บทที่ 221 นักโทษของราชสำนัก
“หน่วยคุ้มกันฝูซุ่นหรือ”
จูกว่างเสี้ยวที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอ่ยถามราวกับขอคำยืนยันซึ่งสร้างความสนใจจากฝูงชน รวมถึงผู้ตรวจการจางที่อยู่ภายใน
ผู้ตรวจการจางเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักหน่วยคุ้มกันนี้หรือ”
จูกว่างเสี้ยวตอบกลับ “หน่วยคุ้มกันฝูซุ่นคือกองคาราวานซึ่งถูกโจรปล้นจนนองเลือด และพวกเราพบเจอระหว่างทางมาอวิ๋นโจว หน่วยคุ้มกันฝูซุ่นยังมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า สมาคมพ่อค้าฝูซุ่น”
ขณะที่พูดอยู่ เขาก็เหลือบมองซ่งถิงเฟิงและสวี่ชีอันสหายผู้ชั่วร้ายทั้งสอง น่าจะเป็นวันนั้นที่ทั้งสองโยนความผิดมาให้ สุดท้ายงานก็เลยมาตกอยู่ที่เขา
เขามีหน้าที่นำของมีค่าของจ้าวหลง สมาคมพ่อค้าแห่งตระกูลตงมาคืนให้แก่ครอบครัวของพวกเขาตามที่อยู่ จนมาพบเข้ากับหน่วยคุ้มกันฝูซุ่น
“บางทีพวกเขาอาจรู้แล้วว่าท่านผู้ตรวจการจางจะกลับมาเพื่อตรวจสอบ จึงตั้งใจมาขอบคุณเป็นพิเศษกระมัง” ฆ้องเงินท่านหนึ่งเอ่ยอย่างคาดเดา
หากพวกเขาไม่ได้กำจัดพวกโจรป่าและนำสินค้ากลับมาคืน เกรงว่าหน่วยคุ้มกันฝูซุ่นคงสูญเสียผลกำไรในครั้งนี้เป็นแน่
ดังนั้น ตระกูลจ้าวหลงและผู้คุ้มกันของหน่วยคุ้มกันส่วนที่เหลือขอเข้าพบผู้ตรวจการจางเพื่อแสดงความขอบคุณ เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
นี่เป็นเรื่องที่ผู้ตรวจการจางทำการกุศลครั้งแรกที่มาอวิ๋นโจว เขาลูบเคราพลางหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”
ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเขียวตัวหนา คาดเข็มขัดสีเดียวกัน สวมรองเท้าบูตสีดำ บนศีรษะสวมหมวกหนังหนูก็เข้ามาโดยมีกองทหารพยัคฆ์ทะยานนำทาง
หน้าอกของพวกเขาปักอักษรสีแดงเข้ม ‘ฝูซุ่น’ สองตัว
ทั้งสามคนมาด้วยสองมือที่ว่างเปล่า เพราะอาวุธถูกยึดไปแล้วเมื่ออยู่หน้าปากประตู
สวี่ชีอันหรี่ตา กวาดมองทั้งสามแบบผ่านๆ หัวหน้าที่เป็นบุรุษมีหนวดเคราผู้อยู่ระดับหลอมปราณ ส่วนบุรุษอีกสองคนอยู่ระดับหลอมจิต
“ข้าน้อยจ้าวรุ่ย ประมุขคนใหม่ของหน่วยคุ้มกัน เข้าพบผู้ตรวจการจางขอรับ” บุรุษมีเคราโค้งตัวคารวะ
ตามมารยาทของลัทธิขงจื๊อ จะคุกเข่าให้เฉพาะกษัตริย์และอาจารย์เท่านั้น หากประชาชนเข้าพบขุนนางให้เพียงแค่คารวะ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า แน่นอนว่ายกเว้นกรณีอยู่ในศาล
ไม่น่าแปลกที่เขาจะเป็นถึงระดับหลอมปราณ ที่แท้ก็ประมุขคนใหม่ของหน่วยคุ้มกันนี่เอง…แค่เขามีระดับหลอมปราณก็สามารถโอบอุ้มหน่วยคุ้มกันขนาดใหญ่นี้ได้…สวี่ชีอันถอนสายตาพิเคราะห์สำรวจกลับมา
ผู้ตรวจการจางพยักหน้าเอ่ย “เจ้ากับจ้าวหลงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
จ้าวรุ่ยเอ่ยด้วยท่าทางประหนึ่งปวดใจ “จ้าวหลงเป็นพี่ชายของข้า เมื่อได้ยินข่าวร้ายของเขา บรรยากาศภายในบ้านก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ข้าน้อยต้องขอบคุณท่านผู้ตรวจการที่อุตส่าห์แก้แค้นให้พี่ชายของข้า”
พูดจบเขาก็คุกเข่าลง
ผู้ตรวจการยอมรับการหมอบกราบอย่างสงบนิ่ง คิดจะเอ่ยปลอบใจด้วยคำพูดที่ดูดี แล้วส่งคนกลับไป
ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่จ้าวรุ่ยลุกขึ้นเขากลับเอ่ยว่า “ข้าน้อยมาที่นี่ นอกจากจะมาขอบคุณความเมตตาของท่านผู้ตรวจการแล้ว ยังเดินทางมาเพื่อคุ้มกันด้วยขอรับ”
คุ้มกัน?!
ฝูงชนต่างตกตะลึงและมองดูทั้งสามอีกครั้ง ตอนนั้นเองพวกเขาตระหนักว่าที่พวกเขาสวมอยู่คือชุดจิ้นจวง ไม่ใช่ชุดลำลอง
ผู้ตรวจการจางเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้”
จ้าวรุ่ยคารวะ “เมื่อวานนี้มีแขกลึกลับมาที่หน่วยคุ้มกัน บอกว่าจะนำ ‘ของ’ ชิ้นหนึ่งมาส่งมอบให้แก่ท่านผู้ตรวจการขอรับ เขายังบอกอีกว่า นั่น…นั่นเป็นผู้ต้องหาที่ศาลออกหมายจับ จำต้องให้ข้าส่งถึงมือท่านผู้ตรวจการขอรับ…ข้าน้อยรู้ว่าเรื่องนี้ผิดกฎหมาย ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับควรส่งมอบตัวให้แก่ที่ทำการปกครอง แต่…ความจริงแล้วเขาให้ผลตอบแทนมามากเหลือเกิน”
ผู้ต้องหาที่ศาลออกหมายจับ…ผู้ตรวจการจางหันกลับไปมองเจียงลวี่จงและสวี่ชีอัน ภายในดวงตาของเจียงลวี่จงมีทั้งความตกตะลึงและความคาดหวัง ราวนึกอะไรบางอย่างออกแล้ว
ดวงตาของสวี่ชีอันมีแววขุ่นเคือง รูม่านตาขยายและขาดสมาธิเล็กน้อย
‘หนิงเยี่ยนไม่ฉลาดเอาเสียเลยที่เลือกจะบรรลุระดับหลอมวิญญาณในเวลานี้’ …ผู้ตรวจการจางเอ่ยเยาะเย้ยในใจ คิดในทันทีว่าช่วงเวลาสิบวันสำหรับคนธรรมดานั้นมีขีดจำกัดยิ่งนัก เดิมทีสวี่หนิงเยี่ยนควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างราบรื่นที่อวิ๋นโจว ใครจะคาดคิดว่าเขาจะฉลาดถึงเพียงนี้
“นำตัวเข้ามา!” ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงขรึม
จ้าวรุ่ยรับคำบัญชา พาสหายทั้งสองออกจากจุดพักเปลี่ยนม้า ตรงไปที่รถม้าซึ่งจอดอยู่ปากประตู รอบข้างรถม้ามีผู้คุ้มกันสวมชุดสีเขียวมากกว่าสิบคนยืนอยู่
ครั้นเห็นจ้าวรุ่ยออกมา พวกผู้คุ้มกันรู้โดยสัญชาตญาณ ชายคนหนึ่งที่มีกระสอบคลุมอยู่บนศีรษะถูกลากออกมาจากรถม้า และถูกพาตัวเข้าไปยังจุดเปลี่ยนพักม้า
ชายหนุ่มดูเหมือนจะบาดเจ็บที่เท้า เดินกะโผลกกะเผลก ท่าทางไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่
พอเข้ามาที่จุดเปลี่ยนพักม้า สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังชายที่มีกระสอบอยู่บนหัว ในหมู่พวกเขา สวี่ชีอันเป็นผู้ที่รู้จักเหลียงโหย่วผิงดีที่สุด
ผู้ตรวจการจางยืนขึ้น ชี้ไปที่ชายหนุ่มที่มีกระสอบคลุมอยู่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงดังกระชั้น “เร็ว รีบเอากระสอบออกไป…”
ไม่ต้องให้กองทหารพยัคฆ์ทะยานออกหน้า จ้าวรุ่ยก็ฉีกกระสอบออกก่อน เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายหนุ่ม
ใบหน้าซูบผอม ผิวหนังหยาบกร้าน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเฉียบคมชำเลืองมองไปรอบห้อง
เหลียงโหย่วผิงเป็นผู้บัญชาการผู้มีประสบการณ์ในกรมเสมียนตรา เป็นทั้งผู้ลี้ภัยที่อยู่ในพรรคฉี และเป็นคนให้สมุดบัญชีแก่สวี่ชีอัน
“ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย…” ผู้ตรวจการจางบ่นพึมพำ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนออกคำสั่ง
“ตรวจสอบสิ!”
ฆ้องทองแดงท่านหนึ่งเดินขึ้นหน้า เขาหยิกใบหน้าของเหลียงโหย่วผิงและตรวจดูอย่างระมัดระวังพลางเอ่ยรายงาน “เป็นเขาจริงๆ ขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง