ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 217

บทที่ 217 สวี่ชีอัน ‘ข้าโล่งใจแล้ว’

สวี่ชีอันก้มหน้ามองกระจก รออยู่พักหนึ่ง ผู้ที่ตอบกลับเป็นคนแรกคือหญิงสาวเอวบางหมายเลขห้าจากซินเจียงตอนใต้

หมายเลขห้า ‘อวิ๋นโจวอยู่ห่างจากพวกเราทางนี้ไกลพอสมควร ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้’

นางคิดว่าหมายเลขสองขอความช่วยเหลือจากในสามมิติงั้นหรือ หมายเลขห้าคงจะนอนละเมอแล้ว ทว่าไอคิวผู้นี้ก็เหลือทนจริงๆ…มุมปากสวี่ชีอันกระตุก

ต่อด้วยหมายเลขหกเหิงหย่วน ‘เกิดอะไรขึ้น ใต้เท้าสวี่ที่อวิ๋นโจวเป็นอย่างไรบ้าง’

หลี่เมี่ยวเจินตอบไปก่อนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่กลับไม่ได้รีบร้อนประกาศรายละเอียดของคดีราวกับกำลังรอบางสิ่ง

นางกำลังรอข้าหรือว่ารอหมายเลขหนึ่งไม่ก็หมายเลขสี่ ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น…พวกรับหน้าที่เป็นมันสมองของกลุ่มไม่เอ่ยอะไร นางก็ไม่เปิดปากหารือรายละเอียดของคดี…สวี่ชีอันเข้าใจความคิดของหมายเลขสอง จึงช่วยเขียนแทนและกรอกข้อมูลลงไป

‘ลองบอกมาว่าคดีของอวิ๋นโจวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว’

หลี่เมี่ยวเจินผ่อนลมหายใจ ปลุกเร้าจิตใจ หากมีเพียงหมายเลขห้าและหมายเลขหกตอบกลับ เช่นนั้นนางก็ไม่พร้อมจะพูด

ตอนนี้ข้อความขั้นตอนของคดีทั้งหมดถูกกรอกลงไปในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีอย่างละเอียด

ข้อมูลมีจำนวนมากเกินไป นางส่งเป็นระยะๆ ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีจึงจะเล่าเหตุการณ์ได้กระจ่าง

สิ่งที่ตอบกลับหลี่เมี่ยวเจินคือความเงียบของสวี่ชีอัน ขณะที่นางกังวลและร้อนใจเล็กน้อย ในครั้งนี้หมายเลขหนึ่งที่มักแอบซุ่มก็เป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน

‘หนีไม่พ้นความเป็นไปได้สองประการ ประการแรก จริงๆ แล้วเหลียงโหย่วผิงไม่ใช่คนของพรรคฉี การที่เขาส่งสมุดบัญชีให้สวี่ชีอันคงมีแผนอื่นแอบแฝง ประการที่สอง เหลียงโหย่วผิงหายตัวไปแล้ว’

เหลียงโหย่วผิงหายตัวไปแล้ว…หลี่เมี่ยวเจินขบคิดคำพูดของหมายเลขหนึ่ง ประการที่สองดังกล่าวเป็นไปได้ว่านางอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เมื่อคำนึงถึงความน่าเชื่อถือ นางจึงส่งข้อความบอก ‘เป็นไปได้หรือไม่ที่หยางชวนหนานกับเหลียงโหย่วผิงเป็นพวกเดียวกันและกำลังแสดงกลยุทธ์ทุกข์กาย[1]’

หมายเลขหนึ่ง ‘มีความเป็นไปได้น้อย กฎระเบียบของวงราชการครั้งนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรหยางชวนหนานก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบ อยู่ที่ว่าจะหนักหรือเบาเท่านั้น หากเจ้าเป็นหยางชวนหนาน เจ้าจะกระโดดลงหลุมที่ขุดไว้เองหรือ เหลียงโหย่วผิงสังหารผู้เตรียมการคนก่อน เผาทำลายส่วนที่มีปัญหาในสมุดบัญชี…ข้าเห็นด้วยกับการคาดเดานี้ ดังนั้นเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นคนของพรรคฉี’

บัดนี้หมายเลขสี่ได้แสดงความเห็นแล้ว ‘ดังนั้นหมายเลขหนึ่งคิดว่าสำนักพ่อมดเข้าสู่ห้วงฝัน สอบปากคำที่อยู่ของเหลียงโหย่วผิงจากสองฆ้องทองแดง มีความเป็นไปได้มากว่าเหลียงโหย่วผิงหายตัวไปแล้ว’

การวิเคราะห์ของหมายเลขหนึ่งได้เปิดลู่ทางความคิดให้สวี่ชีอัน

เหลียงโหย่วผิงได้หายตัวไป ดังนั้นคนของสำนักพ่อมดจึงต้องการหาเขาให้พบโดยเร็วงั้นหรือ เพราะหากเขาตกไปอยู่ในมือของ ‘ศัตรู’ เช่นนั้นคงเผยข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตนออกไปมากมาย…

ผู้บงการอยู่เบื้องหลังของอวิ๋นโจวผู้นั้นเข้าใจว่าเหลียงโหย่วผิงถูกพวกเราจับกุมแล้ว ดังนั้นจึงสั่งให้คนของสำนักพ่อมดมาสอบปากคำในห้วงฝัน…ข้ากับอาซ่งและอาจูเคยติดต่อกับเหลียงโหย่วผิง ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นคนจับกุมเหลียงโหย่วผิง เพราะข้าตื่นอยู่ตลอด ดังนั้นจึงทำได้เพียงเข้าสู่ห้วงฝันสอบปากคำซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยว…

ทว่าล่วงเลยมาสามวันถึงจะมาสอบปากคำงั้นหรือ?

หลี่เมี่ยวเจินกำกระจกหยกใบเล็กเอาไว้ รออยู่พักหนึ่งก็ไม่เห็นหมายเลขสามแสดงความเห็นสักที เขาเพียงเพิ่งจะเริ่มถามก็ไร้เสียงตอบกลับตามมา สิ่งนี้ทำให้หลี่เมี่ยวเจินร้อนใจเล็กน้อย

หมายเลขสามเป็นคนปราดเปรื่องยิ่ง ความคิดเห็นและมุมมองของเขาไม่เพียงแต่เป็นคำตอบมาตรฐาน ทว่าก็ชี้ทางสว่างให้ผู้คนได้มากพอเช่นกัน

หมายเลขสอง ‘หมายเลขสาม เจ้าหลับอีกแล้วหรือ เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับคดีนี้’

ข้านั่งมองอยู่นี่ไง…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ

เขารู้ว่าสมาชิกคนอื่นในพรรคฟ้าดินก็กำลังรอความเห็นของเขาอยู่เช่นกัน จึงส่งข้อความบอก ‘ข้าก็มีข้อสงสัยเช่นกัน พ่อมดขั้นหกมีพลังในการพยากรณ์โชคชะตา เหตุใดจึงบอกที่อยู่ของเหลียงโหย่วผิงไม่ได้ นอกจากนั้นพ่อมดยังมีพลังสาปสังหาร สมมติว่าเหลียงโหย่วผิงสมคบคิดกับอีกฝ่าย หลังจากที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายหายตัวไป อาจจะแพร่งพรายความลับ การฆ่าปิดปากก็เป็นทางเลือกที่แน่นอนที่สุด’

หมายเลขสี่ ‘ข้าจะตอบคำถามนี้เอง วิชาสาปสังหารของพ่อมดทำได้เพียงพุ่งเป้าไปยังเป้าหมายที่มีระดับต่ำกว่าตน จำกัดอยู่ที่ระดับของเหลียงโหย่วผิง น่าจะมีคนปกป้องเขา เป็นผู้ใดก็มิอาจทราบ คนที่ทำแบบนี้ได้มีมากมาย ส่วนพลังในการพยากรณ์โชคชะตา ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงของระบบขั้นสูงล้วนมีวิธีการรับมือกับการพยากรณ์ที่พุ่งเป้ามายังตน ทว่าก็มิอาจคุ้มครองผู้อื่นได้ เว้นเสียแต่ระบบหนึ่ง’

เมื่อกล่าวเช่นนี้หมายเลขสี่ก็ชะงัก ไม่กี่วินาทีต่อมาจึงเอ่ยขึ้น ‘โหรของสำนักโหราจารย์’

ราวกับสายฟ้าผ่าลงกลางใจทุกคน

โหรของสำนักโหราจารย์? สวี่ชีอันตกตะลึง

หมายเลขสอง ‘หมายเลขสี่ เจ้าจะบอกว่าผู้ที่ลักพาตัวเหลียงโหย่วผิงคือโหรของสำนักโหราจารย์งั้นหรือ’

หมายเลขสี่ ‘หึๆ การคาดเดาทั้งหมดนี้ล้วนต้องเป็นข้อสันนิษฐานแรกที่เหลียงโหย่วผิงหายตัวไป’

หมายเลขหนึ่ง ‘หากเหลียงโหย่วผิงถูกโหรของสำนักโหราจารย์จับตัวไปจริง เช่นนั้นเหตุใดผู้ตรวจการจางจึงไม่ทราบ หรือว่าเขาจงใจปิดบังหมายเลขสอง’

หมายเลขสอง ‘ไม่เหมือนปิดบัง พวกเขาน่าจะไม่รู้จริงๆ ’

หมายเลขสี่ ‘นี่ก็ยิ่งควรค่าแก่การพิจารณา ทว่ามีจุดหนึ่งที่พวกเราต้องระมัดระวัง พวกเราคาดเดาจุดนี้ได้ คนของสำนักพ่อมดก็ต้องคิดได้เช่นกัน อย่างไรเสียโหรก็ควบคุมวิชาพยากรณ์และสาปสังหาร ดังนั้นจึงมีการสอบปากคำในห้วงฝันในค่ำคืนนั้น เพื่อลองเชิงว่าเหลียงโหย่วผิงตกไปอยู่ในมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้วหรือยัง การลองเชิงเช่นนี้คงไม่ทำเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง พวกเราสามารถซ้อนแผนได้ ตลบหลังผู้บงการเบื้องหลังกลับ เจ้าบอกเรื่องนี้กับผู้ตรวจการจาง เขารู้ว่าควรจะทำอย่างไร’

หมายเลขหนึ่งแสดงความเห็นต่อ ‘ยังมีอีกจุดหนึ่ง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมาลองเชิงก็แสดงว่าเตรียมให้เหลียงโหย่วผิงตกไปอยู่ในมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยในสายตาของพวกเขา การตกไปอยู่ในมือของโหรสำนักโหราจารย์หรือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็มีค่าเท่ากัน หากเป็นเช่นนี้เห็นจะต้องเตรียมการแผดเผาหยกงามและก้อนกรวดไปพร้อมกัน เอาไว้ให้ดีเสียแล้ว’

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจสวี่ชีอันกับหลี่เมี่ยวเจินก็ตื่นตระหนก

หากเป็นแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นมีแต่ต้องลงมือก่อนจึงจะได้เปรียบ จะจับตัวขโมยต้องจับหัวหน้าเสียก่อน…สวี่ชีอันคิดในใจ

ทว่าการวางแผนแก้ปัญหาตรงหน้า จะต้องหาผู้บงการเบื้องหลังให้พบเสียก่อน มิฉะนั้นศัตรูอยู่มุมมืด ข้าอยู่ที่สว่างก็ไร้วี่แวว

บัดนี้หมายเลขหนึ่งเอ่ยถาม ‘แม้คดีนี้จะยุ่งยาก ทว่าด้วยความสามารถของสวี่ชีอันก็คงจะไม่ถึงกับหมดปัญญาสู้เสียหรอก’

หมายเลขหนึ่ง พูดได้ก็พูดให้มากหน่อย ถ้าไม่ได้ก็ไปออกหนังสือสักเล่มเสีย…สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนตนถูกเลีย ช่างสบายเสียจริง

หลี่เมี่ยวเจินตอบกลับ ‘เขากำลังปะทะกับระดับหลอมวิญญาณ สภาพค่อนข้างย่ำแย่’

หมายเลขหก ‘ใต้เท้าสวี่ปะทะกับระดับหลอมวิญญาณเร็วเยี่ยงนี้เลยหรือ ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวง ยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของระดับหลอมปราณเล็กน้อย ข้าคิดว่าจะเขาเลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณก็ต้องต้นฤดูใบไม้ผลิ ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่าทึ่งยิ่ง’

เหตุผลมีเพียงตัวของสวี่ชีอันที่รู้ นับแต่เขาเลื่อนเป็นระดับหลอมปราณ ก็มีปัญหากองใหญ่อยู่ข้างกาย เวลาที่บำเพ็ญเพียรยังมีน้อยอีก

ระหว่างรีบเดินทางไปยังอวิ๋นโจว นอกเสียจากคุยโวกับสหายข้าราชการ เวลาส่วนใหญ่ล้วนน่าเบื่อนัก ทำได้เพียงบำเพ็ญเพียร จึงพัฒนาอย่างรวดเร็วเยี่ยงปาฏิหาริย์

หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่สิ พรสวรรค์นี้พอที่จะเรียกได้ว่าสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วประเทศ’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง