บทที่ 203 ควันหลงจากอักษรจารึก
ไม่ถึงสองเดือน?
เหล่าฆ้องทองคำสบตากันอย่างเงียบๆ แอบคาดเดาความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังของประโยค ‘ไม่ถึงสองเดือน!’ ดังกล่าว
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการจำกัดเวลาหรือมาตราส่วนเวลา
ทว่า ‘ไม่ถึงสองเดือน’ หมายความว่าอย่างไร? สมแล้วที่เป็นเรื่องสำคัญมาก
เหล่าฆ้องทองคำต่างส่งสัญญาณผ่านสายตายุให้อีกฝ่ายไปถาม ทว่ารู้ดีว่าตอนนี้เว่ยกงกำลังเดือดดาล จึงไม่มีผู้ใดอยากหาเหาใส่หัว หากเป็นเรื่องแย่ถึงขีดสุด พวกเขาจะไม่กลายเป็นที่ระบายให้เว่ยกงพอดีหรือ?
เอกสารส่งไปถึงด่านชายแดน เช่นนั้นก็สบายแล้ว…
เว่ยเยวียนนึกถึงช่วงเวลาการฝึกวรยุทธ์ของตนในตอนนั้น เขาซึ่งแม้จะถูกท่านโหราจารย์ยกย่องว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ที่หวังว่าจะก้าวสู่ขั้นหนึ่งมากที่สุดในรอบห้าร้อยปีของต้าฟ่ง ตอนนั้นใช้เวลาถึงสามเดือนครึ่งจึงจะไต่จากระดับหลอมปราณไปสู่ระดับหลอมวิญญาณ
สวี่ชีอันที่ไม่ถึงสองเดือนก็บรรลุวีรกรรมอันเกรียงไกรนี้ได้ พรสวรรค์แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก ก่อนหน้านี้เว่ยเยวียนชื่นชมสวี่ชีอัน ชื่นชมในภาวะจิต
ภาวะจิตก็เป็นอีกหนึ่งอย่างของพรสวรรค์
ส่วนความเร็วในการฝึกของสวี่ชีอัน ก่อนหน้านี้เว่ยเยวียนเคยได้ยินว่าเขาเติมเต็มพลังปราณไปที่ตันเถียนกลาง[1] จึงมองสวี่ชีอันด้วยสายตาแปลกใจ
คิดอยู่ว่าปลายฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เจ้าเด็กนี้ก็คงจะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณได้ในไม่ช้า เลื่อนขั้นสู่อีกระดับในห้าเดือน พรสวรรค์นี้เป็นระดับของฆ้องทองคำ
ประกอบกับภาวะจิตที่เหมาะจะเดินบนระบบทหารโดยธรรมชาติของเขา บางทีในอนาคตอาจจะกลายเป็นอ๋องสยบแดนเหนือคนที่สอง…นักรบขั้นสาม
ผู้ใดจะคิดว่าพรสวรรค์ของสวี่ชีอันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้
สิ่งสำคัญที่สุดคือสวี่ชีอันทำเรื่องที่เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ระดับหลอมปราณตระหนักรู้เชิงคู่
สิงโตคำรามสำนักพุทธเป็นเคล็ดวิชา ทว่าต้องจับคู่กับบันทึกภาพตระหนักรู้ บันทึกภาพมิอาจเทียบเคียงกับภาพตระหนักรู้ที่แท้จริง อย่างไรเสียภาพสิงโตทองคำรามก็เป็นเพียงตัวช่วยของเคล็ดวิชา ‘สิงโตคำราม’
จัดอยู่ในองค์ประกอบสมบูรณ์ของเคล็ดวิชา
แต่ถึงกระนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักรู้เชิงคู่ในระดับหลอมปราณได้สำเร็จ ยังคงเรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศ
เว่ยเยวียนผู้มีความรู้ห้าเล่มเกวียน[2]ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้ นึกถึงความเป็นไปได้สามประการออกอย่างรวดเร็ว
ประการแรก หนึ่งร่างสองวิญญาณ
มีบันทึกมากมายที่เมืองพุทธดินแดนตะวันตก หลังจากภิกษุสมณศักดิ์สูงที่บรรลุเต๋านั่งฌานละสังขาร จะฟื้นคืนชีพในร่างของเด็กคนหนึ่ง ไม่เพียงหลงเหลือความทรงจำครบถ้วน ยังชำนาญหลักพุทธศาสนาเองโดยธรรมชาติ
นี่เป็นเพราะเศษวิญญาณของภิกษุสมณศักดิ์สูงผสานรวมกับเด็กที่เพิ่งถือกำเนิด จิตเดิมประเภทนี้แกร่งกล้ากว่าคนธรรมดาตั้งแต่กำเนิด มีส่วนที่น่าอัศจรรย์มากมาย จึงบรรลุการตระหนักรู้เชิงคู่ได้ภายในเวลาอันสั้น เพราะอันที่จริงจิตเดิมของพวกเขาไม่ได้เล็กเลย
ประการที่สอง บุคคลที่มีมหาโชคชะตาในตัว
บุคคลประเภทนี้พบได้ยากยิ่ง หากเป็นผู้ที่มีมหาโชคชะตาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เลื่องชื่อลือนามในพื้นที่ เช่นผู้นำเต๋าแห่งลัทธิเต๋า ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ พ่อมดแห่งสำนักพ่อมดเป็นต้น
ประการที่สาม ผู้อาวุโสเหนือปุถุชนช่วยเบิกเนตร
บุคคลประเภทนี้ไม่ต้องกล่าวอะไรมาก บุตรแห่งสวรรค์ แตกต่างจากคนธรรมดาตั้งแต่กำเนิด
“อะแฮ่ม…” หนานกงเชี่ยนโหรวกระแอม
เขาเป็นตัวแทนที่ถูกเหล่าฆ้องทองคำผลักออกมา หยางเยี่ยนไม่อยู่ ลูกบุญธรรมของเว่ยกงที่อยู่ตรงนี้ก็มีเพียงเขา ดูเหมือนว่าเว่ยกงจะทำใจขับไล่ลูกบุญธรรมไปด่านชายแดนไม่ลง
“พ่อบุญธรรม ต้องการให้ลูกรับใช้สิ่งใด” หนานกงเชี่ยนโหรวกัดฟันเอ่ย
เว่ยเยวียนชำเลืองมองเขา ปิดพระราชสาส์น รินน้ำชาให้ตนเอง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เรื่องเล็กน้อย? เมื่อครู่เจ้าเกือบห้ามอารมณ์ตนไม่อยู่…เหล่าฆ้องทองคำพูดแขวะอยู่ในใจ
จากนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นอารมณ์ของเว่ยเยวียนแปรเปลี่ยนไป แม้จะยังคงแสร้งทำตัวเป็นเมฆบางล่องลอยตามสายลม[3] ทว่าความใจเย็นก่อนพายุฝนจะมาถึงเมื่อครู่ ตอนนี้กลับเป็นแสงแดดอันอบอุ่นพร้อมสายลมแผ่วเบาพัดโชย
ดูท่าว่าสิ่งที่เขียนบนจดหมายลับจะเป็นข่าวดี…เขียนไว้ว่าอะไรกันนะ? หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านพ่อบุญธรรม จดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไรหรือ”
เว่ยเยวียนยิ้มออกมาจากใจจริง “สวี่ชีอันปะทะกับระดับหลอมวิญญาณ จดหมายนี้เจียงลวี่จงส่งกลับมาจากเขตแดนอวิ๋นโจว ตอนนี้น่าจะบรรลุเลื่อนขั้นเป็นระดับหลอมวิญญาณแล้ว”
เรื่องของการตระหนักรู้เชิงคู่ เว่ยเยวียนไม่ได้เปิดเผยออกไป
เป็นไปไม่ได้…หนานกงเชี่ยนโหรวเกือบจะตะโกนออกมา
สวี่ชีอันเพิ่งจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็ดึงความสนใจจากพ่อบุญธรรมในระหว่างการทดสอบด่านถามใจได้สำเร็จ ในขณะนั้นเขากับหยางเยี่ยนก็อยู่ข้างกาย
กล่าวได้ว่าหนานกงเชี่ยนโหรวเห็นการเติบโตของสวี่ชีอันตลอดเส้นทาง กระจ่างแจ้งถึงรากเหง้าของเขาเป็นที่สุด
ยามที่คนผู้นี้กลายเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังคงเป็นจุดสูงสุดของระดับหลอมจิต สำหรับหนานกงเชี่ยนโหรว แค่เป่า ‘ฟู่’ ทีเดียวก็คร่าชีวิตน้อยๆ นี้ได้แล้ว
แม้ท่านพ่อบุญธรรมเคยกล่าวไว้ว่าศักยภาพของเจ้านี่มีมากยิ่ง หนานกงเชี่ยนโหรวก็เห็นด้วย แต่เขายังคงมิอาจยอมรับได้
ไม่ถึงสองเดือน จากระดับหลอมจิตขั้นเก้า กลายเป็นระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ด แตะถึงระดับต่ำสุดของฆ้องเงินได้แล้ว
‘หากหยางเยี่ยนอยู่ตรงนี้ จะต้องยิ้มปากฉีกถึงรูหูแน่…’ หนานกงเชี่ยนโหรวคิดด้วยความอิจฉา
จางไคไท่ที่ยังมีเจตนาดาบรัดกุมรู้สึกอิจฉาตาร้อนเช่นเดียวกัน เมื่อก่อนเขาเคยคิดอยากดึงตัวสวี่ชีอันไปอยู่ใต้บังคับบัญชา วิธีการเขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว ‘เงินและประเวณี’
การหักหน้าของฆ้องทองคำก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
“พรสวรรค์ของสวี่ชีอันผู้นี้ยอดเยี่ยมเช่นนี้เลยหรือ หลังจากนี้เกรงว่าที่ทำการปกครองของพวกเราจะต้องมีฆ้องทองคำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
“ยังดี ยังดีที่เขาไม่ได้ตัดเรื่องของสกุลจู”
ฆ้องทองคำที่อยู่ตรงนั้น หลังจากตกตะลึงก็ยากจะเก็บซ่อนความปลาบปลื้ม
หากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีนับรบขั้นสี่ปรากฏขึ้นอีก อิทธิพลและพลังทั้งมวลล้วนสูงขึ้นไปอีกขั้น
ทหารขั้นสูงพบได้ยากเพียงใด ขั้นสูงที่ชุบเลี้ยงด้วยอิทธิพลของตนนั้นหาได้ยากยิ่งกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง