ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 219

บทที่ 219-1 ข้าคือขุนนางสวี่ชีอัน

“ทหารในอวิ๋นโจวกลุ่มนี้กล้าก่อกบฏงั้นหรือ”

ฆ้องเงินผู้นั้นพลันเลิกคิ้วขึ้นแล้วตะโกนถามว่า “สถานการณ์นอกเมืองตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

พลทหารรีบฟาดแส้ขี่ม้ามา ริมฝีปากถูกลมหนาวพัดจนแตกเป็นขุย ทั้งลำคอยังแห้งผาก เมื่อเอ่ยปากพูดออกมาก็มีเสียงแหบแห้ง “ประตูเมืองทางใต้ปิดแล้วขอรับ…”

“อย่ารีบ พักหายใจก่อน!”

สวี่ชีอันได้ยินเสียงก็เดินลงมายื่นน้ำเย็นหนึ่งแก้วให้กับนายทหาร

นายทหารรีบรับมาแล้วดื่มอึกๆ จนหมด พลันก็รู้สึกว่าลำคอดีขึ้นเยอะ เขามองไปที่สวี่ชีอันอย่างซาบซึ้ง แล้วเอ่ยรัวเร็ว

“ทหารคุ้มกันรวมเป็นกองทัพใหญ่สามพันนายอยู่นอกประตูเมืองทางใต้ ผู้บัญชาการสวีหู่เฉินที่นำทัพมาประกาศว่า ภายในครึ่งชั่วยามนี้ หากใต้เท้าผู้ตรวจการไม่ปล่อยตัวท่านผู้บัญชาการมณฑลแล้วชี้แจงให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็จะบุกเมืองขอรับ!”

ใช้กำลังบีบคั้น!

ในหัวของสวี่ชีอันผู้คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์มีคำนี้วาบผ่านมา ที่เรียกว่าการใช้กำลังบีบคั้นก็คือใช้กำลังทหารเพื่อข่มขู่ให้ผู้ปกครองหรือผู้อาวุโสยอมเชื่อฟัง

โดยสรุป มันก็คือการใช้หมัดมาบังคับให้ยอมจำนนนั่นเอง

การใช้กำลังบีบคั้นกับรัฐประหารนั้นแตกต่างกันที่จุดประสงค์ แต่การกระทำเหมือนกัน สวี่ชีอันจดจำการใช้กำลังบีบคั้นได้แม่นยำอยู่สองเหตุการณ์ นั่นก็คือการตายของหยางอวี้หวน[1]ที่เนินหม่าเหวย และเรื่องที่นายพลหนุ่มควักปืนออกมายิงตาเฒ่าเจียง

การใช้กำลังบีบคั้นทั้งสองเหตุการณ์นี้ล้วนแต่ทำได้สำเร็จ เหตุหนึ่งเปลี่ยนแปลงอนาคตของต้าถัง อีกเหตุเปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศจีน

แต่การใช้กำลังบีบคั้นนั้น ว่าง่ายๆ ก็คือใช้ความตายประท้วงนั่นเอง หากไม่จวนตัวจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากใช้

“เจ้าใจสุนัขช่างบังอาจ!”

ฆ้องเงินสองสามคนรีบเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัด จากนั้นก็โมโหขึ้นมาทันที

เรื่องแบบนี้ไม่เคยเจอในเมืองหลวง ครั้นได้ยินข่าว ความตกใจและโกรธเกรี้ยวภายในใจของพวกเขานั้นสุดจะพรรณนา

“ใต้เท้าผู้ตรวจการไปกองบัญชาการทหารแล้ว ไม่อาจเร่งมายังเมืองทางใต้ได้ทันภายในครึ่งชั่วยามหรอก” ฆ้องเงินคนหนึ่งกุมด้ามดาบเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงเครียด

“ทหารป้องกันเมืองของเมืองทางใต้มีอยู่กี่คน”

“ไม่ถึงหนึ่งพันคนขอรับ” ทหารตอบ

เกรงว่าจะรักษาเมืองไว้ไม่อยู่น่ะสิ…

“เช่นนั้นพวกเราสักสองสามคนก็รีบนำกองทหารพยัคฆ์ทะยานออกจากเมืองทางใต้ ถ้าทหารกลุ่มนั้นกล้าก่อกบฏ เช่นนั้นก็สังหารเสีย ข้าเชื่อว่าสามารถยื้อได้จนกว่าใต้เท้าผู้ตรวจการและกำลังเสริมจะตามมาสมทบ” ฆ้องเงินคนหนึ่งแนะนำ

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นิยมชมชอบต่อสู้กระตือรือร้นขึ้นมาทันที

กองทหารพยัคฆ์ทะยานเดิมทีก็เป็นกองทหารสู้ศึกหนักกันอยู่แล้ว ยิ่งมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีระดับขั้นต่ำอยู่ที่ระดับหลอมปราณอีก เมื่อรวมกับทหารป้องกันเมือง นอกจากจะไม่มีทางพลาดพลั้งแล้ว การรักษาเมืองช่วงหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

“เช่นนั้นหยางชวนหนานจะทำอย่างไร เขาเป็นอาชญากรของราชสำนัก เราไม่อาจละทิ้งเขาไว้ตามลำพังได้” สวี่ชีอันปลุกสติหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่กำลังร้อนระอุเหล่านี้

“ก็พาเขาไปด้วยปะไร” ฆ้องทองแดงผู้หนึ่งกล่าว

“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ทหารคุ้มกันจะสู้ตายกับพวกเรา” สวี่ชีอันเลิกคิ้ว

“พวกเขาเข้าประชิดเมืองไม่ใช่เพราะมีจุดประสงค์เช่นนี้หรอกหรือ” ฆ้องทองแดงผู้นั้นแค่นเสียงเย็น

“ใช้กำลังทหารมาบีบคั้นเช่นนี้ คิดว่าจะทำให้ใต้เท้าผู้ตรวจการกับพวกเรายอมจำนนได้หรือ ต้องทำให้เจ้าพวกทหารเถื่อนของอวิ๋นโจวรู้เสียบ้างว่าอะไรคือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”

นี่คือจุดที่ทำให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอารมณ์เสียเป็นที่สุด

แต่ไหนแต่ไรมา มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่มีอำนาจกำกับดูแลขุนนางทั้งหลายและลงโทษขุนนางทุจริต ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มีคนกล้ามารังแกถึงหน้าประตูเช่นนี้ ทั้งยังข่มขู่ให้ผู้ตรวจการออกมาพบหน้าภายในครึ่งชั่วยาม ไม่อย่างนั้นจะบุกเข้าเมืองอีกด้วย

แบบนี้เท่ากับว่าไม่เห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ในสายตาแล้ว ถือเป็นการเหยียบย่ำพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าชัดๆ

ขุนนางทนได้ แต่ทหารทนไม่ได้

โหรทนได้ แต่ทหารก็ยังทนไม่ได้

ช่างหัวมันให้หมด

สวี่ชีอันเห็นท่าไม่ดีก็รีบเคาะโต๊ะแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ทุกท่านโปรดสงบสติอารมณ์ลงก่อน ใช้กำลังแก้ไขปัญหาไม่ได้นะ”

ฆ้องเงินผู้ที่ไปพบกับทหารคนแรกโมโหกว่าใคร เขามองสวี่ชีอันแล้วระเบิดอารมณ์ออกมา “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ทน ฆ้องทองคำเจียงไม่อยู่ ที่นี่มีฆ้องเงินเป็นใหญ่เท่านั้น พี่น้องทั้งหลาย ไปกับข้า ไปพาตัวหยางชวนหนานมา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง