ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 230

บทที่ 230-1 ศพกระตุก (2)

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งมองส่งแผ่นหลังของหลินอันที่ค่อยๆ ห่างไกลเรื่อยๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา

“องค์หญิง องค์หญิงรองทรงไม่รับน้ำใจเลย เหตุใดกันพ่ะย่ะค่ะ”

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์กล่าวอย่างจนปัญญา

“ข้าจำเป็นต้องให้นางรับน้ำใจด้วยหรือ” ฮว๋ายชิ่งแค่นเสียงเย็น

“ฝ่าบาทช่างใจไม้ไส้ระกำยิ่งนัก ปล่อยให้องค์หญิงรองยืนอยู่ข้างนอกเสียนานขนาดนี้ได้” ทหารรักษาพระองค์กล่าว

แววตาของฮว๋ายชิ่งคมกริบขึ้นมาทันใด “กลับไปเจ้าจงตบปากตัวเองห้าสิบครั้ง”

ทหารรักษาพระองค์ได้สติขึ้นทันใด เหงื่อเย็นเฉียบผุดเต็มหลังกลางฤดูหนาว “กระหม่อมสมควรตาย”

เมื่อหิมะละลาย เรือหลวงที่มาส่งศพของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้สิ้นชีพในหน้าที่ก็มาถึงด่านตรวจนอกเมือง หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เรือก็แล่นเข้าสู่เมืองหลวงไปตามลำคลอง แล้วหยุดลงที่ท่าเรือของทางการ

ฆ้องทองแดงสามคนบนเรือหลวงนำโลงศพของสหายร่วมหน่วยลงจากเรือ แล้วจ้างรถขนย้ายพร้อมกับพวกกุลีจำนวนหนึ่ง

ฆ้องเงินหมิ่นซานยืนหรี่ตาอยู่เหนือท่าเรือ เขาทอดมองเมืองหลวงที่ยังคงรุ่งเรืองเช่นเคย ในใจก็เกิดคลื่นซัดผันผวนขึ้นมา แล้วถอนหายใจที่สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่คนกลับเปลี่ยนไป

การเดินทางไปอวิ๋นโจวครั้งนี้ สูญเสียเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ไปหลายคน

ทุกข์สุขในโลกมนุษย์ผันเปลี่ยน โชคชะตาผันแปร ชวนให้จนใจ

เมื่อกลับไปยังที่ทำการและมอบโลงศพทั้งห้าให้กับหน่วยงานที่จัดการเรื่องศพผู้สละชีพโดยเฉพาะเสร็จแล้ว ฆ้องเงินหมิ่นซานก็เข้าไปในโถงแล้วรินชาร้อนๆ ให้ตนหนึ่งถ้วย

ในห้องชั้นในที่ตั้งโลงศพ เจ้าหน้าที่เปิดโลงออก กลิ่นเน่าเหม็นจางๆ พัดโชยออกมา

เพราะอากาศหนาวพื้นเย็น ศพจึงถูกเก็บรักษาไว้ค่อนข้างดี แต่ก็เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว

เจ้าหน้าที่เหล่านี้เห็นศพจนชินชา จึงกินยาขับไล่สิ่งชั่วร้ายแล้วสวมผ้าซับเหงื่ออุดปากและจมูก ขณะที่ตรวจสอบตัวตนของศพ ก็พูดคุยแก้เบื่อกันไปพลางๆ

“พริบตาเดียวก็เสียฆ้องเงินไปถึงสามคน ช่างเสียหายสาหัสนัก”

“อวิ๋นโจวเกิดกบฏ นี่นับว่าสูญเสียน้อยมากแล้วนะ แต่ก็น่าเสียดายฆ้องทองแดงสวี่”

“ใช่ แม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้าทำงานได้ไม่กี่เดือน แต่ก็เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของที่ทำการไปแล้ว ใครบ้างจะไม่รู้ว่าเว่ยกงชื่นชมเขามากเพียงใด แต่เขากลับด่วนจากไปเสียอย่างนี้”

“นี่ พวกเจ้าว่านางคณิกาที่สำนักสังคีตจะรู้ข่าวการเสียชีวิตของฆ้องทองแดงสวี่หรือยัง พวกนางจะตอบสนองเช่นไร”

“สตรีในสถานที่คาวโลกีย์เช่นนั้น มีคำรักใดน่าเชื่อถือบ้าง”

“แต่ฝูเซียงเป็นคนสนิทของฆ้องทองแดงสวี่เชียวนา”

“แม้แต่เรื่องที่ฝูเซียงเป็นคนสนิทของฆ้องทองแดงสวี่ เจ้าก็รู้ด้วยหรือ”

“ในเมืองหลวงมีใครบ้างที่ไม่รู้”

“เอ๊ะ…ศพของฆ้องทองแดงสวี่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด แม้แต่กลิ่นเนื้อเน่าก็ยังไม่มีเลย”

“ขอข้าดูหน่อย…โถ่เอ๊ย ผิวหนังเช่นนี้แค่เช็ดก็แตกแล้ว ปิดกลับๆ”

หนึ่งชั่วก้านธูปต่อมา เจ้าหน้าที่ก็ล้างมือล้างหน้าแล้วออกมาพบหมิ่นซาน เอ่ยว่า “ฆ้องเงินหมิ่น จำนวนของศพตรงตามในรายชื่อขอรับ ตรวจสอบตัวตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านสามารถไปได้แล้วขอรับ”

หมิ่นซานพยักหน้าเบาๆ แล้วหันกายจากไป

หอเฮ่าชี่

เสียงฝีเท้าตึงตังดังเข้ามา เจ้าหน้าที่ชุดดำผู้หนึ่งเดินขึ้นอาคารแล้วกระซิบสองสามคำกับสหายร่วมหน่วยที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ก่อนหันกายเดินลงบันไดไป

เจ้าหน้าที่คุ้มกันด้านนอกเข้าไปรายงานด้วยความเคารพ “เว่ยกง เรือหลวงจากอวิ๋นโจวมาถึงแล้ว ศพของฆ้องเงินสามคนและฆ้องทองแดงสองคนถูกส่งกลับมายังหน่วยเรียบร้อย ตรวจสอบตัวตนแล้ว ไม่มีข้อผิดพลาดขอรับ”

เว่ยเยวียนเงยหน้ามอง เงียบงันไปพักหนึ่งก็พยักหน้ากล่าว “ส่งกลับให้ญาติๆ ของพวกเขา”

เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องข้าวของที่ติดตัวมากับศพ แม้จะรู้ว่าชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอยู่บนร่างของสวี่ชีอันก็ตาม

แท่นแปดทิศ หอดูดาว

เงาร่างในชุดขาวปรากฏกายขึ้นบนหอสูง พร้อมกับเสียงอ่านบทกวีสดใสเอื่อยเฉื่อย “มือถือครองเดือนเด็ดดารา โลกมนุษย์นั้น…”

จู่ๆ เสียงท่องก็ชะงักค้างไป อย่างไรก็ไม่ยอมเอ่ยออกมาสักที

ผ่านไปพักหนึ่ง หยางเชียนฮ่วนก็เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “อาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว”

“อืม” ท่านโหราจารย์ไม่ได้หันกลับมา

สองศิษย์อาจารย์หันหลังให้แก่กัน ไม่มีการโอบกอด

“สวี่ชีอันกลับสู่เมืองหลวงอย่างราบรื่น การไปอวิ๋นโจวคราวนี้น่าตกใจแต่ไร้อันตราย” หยางเชียนฮ่วนพูดจบ เมื่อเห็นว่าท่านโหราจารย์ไม่พูดอะไร จึงเอ่ยถาม

“เรื่องของสวี่ชีอันมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ขอรับ เขาสามารถฟื้นขึ้นมาจากความตายได้ เหตุใดท่านจึงให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้เล่า อีกอย่าง คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นโจวจะมีโหรขั้นสามอยู่คนหนึ่งด้วย อืม อย่างน้อยก็ขั้นสาม แต่บนโลกนี้นอกจากในสำนักโหราจารย์ของเราแล้ว ยังมีโหรที่ไหนมีระดับถึงขั้นนี้ด้วยหรือ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง