สรุปเนื้อหา บทที่ 191 สังหารศัตรู – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
บท บทที่ 191 สังหารศัตรู ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ถนนทนหางทอดยาว เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า สองข้างทางเป็นทุ่งนาและดินเหลือง เนินเขาสูงต่ำไร้ที่สิ้นสุดอยู่ไกลออกไป
แสงอาทิตย์เพิ่งจะสาดส่องได้ไม่นาน อุณหภูมิต่ำของเมื่อคืนยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ กลุ่มคนหนึ่งร้อยกว่าคนค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามถนน
เสียงกีบม้า ‘กุบกับ’ ดังปะปนไปกับเสียงล้อรถ
“ในปีหยวนจิ่งช่วงแรกๆ นั้น ประชากรชาวอวิ๋นโจวมีถึงห้าล้านคน แต่ต่อมา ทุกๆ สิบปีสมุดเหลืองจะทำการเรียบเรียงใหม่หนึ่งครั้ง พบว่าประชากรค่อยๆ ลดลง ในปีหยวนจิ่งที่ 30 ประชากรในอวิ๋นโจวก็มีอยู่สามล้านห้าแสนกว่าคน ตอนนี้เป็นปีหยวนจิ่งที่ 36 เหลืออีกสี่ปีก็จะถึงปีที่เรียบเรียงสมุดเหลืองใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าอวิ๋นโจวแห่งนี้จะมีประชากรเหลืออยู่เท่าไร”
ผู้ตรวจการจางเปิดม่านออกแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
ประชากรลดลงไปถึงหนึ่งล้านห้าแสนคนภายในสามสิบปี น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่จำนวนประชากรที่ลดลงไปจริงๆ กลับมีมากยิ่งกว่าตัวเลขนี้ ทว่าผืนดินของอวิ๋นโจวอุดมสมบูรณ์ เมื่อไม่มีภัยธรรมชาติก็ไม่ต้องคิดถึงปัญหาความอดอยากเลย
ดังนั้นจึงหมายความว่าหากมีการสืบพันธุ์ตามปกติในช่วงสิบปีนี้ ประชากรก็ต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
…จากห้าล้านคนลดเหลือสามล้านห้าแสนคน นี่ไม่ใช่การลดลงแบบปกติ แถมถ้าคำนวณจริงๆ จำนวนประชากรที่ลดลงก็ต้องเพิ่มขึ้นจากที่บันทึกไว้เป็นเท่าตัวเลย…สวี่ชีอันอ้าปากกว้างเป็นตัวอักษร 国 “สถานที่บ้าบอคอแตกอะไรเนี่ย”
ผู้ตรวจการจางเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยต่อ “จำนวนประชากรที่สูญเสียไปนั้น ครึ่งหนึ่งเกิดการจากเก็บภาษีจำนวนมาก พวกเขาจึงละทิ้งทุ่งนาไปเป็นผู้ลี้ภัย หรือไม่ก็เข้าเมืองไปหาเลี้ยงชีพแบบอื่น หรืออาจจะเข้าป่าไปเป็นโจร ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่ถูกบันทึกไว้ในสมุดเหลือง อีกอย่างก็เป็นเพราะมีการโจรกรรมรุนแรง ทั้งเผาฆ่าปล้นชิงทรัพย์ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเข้าไปอีก บางครั้งโจรภูเขาก็จะลงเขามาชิงตัวชาวบ้านไปเสริมกำลังพล อ้อ โจรภูเขาก็ไม่อยู่ในสมุดเหลืองด้วยเช่นกัน”
สายตาของสวี่ชีอันทอดมองไปไกลอย่างไม่หือไม่อือ หูก็ฟังคำพูดของผู้ตรวจการจางไปด้วย ส่วนใจก็คิดวิเคราะห์
…สมัยหยวนจิ่งปีแรกยังมีอยู่ห้าล้านคน พอปีหยวนจิ่งที่ 10 ประชากรก็ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งปีหยวนจิ่งที่ 30 ก็มีไม่ถึงหนึ่งล้านห้าแสนคนแล้ว จำนวนคนควรมีมากกว่านี้จริงๆ …ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่อวิ๋นโจวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็เกือบจะเป็นช่วงที่จักรพรรดิหยวนจิ่งเริ่มฝึกเต๋าพอดี…
เพราะจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งหมกมุ่นในการฝึกเต๋า ดังนั้นจึงทำให้สำนักพ่อมดเห็นเป็นโอกาสอย่างนั้นหรือ สำนักพ่อมดวางแผนการมายี่สิบกว่าปี ไม่มีทางคิดทำเรื่องเล็กๆ แน่ และดินแดนที่ควบคุมโดยต้าฟ่งกับสำนักพ่อมดร่วมกันจะต้องเกิดสงครามขึ้นแน่
คิดไปคิดมา หัวของเขาก็เอนเอียง เกือบจะหลับอยู่รอมร่อ
“สภาพของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไร” ผู้ตรวจการจางพินิจดูเขาแล้วขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป”
ใต้เท้าผู้ตรวจการจำได้ว่าในการเดินทางครั้งนี้ สวี่ชีอันประพฤติตนเหมาะสมสงบเสงี่ยม ไม่มัวอ้อยอิ่งอยู่ที่สำนักสังคีต ดูจากเหตุผลนี้แล้ว เขาก็ไม่ควรมีท่าทางอ่อนล้าเช่นนี้สิ
สวี่ชีอันหันหน้าไปยิ้มขมขื่นให้กับใต้เท้าผู้ตรวจการ “ไม่ได้เป็นอะไรขอรับ แค่กลายเป็นยอดปรมาจารย์ด้านการบริหารเวลาเท่านั้นขอรับ”
นี่เป็นวันที่แปดที่เขาไม่ได้นอนแล้ว จึงรู้สึกปวดหัวฉับพลัน เส้นเลือดก็คล้ายจะระเบิดออกมาให้ได้ วันนี้ตอนกินอาหารเช้าก็ถึงขั้นเห็นภาพมายาเลือนราง คิดว่าสวี่หลิงอินกำลังแย่งซาลาเปาไส้เนื้อของเขาอยู่
ลูกตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ขอบตามีทั้งสีดำสีเขียว นี่ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงตอนที่ตนมีชีวิตอยู่ในสังคมแห่งการทำงานล่วงเวลา และบางครั้งก็ต้องทำงานแบบไม่หลับไม่นอน ซึ่งก็ย่ำแย่พอๆ กับตอนนี้เลย
ยังเหลืออีกสองวัน ผ่านสองวันนี้แล้วข้าก็น่าจะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณได้สักที จะให้ตัวเองนอนหลับไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะสะดุดล้มก่อนถึงเส้นชัยได้…แต่ทำไมรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจัง…
สวี่ชีอันสูดหายใจลึกแล้วปลดถุงน้ำราดลงบนศีรษะ อาศัยสิ่งนี้มากระตุ้นร่างกายและปลุกเร้าจิตใจ
…
กองคาราวานพ่อค้าสามร้อยคนมุ่งหน้าไปตามถนนหลวง มีเกวียนพื้นเรียบลากขนสินค้า และใต้ผ้าใบกันน้ำก็มีทั้งผ้าไหม ใบชา เครื่องเคลือบ และผงชาด ล้วนเป็นสินค้าที่ผลิตจากอวิ๋นโจวทั้งสิ้น
นอกจากนั้นยังมีสินค้าเฉพาะของอวิ๋นโจวบางอย่าง เช่นหมึกน้ำลายงูและหินบุษราคัม เป็นต้น
เจ้าของกองคาราวานเป็นชายฉกรรจ์ใบหน้าดุดันนามว่าจ้าวหลง สมัยหนุ่มเป็นผู้กล้าระบือนามในยุทธภพอวิ๋นโจว และเคยเดินบนเส้นทางทั้งดำและขาวมาแล้ว
พอเบื่อหน่ายจากการฟาดฟันกระบี่ลิ้มรสเลือด เขาก็อาศัยชื่อเสียงและเส้นสายความสัมพันธ์ที่เคยสร้างสมัยหนุ่มๆ หันไปทำธุรกิจกองคาราวานพ่อค้า
เขามักจะหาเส้นทางดีๆ บนภูเขาและออกจากอวิ๋นโจวได้อย่างราบรื่นปลอดภัยเสมอ จากนั้นจึงกระจายสินค้าไปยังทั่วทุกหนแห่งและทำเงินเป็นกอบเป็นกำ
เมื่อเวลาผ่านไป พ่อค้ามากมายก็เต็มใจจะจ่ายเงินหนักๆ ให้กับกองคาราวานของจ้าวหลงเพื่อความปลอดภัย
กองคาราวานของจ้าวหลงจึงพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นกึ่งพ่อค้ากึ่งผู้คุ้มกัน
หยางอิงอิงก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาพึ่งพิงร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เช่นกัน แต่นางไปจากอวิ๋นโจวด้วยสถานะคนเร่ร่อน โดยใช้เงินไปยี่สิบตำลึงเพื่อขอรับความคุ้มครองจากกองคาราวาน
ถึงอย่างไรผู้หญิงอ่อนแอเช่นนางก็ไม่อาจออกจากอวิ๋นโจวได้เพียงลำพังอยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าวันไหนนางจะถูกโจรดักฉุดกลางถนนแล้วกลายเป็นเมียโจรไปเสีย
จากความงามของนางแล้ว ให้เป็นเมียโจรก็ออกจะเกินไปหน่อย
หยางอิงอิงเป็นสตรีจากสำนักสังคีตเมืองอวิ๋นโจว สมัยยังสาวเป็นคณิกาผู้หนึ่ง ต่อมาโชคดีได้เจอกับคนดีที่มาไถ่ตัวนางไปถูกเลี้ยงดูไว้ในบ้าน กลายเป็นเมียเก็บ
ปีนี้นางอายุเลยสามสิบแล้วแต่ความงามก็ไม่ได้ลดลงเลย รูปร่างกลับอวบอิ่มมากยิ่งขึ้น และยังทวีเสน่ห์ของสตรีวัยสุกงอมยิ่งขึ้นอีก นางมีดวงตารูปผลซิ่งที่สว่างไสวคู่หนึ่ง ยามใช้มองผู้คนก็จะเป็นประกายสดใส
หยางอิงอิงนั่งอยู่บนหลังม้า สัมผัสได้ถึงดวงตาร้อนแรงของพวกผู้คุ้มกันรอบข้าง จึงอดไม่ได้ที่จะกระชับเสื้อคลุมและก้มหน้าลงไปให้ต่ำกว่าเดิม
มองแวบแรกมือของนางคล้ายปกป้องทรวงอกอวบอิ่มเพื่อเลี่ยงสายตาแทะโลมจากชายฉกรรจ์บางคน แต่ความจริงสิ่งที่นางปกป้องอยู่ในอ้อมอกคือของชิ้นหนึ่ง
ของสิ่งนี้เองที่บีบให้นางต้องไปจากอวิ๋นโจว
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งมองดูแผ่นหลังของหยางอิงอิงพลางน้ำลายหก นางขี่ม้า ชุดกระโปรงก็แนบติดลำตัว เรือนร่างและสะโพกแน่นๆ นั่นช่างเย้ายวนใจจริงๆ
ผู้คุ้มกันร่างบึกบึนตบท้องม้าเขยิบเข้าหาหยางอิงอิงแล้วแยกเขี้ยวเอ่ยยิ้มๆ “คนสวยจ้ะ ตอนกลางคืนมาเล่นกับพี่หน่อยไหม เงินที่พี่หามาได้ครั้งนี้จะให้เจ้าทั้งหมดเลย ตั้งสิบตำลึงเชียวแหนะ”
หยางอิงอิงแสร้งทำหูทวนลม ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ทำเหมือนว่าเขาไม่ใช่คน
ผู้คุ้มกันพูดต่ออีกสองสามคำ แต่พอเห็นคนงามไม่สนใจก็ก่นด่าแล้วจากไป
ผู้คุ้มกันที่คุ้นเคยกับเขาหัวเราะดังลั่น เหน็บแนมไปหนึ่งที แต่ในแววตาของทุกคนล้วนหมดหวัง ผู้หญิงคนนี้มีทิฐิสูง ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่มีโอกาสเช่นกัน
ขณะที่กำลังหัวเราะเล่นกันอยู่นั้น เจียงลวี่จงที่เดินนำกลุ่มอยู่ก็เอ่ยเสียงเครียด “ด้านหน้ามีกลิ่นคาวเลือด ทุกคนเตรียมพร้อม”
‘ชิ้ง’ …เสียงดาบถูกชักออกมาจากฝักดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กองทหารพยัคฆ์ทะยานและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลชักดาบพกออกมาพร้อมกันและปลดหน้าไม้ลงเรียบร้อยแล้ว
“บุก!” เจียงลวี่จงตบท้องม้าแล้วพุ่งออกไป
คณะตรวจการเข้าสู่สภาวะเคลื่อนทัพ ทั้งรวดเร็วยิ่งยวดและยังเป็นระเบียบแบบแผน
เคลื่อนพลมาได้สิบนาที ด้านหน้าก็มีป่าทึบปรากฏขึ้น รวมถึงกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่พัดโชยมาตามลม
ทันทีที่เข้ามาในป่าทึบ ลูกศรคมก็ถูกยิงมาจากสองข้างทางเพื่อโจมตีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่กำลังเคลื่อนพล
เจียงลวี่จงยกมือขึ้นแล้วกดลง ห่าลูกศรก็ชนเข้ากับกำแพงปราณที่มองไม่เห็น ก่อนร่วงลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาโบกมือกล่าว “กองทัพพยัคฆ์ทะยาน เข้าป่าฆ่าศัตรู”
เมื่อพูดจบ เจียงลวี่จงก็มองไปด้านหน้า ศพหลายร้อยศพตายเกลื่อนอยู่ทั่วถนน เลือดอาบย้อมพื้นดิน แม้แต่อาชาก็ไม่อาจหนีจากเคราะห์ร้ายได้ สินค้าที่กองคาราวานกลุ่มนี้ขนส่งมากระจัดกระจายไปทั่ว
เขาวิเคราะห์สถานการณ์ได้ทันท่วงที…เพราะเขาได้กลิ่นคาวเลือดล่วงหน้า จึงสั่งให้กองกำลังบุกโจมตี ยามที่โจรป่าดักปล้นสินค้ากลุ่มนี้ได้ยินเสียงควบม้าก็สลายตัวถอยหลังไม่ทันแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ต้องหลบซุ่มโจมตีอยู่ในป่า
เสียงต่อสู้ดุเดือดดังมาจากในป่าทึบ กองทหารพยัคฆ์ทะยานคือหนึ่งในห้ากองกำลังประจำเมืองหลวง แม้ว่าจะไม่ได้ดุดันเหี้ยมหาญเช่นทหารรักษาวัง แต่ก็เป็นเลิศในเรื่องการรบบนภาคพื้นดิน
จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายต่างกันไม่มาก ลูกศรกับคมดาบปะทะกัน รบกันอุตลุด
เจียงลวี่จงชะงักนิ่ง รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่สักหน่อย เขาหันหน้าไปมองสวี่ชีอัน “หนิงเยี่ยน เคยฆ่าคนหรือไม่”
“เคยฆ่าหนึ่งคน ทำให้เจ็บหนักหนึ่งคนขอรับ” สวี่ชีอันมองไปยังกองคาราวานที่มีศพกระจายอยู่ทั่ว แล้วพูดสถิติการรบออกมาส่งๆ
เจียงลวี่จงแค่นหัวเราะ ‘เฮอะ’ ออกมา “เจ้าเด็กไก่อ่อนเอ๊ย”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหัวเราะลั่น
นอกจากสวี่ชีอันผู้เป็นมือใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมายังไม่ถึงสองเดือนผู้นี้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นทหารผู้เคยผ่านศึกน้อยใหญ่มาแล้วทั้งนั้น ล้วนแต่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา
เจียงลวี่จงชี้ไปที่ป่าแล้วกล่าวว่า “ไป ฝึกปรือฝีมือหน่อยซิ อย่างน้อยต้องฆ่าให้ได้หนึ่งคน”
สวี่ชีอันถอนสายตากลับมาแล้วค่อยๆ ถอนหายใจ “ขอรับ!”
……………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...