บทที่ 235 เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท (1)
ขันทีน้อยก้มศีรษะ ก่อนเอ่ย “คุณชายสวี่ไปที่สวนเส้าอินขององค์หญิงหลินอันก่อนครู่หนึ่ง ทั้งสองพูดคุยกันที่ด้านหลังภูเขาจำลองเป็นเวลานาน ช่วงที่ออกมา ขอบตาขององค์หญิงหลินอันดูแดงก่ำ ราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาขอรับ…”
พอได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว พลางเอ่ยขัด “พวกเขาทำอะไรอยู่ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง”
ขันทีอาวุโสเหลือบมองท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็รู้แล้วว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย องค์หญิงและฆ้องทองแดงสวี่อยู่ด้วยกันสองต่อสองตรงด้านหลังภูเขาจำลองที่เงียบสงบ หลังจากนั้นองค์หญิงก็เดินออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
เรื่องนี้ชวนให้ขบคิดจริงๆ
“บอกความจริงมา” ขันทีอาวุโสกะพริบตาปริบ
“ขอรับ…ในเวลานั้นองค์หญิงหลินอันออกมาพร้อมกับกระบี่ พอฆ้องทองแดงเห็น จึงได้หลบอยู่ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง เป็นหนูฉายที่บอกองค์หญิงว่าฆ้องทองแดงสวี่ซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาจำลอง” ขันทีตัวน้อยอธิบายอย่างรวดเร็ว ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่กล้าปิดบัง
ขุนนางอาวุโสมองไปทางจักรพรรดิหยวนจิ่งทันที เห็นว่าแสงอันดุเดือดในดวงตาของฝ่าบาทได้จางหายไปแล้ว เขาหยุดถอนหายใจสักพัก พลางเอ่ย “เจ้าพูดต่อไป”
“หลังจากนั้นใต้เท้าและองค์หญิงเข้าไปในห้อง ไล่หนูฉายออกมาจากห้อง พระองค์และใต้เท้าสวี่คุยกันอยู่ในห้องเป็นเวลาสองชั่วก้านธูป ส่วนเนื้อหาของการสนทนาหนูฉายไม่ทราบขอรับ” ขันทีตัวน้อยพูดมาถึงตรงนี้ สุดท้ายจึงได้แสดงความเสียใจของตนเองออกมาเล็กน้อย
“ไม่ใช่ความผิดของหนูฉาย แต่เป็น…แต่เป็นเพราะท่าทางของใต้เท้าสวี่ช่างแข็งกระด้างยิ่งนัก”
พูดจบ เขาใช้หางตา เหลือบมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างระมัดระวัง
ทำให้เขาผิดหวังแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้มีท่าทีใดๆ ขันทีน้อยทำได้เพียงแค่เอ่ยต่อไป “หลังจากนั้นใต้เท้าสวี่ได้พาหนูฉายและองค์หญิงหลินอันไปเยี่ยมพระศพของพระสนมฝู
ในกระบวน ใต้เท้าสวี่ต้องการสัมผัสพระศพของพระสนมฝู หนูฉายพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะขัดขวาง แต่ไม่สำเร็จ แถมยังถูกเตะอีก”
เช่นนั้นจะกล่าวได้อยากไรว่าปีศาจน้อยรับมือยาก การเตะนั้นขันทีน้อยจำได้แม่น และรอเวลาที่จะเอาคืนสวี่ชีอันอยู่
เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วมุ่น
ขันทีอาวุโสที่อยู่เคียงข้างเขามาหลายสิบปี ได้เอ่ยถามแทนเจ้าเหนือหัว “สัมผัสอย่างไร”
“สัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานขอรับ” ขันทีน้อยเอ่ยตอบ
เขาไม่กล้าพูดเกินจริง เพราะถ้าจักรพรรดิหยวนจิ่งโกรธ แค่ต้องการหาคนมาตรวจสอบและไปหาสวี่ชีอันเพื่อสอบถาม แล้วคำโกหกเกิดช่องโหว่ อาจได้รับความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิ ขันทีน้อยไม่กล้าทำถึงเพียงนั้น
ขันทีอาวุโสเอ่ยถาม “หลังจากนั้นเล่า”
“หลังจากนั้น…พวกเขาก็จากไปแล้วขอรับ” ขันทีน้อยพูด “แต่ใต้เท้าสวี่บอกกับองค์หญิงหลินอันว่า การเสียชีวิตของพระสนมฝูเป็นเรื่องแปลกขอรับ”
“เรื่องแปลกงั้นหรือ” ในที่สุดจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรงตรัสอีกครั้ง ด้วยท่านั่งตัวตรง เอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อย พลางจ้องมองขันทีน้อย
“ใต้เท้าสวี่บอกว่า การตกลงมาจากสิ่งปลูกสร้างระดับสูง ตามปกติควรคว่ำหน้าลง ไม่ใช่หงายหลังลง แต่พระสนมฝูเสียชีวิตโดยหงายหลังลง มีความไปได้สูงว่าถูกคนผลักลงไป”
ขันทีน้อยนำการวิเคราะห์ของสวี่ชีอัน กล่าวซ้ำตั้งแต่ต้นจนจบให้จักรพรรดิหยวนจิ่งฟัง
‘ถูกคนผลักลงมาจนตาย…’ จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตา มองขึ้นไปบนเพดานพลางครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะตรัส
“ออกไปก่อนเถอะ”
ขันทีน้อยคำนับอำลาและจากไป
ขันทีอาวุโสเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ประจบ “สวี่ชีอันผู้นี้สมคำร่ำลืออย่างที่คาดไว้จริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ หน่วยตุลาการทั้งสามฝ่ายสืบสวนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน ยังไม่อาจแก้ปัญหาได้ แต่ทันทีที่เขามาก็พบเบาะแสในทันที เวลาในการคลี่คลายคดี อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทำเสียงไม่พอใจ “หน่วยตุลาการทั้งทั้งสามฝ่ายใช่ว่าไม่อาจสามารถจัดการกับคดีได้ แค่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง ถึงกระนั้นสวี่ชีอันถือว่ามีความสามารถอยู่บ้าง”
เขายังคงพึงพอใจ
หยุดนิ่งไปสักพัก จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงเอ่ย “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ให้สำนักราชเลขาธิการร่างพระราชกฤษฎีกา เรื่องคืนยศให้แก่สวี่ชีอัน”
ขันทีอาวุโสรับคำสั่งและออกจากห้องบรรทมไป แต่ไม่ได้ไปสำนักราชเลขาธิการในทันที กลับไปหาขันทีน้อยที่มาดูแลจัดการคดีของสวี่ชีอัน พลางแกว่งแขนตบเขาเสียงดัง ‘ปัง’
“พ่อบุญธรรม?”
ขันทีน้อยปิดหน้าอย่างน้อยใจ
“นี่ใช่เวลาอันสมควรหรือไม่ เจ้ายังคิดจะเล่นตลกกับข้า? เจ้าคิดว่าฝ่าบาทฟังไม่ออกหรือ รู้หรือไม่ว่าตนเองเพิ่งเดินเข้าประตูนรกไปแล้วครั้งหนึ่ง” ขันทีอาวุโสก่นด่าเป็นชุด
“เรื่องของพระสนมฝู ฝ่าบาททรงอารมณ์เสียมากแล้ว เวลานี้เจ้ายังเล่นตลกต่อหน้าฝ่าบาท การที่เจ้าไม่เกิดเรื่องในวันนี้ถือว่าเป็นความโชคดี ข้าให้เจ้าเฝ้าติดตามสวี่ชีอัน เจ้าก็ติดตามแต่โดยดี อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว เขาเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับตำหนักหลัง ต่างก็เกี่ยวข้องกับพระสนม องค์หญิง และพระราชโอรสทั้งสิ้น เจ้าห้ามมีอดติและมีแนวคิดทางลบแม้แต่น้อย มิฉะนั้นจะเป็นการแทรกแซงต่อพระบัญชาองค์รัชทายาท”
สวี่ชีอันก่อเรื่องอันใดขึ้น ฝ่าบาทจะทรงตัดสินเอง ขันทีน้อยถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองออกมา ถือว่าเป็นการแทรกแซงตระกูลขององค์จักรพรรดิ
ขันทีน้อยก้มศีรษะ เอ่ยด้วยความกลัวจนตัวสั่น “ลูกทราบแล้วขอรับ”
ขุนนางอาวุโสส่งเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ “ใต้เท้าสวี่ไล่เจ้าออกมา ถือเป็นการหวังดีต่อเจ้า หากได้ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟังจริงๆ ในวันที่คดีสิ้นสุด คงเป็นช่วงที่เจ้าหัวหลุดออกจากบ่าแล้ว”
ขันทีน้อยตอนแรกยังมึนงง ไม่นานเขาก็เข้าใจ จากนั้นใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด มีเหงื่อเย็นไหลออกมาจากแผ่นหลัง
ความเกลียดชังที่ตนถูกสวี่ชีอันเตะนั้นมลายหายไปสิ้น
…
ยามพลบค่ำ
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังม้า ลูกม้าตัวเมียสุดรักของเขาวิ่งเหยาะๆ เสียงดัง ‘กุบกับ กุบกับ’ เขาหรี่ตา มุ่งหน้าไปทางแสงแดดสีส้มที่สาดส่อง พร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ
“จงเดินในเส้นทางที่ถูกทำนองคลองธรรม ชูธงต้านลม ไม่เที่ยวซ่องโสเภณี ไม่ละโมบมาก เป็นขุนนางที่ดี เจ้าก็จะอยู่ในใจปวงชน…”
ลูกม้าตัวเมียวิ่งเหยาะๆ จนเข้ามาถึงตรอกสำนักสังคีตแล้ว
พอเข้าตรอกมา สวี่ชีอันพลิกตัวลงจากหลังม้า จากนั้นโยนสายบังเหียนให้เด็กรับใช้สวมชุดเขียวที่เฝ้าอยู่ตรงทางเข้าตรอก พลางโยนเม็ดเงินไปให้เขาด้วย
ประตูหออิ่งเหมยปิดสนิท คิดไม่ถึงว่าจะปิดกิจการไปแล้ว?
สวี่ชีอันเหลือบมองแสงวับแวมที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก พลางเอ่ยในใจ ชั่วยามนี้ สำนักสังคีตควรเปิดทำการแล้วนี่นา
‘ปัง ปัง ปัง…’
เขาเงยหน้าขึ้นและเคาะประตูหออิ่งเหมย ไม่นานบานประตูก็เปิดออก ทันทีที่รอยแตกของประตูเปิดออก คนรับใช้สวมชุดเขียวที่อยู่ด้านในเอ่ยขึ้น
“หออิ่งเหมยไม่ต้อนรับแขกแล้ว ท่านโปรดไปที่อื่นเถอะขอรับ…”
ประตูเปิดออก หลังบ่าวรับใช้เห็นสวี่ชีอัน เขามีอาการมึนงงในตอนแรก เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดขัด “ท่าน ท่านคือ…”
“ข้าคือสามีสวี่ของเหนียงจื่อพวกเจ้าอย่างไรล่ะ” สวี่ชีอันเลิกคิ้ว
“ผีหลอก!”
คนรับใช้กรีดร้องโดยพลัน ยกเท้ากระโดดถอยหลัง สองขาก้าวห่างออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นพบว่าตนเองยังอยู่ที่เดิม เป็นเพราะถูกสวี่ชีอันดึงเสื้อจากด้านหลังไว้
“จะตะโกนโวยวายไปไย ข้ายังมีชีวิตอยู่” สวี่ชีอันยกมืออีกข้างขึ้นมา ใช้ฝ่ามือตบไปที่เขาเบาๆ แต่เกิดเสียงดัง เอ่ยถาม
“ฝ่ามือของข้ายังอุ่นอยู่ใช่หรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง