ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 235

บทที่ 235 เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท (2)

วันรุ่งขึ้น ภายใต้การปรนนิบัติของนางคณิกา เขาสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันบอกลาฝูเซียงอย่างอาลัยอาวรณ์จนไม่อยากจากกัน ขอบตาดำคล้ำทั้งสองข้าง

พวกสาวใช้ที่หออิ่งเหมย เมื่อเห็นหลังของสวี่ชีอันก้าวออกจากประตูตำหนักไป ก็มีการกระซิบขึ้นมา

“คุณชายสวี่ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าคิดว่าเตียงในห้องเหนียงจื่อควรเปลี่ยนได้แล้ว”

“ใช่ ตอนนี้นั่งทีก็ส่งเสียงดัง จวนหักอยู่รอมร่อ ช่างลำบากเหนียงจื่อเสียจริง”

“รีบไปต้มน้ำเร็วเข้า เหนียงจื่อคงต้องการอาบน้ำ อีกอย่าง เตรียมยาแก้ไอไว้เสียหน่อย เสียงของเหนียงจื่อคงแหบแห้งไปหมดแล้ว”

เมื่อออกมาจากตรอกหออิ่งเหมย อากาศหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิ ลมหนาวที่ใกล้เข้ามาทำให้สวี่ชีอันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาเดินตรงไปทางคอกม้า

ทันใดนั้น พลันรู้สึกเหมือนเหยียบก้อนเนื้อแข็งๆ บางอย่างใต้ฝ่าเท้าเข้า เมื่อมองลงไป ปรากฏว่ามันคือถุงหอมถุงหนึ่ง

หลังก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมวิญญาณ ทักษะอัปเกรดจนเหยียบย่างเป็นถุงหอมได้แล้วหรือ…สวี่ชีอันรู้สึกดีใจเล็กน้อย ก้มลงหยิบขึ้นมาอย่างปกติ ตั้งใจจะเก็บมันไว้ในอกเสื้อ

ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง

ถุงหอมนี้ เหมือนถุงหอมที่เขาแขวนอยู่ตรงเอวไม่มีผิด การเย็บปักที่ละเอียด ปักลวดลายเป็นรูปต้นสนฝีมือหลิงเยวี่ยทีละเส้นอย่างวิจิตร

ท่านอารอง?

ขณะที่จิตใจล่องลอยอยู่นั้น สวี่ชีอันเห็นชายหนุ่มสวมชุดขงจื๊อวิ่งออกมาจากคอกม้าอย่างรีบร้อน ชายหนุ่มคนนี้มีริมฝีปากสีแดง ฟันขาว ดวงตาสุกสว่างเหมือนดวงดาว มีใบหน้าที่หล่อเหลา เขาได้รับการถ่ายทอดยีนเด่นจากมารดามาอย่างสมบูรณ์แบบ

ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ…สวี่ชีอันคิดในใจ

ดวงตาของชายหนุ่มรูปงามยังคงลอยไปมาอยู่บนพื้น และในที่สุดก็ลอยมาหยุดอยู่ที่สวี่ชีอัน จากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจ

มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก พลางยกมือขึ้นทักทาย “อรุณสวัสดิ์”

สวี่เอ้อร์หลางมองเขา พลางขยับริมฝีปาก “อรุณสวัสดิ์”

สองพี่น้องสบตากันเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นาน สวี่ชีอันก็เป็นฝ่ายเริ่มทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจ เดินเข้ามา และคืนถุงหอมให้เอ้อร์หลาง

“ระวังหน่อย ยังดีที่ข้าเป็นคนเก็บถุงหอมได้”

สวี่เอ้อร์หลางรับมาอย่างสงบเงียบ พยักหน้าพลางเอ่ย “ขอบคุณพี่ใหญ่”

สองพี่น้องไม่มีเรื่องพูดคุยกันชั่วขณะ ทำเพียงได้แค่เดินเคียงข้างกันไปที่คอกม้า จูงม้าของใครของมัน และเดินออกจากสำนักสังคีตไป

เวลานี้เพิ่งจะรุ่งสาง มีคนเดินอยู่ตามถนนน้อยมาก ยกเว้นคนขายของริมถนนและพ่อค้า

“เมื่อวานอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น…”

“เมื่อวานอยู่กับเพื่อนร่วมร่วมงาน…”

สองพี่น้องโพล่งขึ้นพร้อมกัน

สวี่ชีอันหันกลับไปมองตรอกสำนักสังคีต พลางเหล่มองไปที่น้องชาย แล้วเอ่ย “เพื่อนร่วมชั้นเล่า”

สวี่ซินเหนียนมองไปด้านหน้า เอ่ยอย่างเรียบเฉย “เพื่อนร่วมงานเล่า”

สองพี่น้องไม่มีบทสนทนากันอีกครั้ง

สวี่ชีอันจำได้ว่าเมื่อได้รับการปล่อยตัวจากคุกและกลับบ้าน เพราะ ‘โบราณกาลพันปีคงประดุจรัตติกาลของต้าฟ่ง’ สวี่ซินเหนียนถึงได้ตายตกทางสังคม และละอายใจจนแสร้งทำเป็นสลบไป

มองดูตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายถูกเขาบังเอิญพบเข้าที่สำนักสังคีต ทว่าสีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยนไปเลย

ข้าไม่ได้เติบโตเพียงคนเดียว ผิวหน้าของเอ้อร์หลางก็หนาขึ้นมากเช่นกัน…อืม อาจเป็นเพราะข้าตายตกหลายครั้งจนชินกับความตายแล้ว…สวี่ชีอันเห็นตามข้างทางมีส้มเขียวหวานขาย รีบยื้อสายบังเหียนไว้ “หยุดก่อน”

สวี่ซินเหนียนยื้อบังเหียนตามไปด้วย และมองอย่างไม่เข้าใจ

สวี่ชีอันซื้อส้มมาหนึ่งจิน เรียกสวี่ซินเหนียงให้ลงจากม้า ขณะปอกเปลือกและเช็ดเสื้อผ้า ก็ได้เอ่ยไปด้วย

“กลิ่นเครื่องแป้งของพวกเหนียงจื่อสำนักสังคีตแรงเกินไป ใช้น้ำเปลือกส้มกลบเสียหน่อย สตรีที่ไวต่อการรับกลิ่นจึงจะไม่สามารถได้กลิ่น”

สวี่เอ้อร์หลางทำตามอย่างคล่องแคล่วไปด้วย ทั้งคว้าโอกาสที่จะเปิดโหมดปากร้าย เอ่ยเหน็บแนม

“พี่ใหญ่เป็นคนสมองไว ไม่เรียนหนังสือถือว่าน่าเสียดายนัก”

สวี่ชีอันเหลือบมองเขา “เป็นวิธีที่อารองสอนข้ามา”

สวี่ซินเหนียนดูเหมือนไม่อยากกล่าวอะไรอีก เขาก้มศีรษะ ตั้งใจใช้น้ำจากเปลือกส้มกลบเสื้อผ้า

หลังเสร็จการแล้ว สวี่ชีอันนำส้มเขียวหวานส่งให้สวี่ซินเหนียน ก่อนกล่าว “ข้าต้องเข้าไปทำธุระที่วังหลวง เจ้านำส้มกลับบ้านไปก่อน”

เอ้อร์หลางขมวดคิ้วเอ่ย “ทำคดี? เจ้าจะทำคดีอะไรอีก”

“คดีของพระสนมฝู เจ้าคงได้ยินแล้วล่ะสิ จักรพรรดิเฒ่าส่งมอบงานดังกล่าวให้ข้า” สวี่ชีอันอธิบาย

“คดีขยะเช่นนี้ เจ้าจะเข้าร่วมด้วยเหตุใด”

สำนักอวิ๋นลู่มีช่องข่าวกรองพิเศษ เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ไม่สามารถปกปิดตาและหูของสำนักได้

“ข้าหนีไม่พ้นอีกแล้ว”

สวี่ซินเหนียนหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าให้ท่านพ่อทุบตีโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ใช้การรักษาบาดแผลเป็นเหตุผล คดีก็สามารถหลีกหนีได้พ้นไปโดยปริยาย อีกอย่าง คดีนี้สืบยากอย่างแน่นอน”

นึกไม่ถึงว่าเอ้อร์หลางจะเหมาะเดินในเส้นทางเป็นข้าราชการ ระดับความหน้าเนื้อใจเสือนั้นได้มาตรฐานทีเดียว…

สวี่ชีอันเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ความจริงแล้ว คดีในวังหลวงเป็นคดีที่น่าสืบสวนที่สุด”

เพราะยอดฝีมือหลายคนในวังหลวงล้วนเป็นซ่องโจรของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ความสัมพันธ์ที่ฉูดฉาดและซับซ้อนเหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ คดีของพระสนมฝูน่าจะเป็นคดีที่ ‘ปกติ’ ที่สุดนับตั้งแต่เคยทำมาเมื่อเขาข้ามมายังโลกใบนี้

สวี่ซินเหนียนพยักหน้า มองไปยังส้มเขียวหวานอย่างรังเกียจ “ส้มเขียวหวานทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด ในบ้านไม่มีใครกินได้หรอก”

“ซื้อมาแล้วจะให้เสียเปล่าไม่ได้ ยกให้หลิงอินกินเสียก็สิ้นเรื่อง”

“เป็นความคิดที่ดี”

ศาลต้าหลี่

ปากประตูที่ทำการปกครองอันทันสมัยและดึงดูดใจ สวี่ชีอันที่อยู่บนหลังม้าเหลือบมองไปที่ ‘ศาลต้าหลี่’ ป้ายอักษรทองสามตัวขนาดใหญ่

ศาลต้าหลี่รับผิดชอบตรวจสอบหลักฐานในคุก เทียบเท่ากับศาลประชาชนสูงสุดที่อยู่ในภพก่อนของสวี่ชีอัน ร่วมกับฝ่ายตรวจการและกรมอาญา เรียกว่าตุลาการสามฝ่าย

โดยปกติหากพบคดีที่สำคัญ ฮ่องเต้จะให้ตุลาการสามฝ่ายตรวจสอบหลักฐานเช่นเดียวกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จากเรื่องราวนี้จะเห็นได้ว่าเว่ยเยวียนที่ควบคุมที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและที่ทำการปกครอง จะมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหน

จักรพรรดิหยวนจิ่งแค่ใช้เขาคนเดียว ควบคุมและถ่วงดุลเจ้าหน้าที่พลเรือนกับทหารทั้งกองร้อย

เช่นเดียวกัน นับว่าเป็นโชคดีของสวี่ชีอันยิ่งนัก ประจวบเหมาะที่เขาได้เข้าไปอยู่ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และได้รับการชื่นชมจากเว่ยเยวียน จากมือปราบคนหนึ่งในอำเภอฉางเล่อ กลายเป็นบุคคลที่สามารถเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงได้

“รีบไปแจ้งแก่ขุนนางศาลต้าหลี่ ให้เขาออกมาพบข้า” สวี่ชีอันชูป้ายทองขึ้น พลางเอ่ยกับเจ้าหน้าที่รักษาการที่ทำการปกครองซึ่งพุ่งตัวออกมารับหน้า

“หากเขาไม่ออกมา ข้าจะเข้าพระราชวังกราบทูลฝ่าบาทว่าเขาจงใจขัดขวางการดำเนินการของคดี”

เจ้าหน้าที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกลับเข้าไปอย่างเร่งรีบ

สิบห้านาทีต่อมา ขุนนางศาลต้าหลี่พาขุนนางระดับเล็กสองท่าน และเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งของศาลต้าหลี่ออกมาทักทาย

“ใต้เท้าสวี่ ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ ขออภัยจริงๆ ขอรับ” ขุนนางศาลต้าหลี่หัวเราะแหะๆ ออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง