บทที่ 198 คำถามของหมายเลขสอง
ในยุคสมัยนี้ วิธีการทำผีผาไร้เมล็ดนั้นเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาลับทีเดียว
แต่สำหรับสวี่ชีอันที่ได้รับการเรียนการสอนเรื่องชีววิทยามาเป็นอย่างดี นี่จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น เขาถึงขนาดรู้ด้วยว่าต้นไม้ที่น่าสงสารนั้นต้องการสืบเชื้อสายต่อไป มันจึงเชิญผึ้งข้างบ้านมาช่วยสืบพันธุ์
ทุกคนในที่นั้นพลันเงียบงันแข็งทื่อ คำพูดของสวี่ชีอันทำให้ขุนนางทั้งหมดตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้จักวิธีการเพาะผีผาไร้เมล็ด ช่างทำให้คนตบโต๊ะชมเปาะได้เสียจริง
ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยทำให้หมดคำพูด
หลี่เมี่ยวเจินเบิกตาคู่งามแล้วเริ่มพิจารณาฆ้องทองแดงเล็กๆ คนนี้อีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนอาจเดาผิด บางทีฆ้องทองแดงคนนี้อาจจะเป็นพวกบ้ากามที่มีสุราเต็มท้อง แต่เขาไม่ใช่พวกขี้เมาหยำเปและจะต้องมีความสามารถอยู่บ้างแน่นอน
‘…ถูกผู้ตรวจการจางจัดให้มานั่งที่โต๊ะเจ้าภาพได้ ดูแล้วคงจะเก่งพอตัว’ หลี่เมี่ยวเจินเก็บงำความดูถูกของตน ตระหนักได้ทันทีว่าตนประเมินเขาต่ำเกินไป
ฆ้องเงินและฆ้องทองแดงที่เหลือถูกจัดไว้ที่โต๊ะตัวอื่น แล้วเหตุใดเจ้าคนผู้นี้ถึงสามารถนั่งอยู่ข้างกายผู้ตรวจการจางได้
ใช้คำว่า ‘เก่งพอตัว’ เฉยๆ มาอธิบายไม่ได้เลย เช่นนั้นฆ้องเงินกับฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ไม่ใช่อัจฉริยะหรืออย่างไร
‘ฮ่า ยกหินขึ้นมาแต่หินกลับทับขาตัวเอง’ หลี่เมี่ยวเจินยิ้มเย็นอย่างยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น นางมีความสุขยิ่งที่เห็นสมุหเทศาภิบาลซ่งต้องขายหน้า
แม้ว่าสมุหเทศาภิบาลซ่งจะฝึกฝนศาสตร์แห่ง ‘แวดวงขุนนาง’ มาจนเชี่ยวชาญแล้ว แต่ความอับอายในใจก็ยังพลุ่งพล่าน คำพูดอวดอ้างทั้งหลายเมื่อครู่ ทั้งพรจากไป๋ตี้ และทั้งผลจากควันธูป สุดท้ายล้วนถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้ตรวจการจางและทุกคน
“หนิงเยี่ยน เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ เดี๋ยวสมุหเทศาภิบาลซ่งก็อธิบายให้ข้าฟังเอง เจ้าจะสอดปากเพื่อการใด” ผู้ตรวจการจางเอ่ยตำหนิ
เผินๆ เขาเหมือนจะตำหนิสวี่ชีอัน แต่ความจริงแอบเสียดสีสมุหเทศาภิบาลซ่งด้วยคำพูดแบบน้ำผึ้งอาบยาพิษ
“…ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือขอรับ” เพราะใต้เท้าผู้ตรวจการเข้ามาขัดจังหวะ ในที่สุดใต้เท้าสมุหเทศาภิบาลก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้และเอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี
“ข้าน้อยแซ่สวี่ นามชีอัน ชื่อรองหนิงเยี่ยนขอรับ” สวี่ชีอันตอบ
“เจ้านี่มีพรสวรรค์มากเลยนะ” ผู้ตรวจการจางลูบหนวดเครา หัวเราะหึๆ แล้วยกยอสวี่ชีอัน
อย่างที่คิด ขุนนางทุกคนเบนสายตาไปมองที่เขาอีกครั้งแล้วพิจารณาถึงฐานะและตำแหน่งในคณะผู้ตรวจการของฆ้องทองแดงผู้นี้
‘ที่แท้เขาก็ชื่อสวี่ชีอัน…เอ ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก’ หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดว่าสวี่ชีอันคือใคร นางจำได้ว่าหมายเลขสามเคยพูดถึงคนผู้นี้มาก่อน ทั้งยังยกย่องชื่นชมอีกด้วย
‘เขานั่นเอง…ได้รับความสำคัญจากหมายเลขสาม ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ’
สมุหเทศาภิบาลซ่งกำจัดความกระอักกระอ่วนได้แล้ว เขาก็แนะนำพื้นเพความเป็นอยู่ของคนในอวิ๋นโจวไปเรื่อยเปื่อย และปิดปากไม่พูดถึงเรื่องผีผาอีก เป็นการพิสูจน์ว่าเขายังคงขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
เมื่อผู้ตรวจการจางกินดื่มจนเย็นย่ำ งานเลี้ยงตอนเย็นก็จบลงโดยปราศจากอาการเมามายและไม่มีข้อเสนอไร้หัวคิดว่าให้ไปหาความสำราญต่อที่สำนักสังคีต มิเช่นนั้นซ่งถิงเฟิงคงดีใจจนเนื้อเต้นทีเดียว
งานเลี้ยงยามเย็นประเภทนี้แต่กลับไม่มีพฤติกรรมสำมะเลเทเมา ราวกับว่าเหล่าขุนนางข้าราชสำนักทั้งหลายแทบจะไม่เคยไปสำนักสังคีตอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อคนคนหนึ่งมีตำแหน่งขึ้นมา สถานะก็จะบังคับให้ต้องเห็นแก่ภาพลักษณ์ของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นคนละโมบโลภมาก แต่ภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาต้องเป็นคนเที่ยงตรงมีคุณธรรม
ตัวอย่างเช่นสวี่ชีอัน ตอนนี้เขายังสามารถกินฟรีได้เท่าที่ต้องการเพราะยังหนุ่มยังแน่น สถานะค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อใดที่วันหนึ่งเขามีตำแหน่งสูงขึ้นและมากอำนาจ เขาก็ต้องจ่ายเงิน…
เมื่อออกจากจวน ผู้ตรวจการจางและขุนนางทั้งหลายก็เอ่ยร่ำลากันด้านนอก จากนั้นก็ขึ้นรถม้าจากไป
หลังจากรถม้าแล่นมาได้พักหนึ่ง ผู้ตรวจการก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยชมว่า “หนิงเยี่ยน ทำดีมาก”
สวี่ชีอันรู้ดีว่าเขาหมายถึงเรื่องผลผีผาไร้เมล็ด จึงกล่าวว่า “เรื่องเล็กขอรับ”
ผู้ตรวจการจางทำเสียง ‘จิ๊จ๊ะ’ ขณะพูดคุยกันนั้น น้ำเสียงก็ไหลไปตามอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีฐานะขุนนางค้ำคออีกต่อไป “แม้แต่เรื่องทำสวนทำไร่เจ้าก็รู้ด้วยหรือ”
สวี่ชีอันยังไม่ทันตอบ เจียงลวี่จงที่อยู่ด้านหน้าก็เอ่ยแทรกพร้อมรอยยิ้ม “เขาถึงขั้นรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ เก่งกาจไม่ด้อยไปกว่าพวกชุดขาวของสำนักโหราจารย์เลยนะขอรับ”
เจ้าเอ่ยแทนข้าไปแล้ว แล้วจะให้ข้าอวดอะไรได้อีก สวี่ชีอันออกปากแก้ “ผิดแล้ว คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ต้องยกให้ข้าเป็นกึ่งๆ อาจารย์ต่างหากขอรับ”
ทั้งสามหัวเราะลั่น
สวี่ชีอันถือโอกาสเอ่ยถาม “วันนี้เหตุใดใต้เท้าจึงอารมณ์ดีเช่นนี้ล่ะขอรับ”
ผู้ตรวจการจางหันกลับไปมองจวนที่อยู่ไกลตาแล้วเอ่ยเสียงเบา “อวิ๋นโจวแห่งนี้ถูกครอบงำโดยสมุหเทศาภิบาลซ่งผู้นั้น เขาไม่ถูกกับหยางชวนหนาน”
สวี่ชีอันนึกย้อน “หยางชวนหนานผู้นั้นออกจะเย็นชาสักหน่อยจริงๆ ขอรับ…แต่ไม่ว่ากับใครเขาก็เย็นชาหมดนั่นแหละ”
ผู้ตรวจการจางยิ้มเย็นพลางกล่าว “นี่จึงอธิบายได้ว่าคนส่วนใหญ่ในวงขุนนางเมืองอวิ๋นโจวมีแซ่ซ่ง”
“ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะด้วย”
“ในบรรดาสามสำนัก ผู้บัญชาการจะมีอำนาจมากที่สุด แต่เมื่อครู่คนที่ต้อนรับข้ากลับเป็นสมุหเทศาภิบาลซ่ง แม้ว่าการที่สมุหเทศาภิบาลออกหน้าในสถานการณ์แบบนี้จะเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่เจ้าลองคิดดีๆ คนที่เขาแนะนำให้ข้ารู้จักแรกๆ ก็คือสำนักตุลาการความมั่นคง ไม่ใช่ผู้บัญชาการ เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ข้าสังเกตเห็นในงานเลี้ยง ส่วนใหญ่หยางชวนหนานจะนิ่งเงียบ สมุหเทศาภิบาลต่างหากที่เหมือนเป็นเจ้าภาพ อืม นี่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากในวงขุนนาง ไม่ควรก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของคนอื่น” ผู้ตรวจการจางกล่าวยิ้มๆ
“หนิงเยี่ยน เรียนรู้ไว้”
“ข้าเป็นทหารจะเรียนเรื่องพวกนี้ทำไมขอรับ” แต่สวี่ชีอันก็แอบจำไว้
“อีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็เข้าใจจริงๆ แล้ว” ผู้ตรวจการจางเอ่ย “รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดคนแซ่ซ่งถึงจะมอบผีผาให้ในงานเลี้ยง”
เล่นละครไงล่ะ…สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไม่รู้ขอรับ”
“คนที่มีใจอยากรู้ก็คงจะซักไซ้ แต่นี่เขาวางเฉย นับว่าเป็นการตัดไม้ข่มนามข้าอย่างพอหอมปากหอมคอ” ผู้ตรวจการจางยิ้มเย็น “ทั้งยังส่งสัญญาณลับให้ข้าว่า หากกำจัดไปหนึ่งคน อวิ๋นโจวก็จะสงบสุข เหมือนกับผีผาผลนั้น”
กำจัดใครนั้น ไม่บอกก็รู้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง