ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 204

บทที่ 204 คนชั้นต่ำ

จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรไปยังเว่ยเยวียน ทรงพยักหน้าพร้อมตรัส “มีเรื่องอันใด? ”

เว่ยเยวียนเอ่ยถาม “ในพระราชสาส์นที่สำนักสมุหเทศาภิบาลชิงโจวส่งกลับมา ระบุชัดเจนหรือไม่ว่าสมุหเทศาภิบาลหยางกงประพันธ์กลอนนี้ขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”

…เขาพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร พวกลื่นเป็นปลาไหลในวงราชการวินิจฉัยต้นสายปลายเหตุออกมา

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ตอบแต่กลับตรัสถาม “มีปัญหาอะไรรึ”

ในพระราชสาส์นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าหยางกงเป็นผู้แต่งกลอน ถ้อยคำได้ความว่า ‘หยางกงสั่งการขุนนางจำนวนมากให้สร้างแผ่นจารึกเตือนใจ สลักอักษรจารึกเพื่อเตือนชาวโลก’

นี่เป็นถ้อยคำที่ฉลาดนัก ไม่ชัดเจนแต่ก็ไม่ปฏิเสธ สำหรับจักรพรรดิหยวนจิ่ง นี่ก็คือการยอมรับโดยปริยาย

“หยางกงไม่ได้ประพันธ์กลอนนี้ขึ้นแต่เป็นผู้อื่น กระหม่อมคิดว่าเมื่อกลอนนี้แพร่สะพัด จะต้องเลื่องลือทั่วใต้หล้าเป็นแน่ โดยส่วนตัวแล้ว นี่เป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงที่สวรรค์ลิขิตให้ ไม่ควรถูกหยางกงครอบครองแต่เพียงผู้เดียว” เว่ยเยวียนกล่าว

“หืม? ชิงโจวมีอัจฉริยะระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใด” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงหัวเราะพร้อมจ้องมองเว่ยเยวียนด้วยความสนใจ “ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าทราบได้อย่างไรกัน”

หยางกงไม่ได้ประพันธ์แต่เป็นผู้อื่น…ชิงโจวมีอัจฉริยบุคคลมากมายจริงๆ เป็นเมืองใหญ่แห่งการสอบคัดเลือกข้าราชการ…เหล่าท่านทั้งหลายคิดในใจ ทอดสายตามองเว่ยเยวียนตามคำถามของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

ทั้งหมดต่างเกิดข้อสงสัย เหตุใดเว่ยเยวียนจึงรู้ว่าหยางกงไม่ได้ประพันธ์กลอนบทนี้?

“มิใช่คนจากชิงโจว” เว่ยเยวียนส่ายหน้า

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเปล่งเสียง ‘หืม’ ด้วยความสงสัย

“นอกจากนี้กระหม่อมยังรู้ว่ากลอนนี้ไม่ได้ประพันธ์ขึ้นที่ชิงโจว เป็นที่ประจักษ์กว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว มิได้ประพันธ์ขึ้นโดยคนชิงโจวเช่นกัน” เว่ยเยวียนกล่าวอีก

จากนั้นเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ส่งเสียง ‘หืม’ ตามด้วยความสงสัยเช่นกัน ขุนนางใกล้ชิดที่กล่าวว่า ‘นี่สมกับเป็นบทกวีของต้าฟ่ง’ ผู้นั้นเอ่ยอย่างแคลงใจ

“เว่ยกง อย่าได้ปิดบังต่อหน้าฝ่าบาท”

เจ้าคนปากเสียประจบทันทีที่เปิดปากพูด

เป็นที่ประจักษ์กว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว…มิได้ประพันธ์ขึ้นโดยคนชิงโจวเช่นกัน…ขุนนางที่ความคิดเฉียบแหลมใจเต้นระส่ำ คาดเดาไว้แล้ว

จากนั้นสีหน้าของเหล่าท่านทั้งหลายก็แปรเปลี่ยนแปลกประหลาดยิ่งกว่าเก่า

เว่ยเยวียนชำเลืองมองจักรพรรดิหยวนจิ่งที่มีสีหน้าเคร่งขรึมลงโดยพลัน ตรัสด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลประพันธ์กลอนนี้ขึ้น บทประพันธ์เดิมยังตั้งแสดงอยู่ในที่ทำการปกครอง หึ หากใต้เท้าทั้งหลายจะชมผลงาน ข้าก็ให้ยืมอ่านได้”

‘เป็นเขาจริงด้วย…’ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ดังขึ้นอีกครั้ง

“น่าเสียดายจริงๆ ที่อัจฉริยะผู้นี้ไม่ได้เรียนหนังสือ”

“ฮึ เช่นนั้นสวี่ผิงจื้อก็เป็นทหารที่หยาบกระด้าง มองการณ์ไม่ไกล”

“สวี่ชีอันผู้นี้ หากเข้าราชวิทยาลัยหลวงได้ก็คงจะดีมาก! ”

บัดนี้ แม้จะเป็นท่านทั้งหลายในท้องพระโรงที่ไม่ชอบสวี่ชีอันก็ตาม ก็ถอนใจเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้ พรสวรรค์ด้านการประพันธ์ระดับนี้หากเป็นปัญญาชน แน่นอนว่ายิ่งเป็นปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงแล้วใหญ่ เช่นนั้นคงจะดีมาก

ไม่มีผู้ใดคลางแคลงว่าเว่ยเยวียนพูดปด แม้แต่ศัตรูด้านการเมืองของเขา เว่ยเยวียนไม่สามารถและไม่จำเป็นต้องโกหกเรื่องนี้เช่นกัน ประเดี๋ยวจะเสียชื่อเปล่าๆ

ขุนนางใกล้ชิดผู้นั้นสีหน้าอึกอัก ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ทำตัวค้อมต่ำ

จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งเสียง ‘หึ’ พร้อมตรัส “เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มีเจตนาเช่นไรกัน”

เว่ยเยวียนหัวเราะหึๆ “ย่อมต้องการช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาสร้างชื่อ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งเผยท่าทีฮึดฮัด แต่ก็ไม่ได้ตรัสสิ่งใด

แม้เขาจะไม่ชอบสวี่ชีอัน ทว่าในฐานะจักรพรรดิ ก็ไม่ถึงกับกัดฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ไม่ปล่อย อีกประการหนึ่ง คนแบบที่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ชอบ ในท้องพระโรงยังมีอยู่หลายหลาก

แน่นอนว่าหากฆ้องทองแดงทำผิดพลาดหรือทำให้เขาโกรธ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ภูเขาชิงหยุน สำนักอวิ๋นลู่

ห่านตัวหนึ่งโบยบินบนขอบฟ้า กระพือปีกพุ่งตรงไปยังภูเขาชิงหยุน แฉลบผ่านสำนักแต่ละแห่ง ตึกแต่ละอาคาร ก่อนจะถูกมือหนึ่งจากภายในห้องเล็กอันประณีตที่ริมผาในหอสังเกตการณ์ชั้นสองจับไว้หลวมๆ

ท่ามกลางความบิดเบี้ยวของแสงสว่าง ห่านพลันแปรเปลี่ยนเป็นห่านกระดาษที่ตัดอย่างประณีต คล้ายของจริงยิ่งนัก

“หยางจื่อเชียนส่งจดหมายกลับมา” หลี่มู่ไป๋ยิ้มพร้อมกับหันหน้ามา บอกสองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เล่นหมากรุกอยู่ภายในห้อง ฝีมือการเล่นของทั้งสองดูไม่ได้เอาเสียเลย

จางเซิ่นและเฉินไท่กำลังฟาดฟันกันอย่างมัวเมา พลั้งปากถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เขียนว่าอย่างไรบ้าง”

หลี่มู่ไป๋คลี่กระดาษจดหมาย อ่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานนักรอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหาย สีหน้าค่อยๆ ดุดันยิ่งขึ้น

“หน้าด้าน หน้าด้านที่สุด” หลี่มู่ไป๋เขวี้ยงกระดาษจดหมายในมือโดยพลันพร้อมเอ่ยคำราม

“หยางกง ไอ้หัวขโมย หน้าด้านไร้ยางอาย เป็นปัญญาชนเสียเปล่า ข้าหลี่มู่ไป๋อับอายในตัวเขาจริงๆ”

เสียงคำรามที่เกิดขึ้นโดยพลัน ทำเอาจางเซิ่นกับเฉินไท่สองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับสะดุ้ง

“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น จดหมายฉบับเดียวจากจื่อเชียนยั่วยุให้เจ้าเดือดดาลได้เยี่ยงนี้เชียว” จางเซิ่นส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พร้อมพูดเย้ยหยัน

“ฉุนจิ้งเอ๋ย เจ้าก็ขาดภาวะจิตเล็กน้อย หุนหันพลันแล่นเดือดดาลได้ง่าย ตอนนั้นถึงแพ้ให้เว่ยเยวียน เจ้าดูเว่ยเยวียน ความสงบสุมอยู่เต็มอก นิ่งสงบดุจภูเขา”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉินไท่ส่ายหน้า “ฉุนจิ้งอารมณ์ร้อนจริงดังเจ้าว่า ขอข้าดูจดหมายหน่อย”

หลี่มู่ไป๋บันดาลโทสะ ในใจแต่งแต้มไปด้วยความริษยา ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเขวี้ยงกระดาษไปบนกระดานหมากรุก

จางเซิ่นยื่นมือหยิบขึ้นมาตั้งใจอ่าน หยางกงหยางจื่อเชียนบอกในจดหมายว่า เขาได้ต้อนรับขบวนผู้ตรวจการที่ชิงโจวและได้พบสวี่ชีอัน

หยางกงกำแหงพูดชมสวี่ชีอัน เรียกเขาว่าเป็นอัจฉริยะด้านการประพันธ์อันดับหนึ่งในรอบ 500 ปีของต้าฟ่ง ชมแล้วชมอีก จางเซิ่นรู้สึกทะแม่ง มองดูความโอ้อวดเล็กน้อยและรสชาติการกินของเขาแล้วปากอ่อน[1]

ด้านล่างยังเป็นกลอนอีกบทหนึ่ง

‘เงินเดือนเหล่าท่าน หยาดเหงื่อปวงประชา ทารุณไพร่ฟ้าแสนง่าย ตบตาสวรรค์แสนยาก’…สวี่ชีอัน (เรียนรู้จากหยางกง)

บนจดหมายยังบอกอีกว่า กลอนบทนี้ฝนลงมาจากอักษรจารึก

‘ครืนๆ…’ กำแพงผาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เศษหินกลิ้งตกลงมา หอสั่นสะเทือนด้วยปราณใส เสียงคำรามของจางเซิ่นและเฉินไท่ดังไปทั่วทั้งสำนักอวิ๋นลู่

“หยางกง ไอ้หัวขโมยผู้นี้ไม่เหมาะจะเป็นแบบอย่างให้ใคร ตาแก่เช่นข้าแนะนำว่าควรเตะหัวขโมยนี่ออกไปจากสำนักอวิ๋นลู่ซะ”

“บทกลอนเลี้ยงส่งก็เอาไปแล้ว กลอนบทนี้ก็จะยอมให้เขาเอาไปอีกหรือ ตาแก่เช่นข้าไม่ยอมรับ!”

“ช่างน่าโมโหจริงๆ เขายังเขียนจดหมายโอ้อวดอีก…”

อาหารมื้อเที่ยงกลิ่นอายอวิ๋นโจวที่เคยกินที่จุดพักเปลี่ยนม้า สวี่ชีอันแช่น้ำย็นอาบ จิตวิญญาณฮึกเหิมนัก

เขาสวมเสื้อขาวเดินกลับเข้าห้อง เปิดฝาไหออก ควันเขียวลอยขึ้นพลิ้วสะบัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสาวงามล่มเมืองที่กำลังพองแก้มทั้งสอง

“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ”

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเอือมระอา “เดิมคิดจะปล่อยเจ้าไป ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”

ซูซูเปลี่ยนท่าทีในบัดดล ออดอ้อนเสียงหวานเยิ้ม “นายท่าน…”

สวี่ชีอันหรี่ตามองสำรวจนาง

“นายท่าน ท่านมองอะไรน่ะ” ซูซูกะพริบตาปริบ ถือโอกาสทำตัวยั่วยวนที่บุรุษทุกคนชื่นชอบเป็นขวัญตา

“ข้ากำลังคิดว่าหนิงไฉ่เฉินทำได้อย่างไร” สวี่ชีอันไม่อ้อมค้อม

“หนิงไฉ่เฉินคือใคร”

“เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง เขาพบรักกับปีศาจตนหนึ่งเช่นกัน”

“ปีศาจตนนั้นต้องการกินพลังชีวิตของเขา” ซูซูเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด

“ทำไมล่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง