บทที่ 200-1 ยั่วยวน ‘สอง: ยังมีอีกหรือไม่’
‘สอง: ยังมีอีกหรือไม่’
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับตัวตนของหมายเลขสามหรือไม่ สมาชิกทุกคนในพรรคฟ้าดินจึงละเลยข้อมูลสำคัญอย่าง ‘ญาติผู้น้องเป็นนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่’ ไปเสียอย่างนั้น
พวกเจ้านิ่งเงียบไปพร้อมกันเช่นนี้มันทำให้ข้ารู้สึกร้อนตัวนะ…สวี่ชีอันรอคอย คิดจะรอให้หมายเลขห้า ‘เปิดโปง’ เขา แล้วจากนั้นจะได้ยืนยันท่าทีของสมาชิกในพรรคฟ้าดินได้
แต่หมายเลขห้ากลับเงียบสนิทอย่างหาได้ยาก
…อ้อ หมายเลขห้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่นี่นา อย่าไปคาดหวังอะไรกับนางนักเลย
ขณะที่สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่นั้น หมายเลขหนึ่งก็ตอบคำถามของหมายเลขสองว่า ‘คนผู้นี้ได้รับความไว้วางใจและได้รับความสำคัญจากเว่ยเยวียนอย่างมาก’
‘ได้รับความไว้วางใจและได้รับความสำคัญจากเว่ยเยวียนอย่างมาก’…. ประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้จิตใจของสมาชิกในพรรคฟ้าดินปั่นป่วนขึ้นมา ‘เว่ยเยวียน’ ชื่อนี้ไม่มีใครในต้าฟ่งที่ไม่รู้จัก แม้แต่ในจิ่วโจวน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเขา
นอกจากเรื่องที่ฝึกตนไม่ได้ อย่างอื่นเว่ยเยวียนก็ถือเป็นอัจฉริยะรอบด้าน แน่นอนว่าเรื่องฉิน หมาก อักษร ภาพวาดเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยราวกับลวดลายที่ปักประดับผืนผ้า ความสามารถแท้จริงของเว่ยเยวียนที่ดึงดูดสายตาของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ได้ คือการบัญชาการนำทัพออกไปสู้รบต่างหาก
แรกเริ่มเว่ยเยวียนเป็นขันทีในพระราชวัง แต่เนื่องจากฝีมือการวางหมากยอดเยี่ยม จึงได้รับการชื่นชมจากจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้วเลื่อนขั้นขึ้นมาในภายหลัง
ปีหยวนจิ่งที่ 13 แม่ทัพชราตู๋กูผู้พิทักษ์แดนเหนือสิ้นลม ชนเผ่าป่าเถื่อนสามเผ่าจึงรวบรวมกองทัพหกหมื่นนายบุกชายแดน และรุกล้ำเข้ามาถึงสามพันลี้ภายในครึ่งเดือน ทั้งปล้นฆ่า เผาทำลาย จนซากศพกองพะเนินทั่วแผ่นดินสุดลูกหูลูกตา ราชสำนักต้องเร่งตั้งทัพ จึงจะพอจะควบคุมความโหดร้ายป่าเถื่อนของพวกชนเผ่าได้ แต่สถานการณ์ก็ยังไม่มีหวัง
ในสมัยนั้นอ๋องสยบแดนเหนือยังคงเป็นชินอ๋องที่เพิ่งจะมีเขี้ยวเล็บงอกขึ้นมาเท่านั้น
ขณะนั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้ทรงงานหนักกำลังปวดหัว เว่ยเยวียนจึงถูกเชิญให้ไปออกศึก พระองค์มีราชโองการว่าหากภายในสามเดือนไม่สามารถขับไล่ชนเผ่าป่าเถื่อนไปได้ จะต้องตายเพื่อชดใช้ความผิด
จักรพรรดิหยวนจิ่งสมัยทรงพระเยาว์มีความหาญกล้าอย่างยิ่ง พระองค์แต่งตั้งให้เว่ยเยวียนเป็นรองเจ้ากรมของกรมทหารและแม่ทัพมณฑลฝ่ายซ้าย คุมกองกำลังห้าทัพ
เว่ยเยวียนไม่คยทำผิดต่อพระมหากรุณาธิคุณขององค์จักรพรรดิจริงๆ เพียงครึ่งเดือนเขาก็สังหารชนเผ่าป่าเถื่อนจนสิ้นลาย เหลือเพียงห้าพันกว่าคนเท่านั้นที่หนีกลับไปทางเหนือ
มิตรภาพระหว่างจักรพรรดิและขุนนางยังคงถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งจนถึงทุกวันนี้
เกรียรติศัพท์การรบของเว่ยเยวียนไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เรื่องที่โจษจันกันมากที่สุดก็คือสงครามซานไห่เมื่อสิบเก้าปีก่อน สมัยนั้นอ๋องสยบแดนเหนือได้กลายเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นแค่ใบมีดคมในมือของเว่ยเยวียน และถูกใช้สังหารศัตรูอยู่ดี
ผู้บัญชาการกองทัพยังคงเป็นขันทีใหญ่ผู้มีอำนาจสะเทือนใต้หล้าผู้นี้เช่นเคย
ด่านซานไห่ตั้งอยู่ที่ชายแดนแถบตะวันตก ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือยกทัพลงใต้มา เผ่าต่างๆ จากซินเจียงตอนใต้ก็บุกขึ้นเหนือ และยังมีสำนักพุทธที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกับต้าฟ่งที่ด่านซานไห่ด้วย
ภายในเวลาครึ่งปี หลายล้านชีวิตต้องดับสูญเป็นเถ้าถ่าน กลายเป็นสงครามอันน่าสลดใจที่หาได้ยากในบันทึกประวัติศาสตร์
ในฐานะที่เว่ยเยวียนเป็นแม่ทัพมณฑลฝ่ายซ้ายของต้าฟ่ง เขาก็ได้แสดงความสามารถในการบัญชาทัพที่เป็นหนึ่งไม่มีสองของตนให้โลกได้เห็นอีกครั้ง
“ข้าโง่นัก โง่จริงๆ ข้าดันประเมินสวี่ชีอันผู้นี้ต่ำไป…”
ขณะนี้ หมายเลขสองหลี่เมี่ยวเจินที่ถอดเกราะอ่อนแล้วเปลี่ยนไปสวมชุดตัวในสีขาว กำลังนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับเอ่ยพึมพำ
‘…ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด สาเหตุที่เกิดปราณพวยพุ่งที่สำนักอวิ๋นลู่ก็คงมาจากตัวหมายเลขสามนี่แหละ หมายเลขสามมีโอกาสเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอันสูงมาก…สวี่ชีอันเองก็ยังได้รับความสำคัญจากเว่ยเยวียนถึงเพียงนี้ด้วย…นี่ นี่ ถ้าผ่านไปอีกสักสองสามปี เมืองหลวงคงจะมีตระกูลที่โดดเด่นปรากฏขึ้นมาแน่’ …หมายเลขสี่เต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ
ออกจากเมืองหลวงมาหลายปี บางเรื่องคิดแล้วก็ชวนหดหู่ใจ
เมื่อทุกคนย่อยข้อมูลชิ้นนี้เรียบร้อยแล้ว หมายเลขหนึ่งก็กล่าวต่อ ‘จุดอ่อนของเขาชัดเจนอย่างยิ่ง นั่นก็คือเจ้าชู้! คนผู้นี้ตอนอยู่ที่เมืองหลวงมักจะขลุกอยู่ที่สำนักสังคีตบ่อยๆ และมีความสัมพันธ์กับนางคณิกาหลายคน หมายเลขสอง หากเจ้าอยากจะต่อกรกับเขา ก็ใช้กลยุทธ์หญิงงามได้’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง