บทที่ 238 สวี่ผิงจื้อ ‘พวกเจ้าสองคนรอข้าก่อน’
“เพียงหนึ่งปี ไม่รู้ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงโกรธได้เพียงนี้ เขาขังเสด็จแม่ไว้ในตำหนักเย็น ถึงขั้นจะปลดฮองเฮา แต่ก็ถูกเหล่าข้าราชบริพารตักเตือน เวลานั้นข้ายังจำความไม่ได้” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งกล่าวอย่างจนใจ
“แม้ว่าปีต่อมาเสด็จแม่จะออกจากตำหนักเย็น แต่เสด็จพ่อก็ไม่เคยเสด็จไปยังห้องบรรทมของเสด็จแม่อีกเลย เสด็จพี่สี่ก็เจอกับการปฏิบัติอย่างเย็นชา ส่วนข้าก็ไม่เคยได้รับความรักจากเสด็จพ่อมาตั้งแต่เด็ก ความจริงเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนขี้อิจฉาและจิตใจคับแคบ แม้ว่าต่อมาพระราชโอรสองค์โตจะถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท แต่นางก็ยังไม่วางใจและมองว่าข้ากับเสด็จพี่สี่เป็นศัตรูเสมอ นี่ไม่ใช่มุมมองที่คับแคบของข้า อีกอย่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดหลินอันถึงไม่ถูกกับข้า”
สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นในใจ “เฉินกุ้ยเฟยยุยงหรือ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าช้าๆ “หลินอันได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อและทรงตามใจนางในทุกๆ ด้าน ในช่วงสองสามปีแรก เฉินกุ้ยเฟยกังวลว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะไม่มั่นคง จึงมักจะยุยงหลินอันให้ท้าดวลกับข้าเพื่อทำให้ข้าอับอาย”
หลินอันผู้น่าสงสารต้องถูกเจ้ารังแกอย่างหนักเป็นแน่…แม้ว่าหลินอันจะเป็นคนท้าดวล แต่สวี่ชีอันก็ยังรู้สึกเสียใจกับหลินอัน ไม่ใช่เพราะชื่นชอบยายตัวร้าย ภรรยาหลวงภรรยาน้อย คนนั้นก็ลูก คนนี้ก็ลูก
เพียงแค่รู้สึกว่าด้วยตำแหน่งของยายตัวร้าย นางคงถูกฮว๋ายชิ่งรังแกจนตาย
คิดอีกที นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เฉินกุ้ยเฟยต้องการ ยิ่งนางรู้จักลูกสาวของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้นางไปยั่วยุ นี่ถึงจะบรรลุผล
ลองคิดดูว่า จักรพรรดิหยวนจิ่งโปรดปรานหลินอัน แต่นางถูกฮว๋ายชิ่งรังแกจนร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จักรพรรดิหยวนจิ่งจะไม่เกลียดชังฮว๋ายชิ่งหรือ
“เหตุผลที่ฝ่าบาทจะปลดฮองเฮาคืออะไรหรือ” สวี่ชีอันถาม
“ไม่มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกกลุ่มขุนนางตักเตือน” ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า
การปลดฮองเฮากับการปลดองค์รัชทายาทเหมือนกัน เป็นทั้งเรื่องในครอบครัวของจักรพรรดิและเรื่องใหญ่ระดับชาติ ชนชั้นทหารไม่อาจหย่าร้างกับภรรยาได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงฮองเฮา พระมารดาของแผ่นดินอีก
ไม่มีเหตุผล เหล่าข้าราชบริพารจะยินยอมให้จักรพรรดิหยวนจิ่งปลดฮองเฮาได้อย่างไร
แต่หากไม่มีเหตุผล จักรพรรดิหยวนจิ่งอยู่ๆ จะโกรธและอยากปลดฮองเฮาหรือ
เบื้องหลังจะต้องมีเงื่อนงำอยู่เป็นแน่
“เรื่องนี้เกิดขึ้นในปีหยวนจิ่งที่เท่าไหร่หรือขอรับ” เมื่อสวี่ชีอันถามจบ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองละลาบละล้วงเกินไปจึงกล่าวเสริมว่า “อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีพระสนมฝู…อะ ไม่ใช่นะขอรับ กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจจะสงสัยฮองเฮานะขอรับ”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งหันมามองเขาและเอ่ยเรียบๆ “หากเจ้าสงสัยก็ถามมาตรงๆ มีเหตุผลอะไรมากมายเช่นนั้น”
สวี่ชีอันอับอายเล็กน้อย
“ปีหยวนจิ่งที่สิบสาม” ฮว๋ายชิ่งละสายตากลับ นางมองออกไปไกลๆ และกล่าวว่า “ส่วนเหตุผล ข้าไม่รู้เลย แม้ว่าภายหลังข้าจะถามเสด็จแม่อยู่หลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่ตอบ”
ปีหยวนจิ่งที่สิบสาม คุ้นหูเล็กน้อย…สวี่ชีอันพยักหน้า “ขอบพระทัยองค์หญิงที่บอกกระหม่อม”
เดิมทีข้าคิดว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่แต่งตั้งพระราชโอรสสี่เพราะองค์รัชทายาทค่อนข้างโง่เขลา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเบื้องหลังจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น จริงสิ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะไม่ฉลาดนัก แต่พระราชโอรสสี่จะดีได้สักเพียงใด…อืม ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่พระราชโอรสสี่จะซ่อนพลังไว้…ค่อยกลับไปถามเว่ยกง ด้วยสายตาอันร้ายกาจของเขา เขากล่าวว่าพระราชโอรสสี่เป็นอย่างไร พระราชโอรสสี่ก็เป็นอย่างนั้น
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็พูดขึ้นมาว่า “เหตุใดวันนี้ถึงรีบจบ ด้วยความสามารถของเจ้า คงไม่ถึงกับต้องกลับบ้านเพื่อ ‘ไตร่ตรอง’ หรอกกระมัง”
สวี่ชีอันรู้สึกว่า ฮว๋ายชิ่งค่อนข้างตรงไปตรงมากับเขา ดังนั้นเขาก็ควรตรงไปตรงมาเช่นกัน จะได้เอื้อต่อการรักษาความสัมพันธ์อันดี
“กระหม่อมเพียงแค่อยากถ่วงเวลาก็เท่านั้น” สวี่ชีอันกล่าว
“ถ่วงเวลาหรือ” ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว
“ใช่ขอรับ” สวี่ชีอันได้กลิ่นตัวจางๆ จากองค์หญิงใหญ่และกล่าวอย่างจนใจ
“ข้าน้อยทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองในคดีซังผอกับคดีอวิ๋นโจว ฝ่าบาทก็ไม่ชอบข้าเช่นกัน เดิมทีฝ่าบาทตั้งใจจะแต่งตั้งข้าให้ดำรงตำแหน่งจื่อ แต่เพราะข้าน้อยฟื้นคืนชีพจึงยกเลิกไป ภายหลัง ฝ่าบาทรับปากว่าขอเพียงข้าตั้งใจสืบสวนคดีของพระสนมฝู ฝ่าบาทก็จะแต่งตั้งข้าให้ดำรงตำแหน่งจื่อแห่งอำเภอฉางเล่ออีกครั้ง”
ข้ายากลำบากจริงๆ
“เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะผิดคำสัญญาหรือ” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเห็นด้วย “แผนนี้ไม่เลว หากไม่แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ เจ้าก็ถ่วงเวลาไปอีกหนึ่งวัน”
สวี่ชีอันมองนางอย่างคาดไม่ถึง สมกับที่เป็นลูกศิษย์ของเว่ยเยวียน ความคิดตรงกันมาก
ที่กล่าวกันว่ากษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น ไม่ได้หมายความว่าจักรพรรดิจะไม่พูดโกหก แต่เป็นการอธิบายถึงนโยบายแห่งชาติกับพระราชโองการที่จักรพรรดิสั่งลงมา
ดังนั้นหากจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่แต่งตั้งบรรดาศักดิ์หนึ่งวัน สวี่ชีอันก็จะถ่วงเวลาไปหนึ่งวัน เพื่อหลีกเลี่ยงจักรพรรดิชั่วไม่รักษาคำพูด
“นี่ก็สายแล้ว กระหม่อมขอตัวกลับจวนก่อน” สวี่ชีอันชำเลืองมองท้องฟ้า กลับจวนตอนนี้ เขาน่าจะยังทันอาหารกลางวัน
“อืม” ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
…
อีกด้านหนึ่ง ห้องบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ก่อนมื้อกลางวันครึ่งชั่วยาม จักรพรรดิหยวนจิ่งที่นั่งสมาธิเสร็จกลับมายังห้องบรรทม คนสนิทวิ่งเข้ามาอย่างชื่นมื่นและกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฝ่าบาท คดีพระสนมฝูมีความคืบหน้าอย่างใหญ่หลวง มีความคืบหน้าอย่างใหญ่หลวงขอรับ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งตกตะลึง เขาแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมาทันทีและเอ่ยเสียงต่ำ “ว่ามา”
ขันทีชราเล่าข้อมูลที่ขันทีน้อยมารายงานให้จักรพรรดิหยวนจิ่งฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว จักรพรรดิหยวนจิ่งฟังเงียบๆ และไม่ได้แสดงท่าทีใด
“ฝ่าบาท…” ขันทีชราก้มหน้าเชื่อฟัง “กระหม่อมขอบังอาจถามสักประโยค องค์รัชทายาทถือว่าบริสุทธิ์หรือไม่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งส่ายหน้าเบาๆ “ยังเร็วเกินไป…เพียงแค่สองวันก็สืบหาบริบทของคดีได้ สวี่ชีอันเป็นคนมีพรสวรรค์จริง แต่วิตกกังวลมากไปหน่อย”
เขาแค่นเสียงเย็นออกมา “ไปเร่งสำนักราชเลขาธิการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาโดยเร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องเลือกวันมงคล”
คราวก่อนเขาให้ขันทีชราไปส่งพระราชกฤษฎีกาที่สำนักราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการรับไป แต่ก็ใช้เหตุผลว่าช่วงนี้ไม่มีวันมงคลมาถ่วงเวลา
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
…
อารองสวี่ที่รับผิดชอบลาดตระเวนยามกลางวันถือหมวกเกราะกลับมาที่จวน ดาบพกที่แขวนอยู่บนหลังส่ายไปมาตามการก้าวย่างของเขา
ช่วงกลางวันมีเวลาพักผ่อนครึ่งชั่วยาม สวี่ผิงจื้อที่เป็นหัวหน้ากองร้อยจะกลับมารับประทานอาหารที่จวนในเวลานี้และดื่มชาไปด้วย
ในครัวยังคงยุ่งอยู่กับอาหารมื้อกลางวัน อาสะใภ้ปลูกดอกคลีเวียที่ซื้อมาใหม่อยู่ในสวนด้านหลัง นางสวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อนและกระโปรงยาวสีเดียวกัน บนกระโปรงปักลวดลายซับซ้อน
เมื่อนางโน้มตัวไปปลูกดอกกล้วยไม้ก็เผยให้เห็นเอวที่เรียวบางและสะโพกที่อวบอิ่ม
อารองสวี่ถือหมวกเกราะยืนอยู่ไม่ไกลและกระแอม “ฮูหยิน ข้าหิวแล้ว เจ้าไปเร่งห้องครัวให้หน่อย”
อาสะใภ้ก้มหน้าก้มตาปลูกดอกไม้และไม่สนใจเขา
“ฮูหยิน”
“ตะโกนทำไม” อาสะใภ้กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “คืนนี้ใต้เท้าสวี่จะไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานและไม่กลับมิใช่หรือ”
อารองสวี่ชะงัก “ฮูหยินเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”
อาสะใภ้ปลูกดอกคลีเวียต้นสุดท้ายและปัดมือ นางเท้าเอวและยิ้มอย่างเย็นชา
“มีคำกล่าวว่าอย่างไรนะ ใช่ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ หลานชายสุดที่รักของเจ้ารวยแล้วก็ไม่ลืมเจ้า ข้ารู้ว่าเขาแอบยัดเงินให้เจ้า”
อารองสวี่ได้ยินก็ตกตะลึงและคิดในใจว่า ‘เรื่องที่ต้าหลางยัดเงินให้ข้าก็ผ่านมานานมากแล้ว เป็นก่อนที่เขาจะไปอวิ๋นโจว เหตุใดคดีเก่านี้จึงถูกคุ้ยออกมาอีก’
“มีที่ไหนล่ะ เมื่อวานต้าหลางเพิ่งโผล่ออกมาจากโลงศพและออกไปข้างนอกในวันนั้น ดึกดื่นก็ไม่กลับห้อง จะเอาเวลาไหนมายัดเงินให้ข้า”
อารองสวี่ไม่ยอมรับอย่างแน่นอนและก็จะไม่ยอมรับเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาอีก
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินก็ฉุนเฉียว นางเลิกคิ้วและพูดเสียงดัง
“สวี่ผิงจื้อ เจ้าคิดจะนำเงินส่วนตัวห้าสิบตำลึงแอบไปเที่ยวหอนางโลมจริงๆ สินะ เมื่อเช้านี้เอ้อร์หลางบอกกับข้าว่าสวี่หนิงเยี่ยนแอบยัดเงินห้าสิบตำลึงให้เจ้า ข้าคิดว่าหากเจ้ายอมรับ ข้าก็จะปล่อยไป ไม่นึกว่าเจ้าจะคิดเก็บซ่อนไว้จริงๆ เจ้าไม่ยอมรับสินะ เอ้อร์หลางจะโกหกข้าหรือ สวี่ผิงจื้อเจ้ามันคนไม่มีมโนธรรม ข้าจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้านหลังนี้ ทุ่มเททั้งกายและใจและยังเลี้ยงหลานชายผู้โชคร้ายของเจ้าจนโตอีก แต่เจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ”
“เอ้อร์หลางล่ะ บอกให้เขาออกมา” อารองสวี่โกรธเกรี้ยว
“หึ เอ้อร์หลางกำลังนอนพัก เจ้าอย่าไปรบกวนเขาและอย่าเบี่ยงประเด็น เงินห้าสิบตำลึงเจ้าจะมอบให้ข้าหรือไม่”
“ข้าให้ ฮูหยินเจ้าอย่าโกรธเลย” อารองสวี่เข้าไปในห้องนอนด้วยความท้อแท้ใจ เพื่อไม่ให้อาสะใภ้พบที่ซ่อนตั๋วเงิน เขาจึงรีบเดินมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าไปในห้องนอน เขาก็ตรงไปที่ห้องปีกเล็กของสวี่หลิงอินและยกเครื่องนอนของลูกสาวขึ้น ข้างใต้เป็นเงินส่วนตัวทั้งหมดของเขา ซึ่งรวมเป็นเงินแปดสิบตำลึง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง