ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 239

บทที่ 239-2 ความโกรธของสวี่หลิงอิน

ภายในห้องโถงมีเด็กเล็กนั่งอยู่ยี่สิบกว่าคนและที่มุมห้องทางทิศตะวันออก มีเด็กสาวที่มวยผมคนหนึ่งยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง

หน้าตาของนางธรรมดา ใบหน้ากลมมนเหมือนซาลาเปา ดวงตาเป็นประกาย

“ท่องคัมภีร์ตรีอักษรหนึ่งรอบ” อาจารย์หลี่นั่งขัดสมาธิและออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“คนแรกเกิด จิตใจดี คล้ายคลึงกัน…”

เมื่อท่องถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ชะงักไป

อาจารย์หลี่เคยชินกับมันจึงไม่โกรธ เขาบีบนวดหว่างคิ้วและถอนหายใจ “ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วเหตุใดเจ้าถึงยังท่องได้เพียงสามประโยคนี้”

เด็กโง่เช่นนี้ไม่ควรค่าให้โกรธเคือง

สวี่หลิงอินเอ่ยเสียงหวาน “ท่านพ่อของข้าบอกว่า มีฝีมือติดตัว ไม่อดตายทั้งชาติ”

มีฝีมือติดตัว ไม่อดตายทั้งชาติใช้ในบริบทนี้หรือ…อาจารย์หลี่ชะงักไปและนึกขึ้นได้ว่าพ่อของเด็กคนนี้เป็นทหารต่ำช้าจึงไม่โกรธ

“อ่านหนังสือทุกวัน อ่านออกเสียงดังที่สุด อ่านอักษรไม่มีปัญหา เหตุใดตอนที่เจ้าท่องคัมภีร์ จึงไม่ท่องออกมาเล่า ปราชญ์กล่าวไว้ว่า จงแสวงหาความรู้ให้ถึงที่สุด เจ้าเคยไตร่ตรองตัวเองดูหรือไม่”

สวี่หลิงอินเอ่ยอย่างงุนงง “ก็ท่านอาจารย์สอนเพียงแค่สามประโยค”

เสียงหัวเราะดังสนั่นไปทั้งห้องเรียน

อาจารย์หลี่โบกมืออย่างเหนื่อยใจ “เจ้านั่งลงเถอะ”

ครอบครัวของเด็กคนนี้มีเพียงพี่รองที่เป็นปัญญาชนและเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นลู่ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าสภาพแวดล้อมและการศึกษาแบบไหนที่สอนให้เด็กสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้

เขาเอียงศีรษะมองน้ำหยด ถึงเวลาอาหารแล้ว อาจารย์หลี่กระแอมทีหนึ่ง “เวลารับประทานอาหารสองเค่อ จำไว้ว่าเวลากินห้ามพูด”

เมื่อพูดจบ เขาก็ออกจากห้องเรียน อ้อมไปลานด้านหลังและเพลิดเพลินกับอาหารมื้อกลางวัน

เด็กๆ เป็นอิสระทันที พวกเขาหัวเราะเฮฮากันอย่างครื้นเครงและหยิบอาหารออกมาจากในถุงผ้าเล็กๆ ของพวกเขาทีละคนๆ

อาหารกลางวันของสวี่หลิงอินวันนี้อุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ ทั้งเกี๊ยวใส ลูกชิ้นเนื้อปลาและขนมเลิศรสจากภัตตาคารกุ้ยเยว่สองสามอย่าง

อาหารของนางปริมาณมากกว่าเด็กคนอื่นสองถึงสามเท่า

สวี่หลิงอินจัดเรียงพอเป็นพิธีและกลืนน้ำลาย นางคิดถึงอาหารที่อยู่ในถุงผ้าตลอดทั้งช่วงเช้า

ทั้งห้องเรียนไม่มีอาหารของใครที่อุดมสมบูรณ์และแพงไปกว่าสวี่หลิงอินแล้ว แน่นอนว่า อาหารมื้อกลางวันของสวี่หลิงอินอุดมสมบูรณ์เช่นนี้มีสาเหตุ

เมื่อวานนี้เป็นวันไหว้ศพของสวี่ต้าหลาง จวนสกุลสวี่จึงซื้อวัตถุดิบชั้นยอดมาจำนวนมากเพื่อเตรียมงานศพให้ยิ่งใหญ่

แต่ใครเล่าจะรู้ว่าสวี่ต้าหลางกลับมาแล้วและหลังจากให้การต้อนรับคนในตระกูลสวี่เสร็จก็ยังเหลืออาหารอยู่อีกมาก

“ข้าอยากได้อาหารของเจ้า”

เด็กอ้วนคนหนึ่งเดินไปที่โต๊ะของสวี่หลิงอินและมองลงมาที่นางอย่างเย่อหยิ่ง

เด็กอ้วนคนนี้เป็นหัวโจกของเด็กๆ ในห้องเรียน เขาสูงที่สุดและแข็งแกร่งที่สุด เขาแก่กว่าสวี่หลิงอินหนึ่งปี ซึ่งปีนี้เขาอายุเจ็ดขวบ

เขาไม่เพียงสูงที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่ภูมิหลังครอบครัวของเขายังลึกล้ำที่สุดอีกด้วย พ่อแม่ของเขายังไม่น่าอัศจรรย์ แต่ลุงของเขาเป็นหลางจงเลขาธิการกรมปกครอง ขุนนางระดับห้าชั้นเอก

กรมปกครองได้รับการยอมรับว่าเป็นหัวหน้าของหกชั้นศาลและเลขาธิการก็รับผิดชอบหน้าที่แต่งตั้งบุคลากร ในบรรดาสี่หน่วยงานของกรมปกครองมีเพียงผู้คุมสอบเท่านั้นที่มีตำแหน่งสามารถเทียบกับเลขาธิการได้

“ข้าไม่ให้!”

สวี่หลิงอินปกป้องอาหารและจ้องมองอย่างดุร้าย

“เจ้าอยากโดนตีอีกหรือ” เด็กอ้วนเบิกตากว้าง

กำไลข้อมือของสวี่หลิงอินก็ถูกเขาแย่งไป ตอนแรกสาวน้อยไม่ยอมให้ แต่ถูกเขาผลักล้มลงกับพื้นและตีอีกสองที ก่อนจะแย่งเอาไป

สาวน้อยผู้โง่เขลาคนนี้ไม่ร้องไห้แล้วก็ไม่โวยวายราวกับว่ากำไลข้อมือหายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

หลังจากเด็กอ้วนกลับบ้าน เขาก็โกหกแม่ว่าเก็บกำไลข้อมือได้ แม่ของเขาดีใจมาก เพราะกำไลข้อมือนั่นสามารถจำนำที่โรงรับจำนำได้แปดตำลึงเงิน

หลังจากนั้นแม่ของสาวน้อยผู้โง่เขลาก็รีบมาโวยวายที่โรงเรียน แต่เพราะสวี่หลิงอินไม่ได้ชี้ตัวคนผิด ดังนั้นแม่ผู้ดุร้ายคนนั้นจึงถูกอาจารย์กันตัวออกไป

ดังนั้นเด็กอ้วนจึงรู้ว่าสามารถแย่งกำไลข้อมือของ “เพื่อนร่วมชั้น” คนนี้ได้ไม่มีปัญหา เขามีเงินและจะไม่ถูกผู้ใหญ่ลงโทษ

ในสองสามวันแรก เขาจ้องมองข้อมือของสวี่หลิงอินตลอด แต่หลังจากที่ทุบตีไปครานั้น นางก็ไม่สวมกำไลข้อมืออีก

สาวน้อยผู้โง่เขลาคนนี้น่ารังแกยิ่งนัก แต่ก่อนหน้านี้นางไม่มีค่าให้ถูกรังแก ทว่าครั้งนี้ต่างออกไป เมื่อเด็กอ้วนเห็นก็จำได้ว่านั่นเป็นขนมของภัตตาคารกุ้ยเยว่ เขาเคยไปกินที่นั่นและมันอร่อยมาก

หากเด็กอ้วนอยากกินของของนาง เขาก็ต้องได้กิน เด็กๆ ในห้องเรียนล้วนกลัวเขาจึงไม่มีใครกล้าขัดขืน

“ไปให้พ้น!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง