไปยังกองคาราวานที่มีศพกระจายอยู่ทั่ว แล้วพูดสถิติการรบออกมาส่งๆ

เจียงลวี่จงแค่นหัวเราะ ‘เฮอะ’ ออกมา “เจ้าเด็กไก่อ่อนเอ๊ย”

เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหัวเราะลั่น

นอกจากสวี่ชีอันผู้เป็นมือใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมายังไม่ถึงสองเดือนผู้นี้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นทหารผู้เคยผ่านศึกน้อยใหญ่มาแล้วทั้งนั้น ล้วนแต่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา

เจียงลวี่จงชี้ไปที่ป่าแล้วกล่าวว่า “ไป ฝึกปรือฝีมือหน่อยซิ อย่างน้อยต้องฆ่าให้ได้หนึ่งคน”

สวี่ชีอันถอนสายตากลับมาแล้วค่อยๆ ถอนหายใจ “ขอรับ!”

……………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง