ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 240

บทที่ 240 สวี่หลิงอิน “พี่ใหญ่ ข้าคือที่รักของท่านหรือไม่” (1)

อาจารย์หลี่รู้จักบ่าวรับใช้สองคนนั้น พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของจวนเจ้าเด็กอ้วน มีหน้าที่รับส่งเขาไปโรงเรียน

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้รับแจ้งข้อมูลลับจาก ‘สายลับตัวน้อย’ แล้ว ถึงได้รู้ว่าคุณชายบ้านตัวเองได้รับบาดเจ็บ แถมยังอาการหนักด้วย เพราะสถานศึกษาได้เชิญหมอมา

บุกเข้าไปในสถานศึกษาโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นหนูน้อยตัวอ้วนนอนหมดสติอยู่บนเตียงทันที

“คุณชาย…”

หนึ่งในข้ารับใช้ร้องเสียงหลง ทรุดลงข้างเตียง แล้วตรวจดูลมหายใจ…ยังไม่ตาย

ร่างกายที่เกร็งก็ผ่อนคลายลง ตามมาด้วยความโกรธเคือง แม้คุณชายจะถูกทำร้ายภายในห้องเรียน แต่นายท่านและฮูหยินไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคดี พวกท่านจึงคิดแต่ว่าคุณชายได้รับบาดเจ็บระหว่างเรียน คนที่รับผิดชอบดูแลคุณชายอย่างพวกเขาก็ต้องถูกลงโทษ

คนใช้สองคนจ้องทุกคนจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จ้องไปที่อาจารย์หลี่ พลางเอ่ยเสียงดัง “ไอ้เด็กเวรหน้าไหนที่ทำร้ายคุณชายของข้า”

อาจารย์หลี่ทำเสียงกระแอมไอ เอ่ยอย่างอ่อนโยน “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน พวกเจ้าพาเขากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมด้วยตนเองในภายหลัง”

เขาตั้งใจจะรอผู้ปกครองของสวี่หลิงอินมาถึงก่อน แล้วค่อยปรึกษากันเรื่องการขอโทษ

โดยให้เขาเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย และแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างสันติ

ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทอย่างรุนแรงระหว่างเด็กๆ ในสำนักศึกษาของเขา ซึ่งส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาอย่างมาก

ข้ารับใช้ของขุนนางใหญ่เป็นพวกที่ใจแคบยิ่งกว่าทหาร

“อย่ามาใช้ลูกไม้นี้หน่อยเลย ข้ารู้เพียงว่าคุณชายของเราถูกทำร้าย หากเจ้าไม่ส่งเด็กนั่นมา ข้าก็จะไปแจ้งกับทางการ” บ่าวรับใช้ตะโกนเสียงดังลั่น

อีกคนหนึ่งไปขวางประตู ไม่ให้ใครออกไป

อาจารย์หลี่ยิ้มเสียงเย็น “ ‘บทบัญญัติ บทแรกกฎหมายศาลเฟิง’ ผู้ใดอายุต่ำกว่าสิบห้าปีและผู้พิการกระทำความผิดสมควรได้รับการไถ่ถอน ผู้ใดอายุต่ำกว่าสิบปี กระทำความผิดฐานก่อกบฏและฆ่าคนสมควรตาย ต้องกราบทูลเบื้องบน ผู้ใดลักขโมยและทำร้ายคน สมควรได้รับการไถ่ถอน”

“เมื่อออกไปจากสำนักศึกษาแล้ว เลี้ยวไปทางขวาครึ่งชั่วยามก็ถึงที่ทำการปกครอง ทั้งสองรีบไปรีบกลับเถอะ”

สรุปง่ายๆ คือ เด็กที่ก่ออาชญากรรม สามารถจ่ายค่าไถ่แทนการลงโทษได้

ข้ารับใช้ทั้งสองสู้อาจารย์หลี่เรื่องกฎหมายไม่ได้ ทั้งโกรธทั้งโมโห พับแขนเสื้อขึ้นหมายจะเข้าไปต่อย

ในตอนนั้นเองเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็ชี้ไปที่สวี่หลิงอิน เอ่ยเสียงดัง “นางเป็นคนตี นางเป็นคนใช้ไม้ไผ่ตีเขาจนตาย”

“เป็นเจ้านี่เอง!”

ในเวลานี้ ข้ารับใช้เพิ่งเห็นว่าอาจารย์หลี่กึ่งๆ จงใจบังเด็กสาวคนหนึ่งไว้ ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าเพิ่งเห็น เพียงแต่ทั้งสองมุ่งความสนใจไปที่เหล่าเด็กชายท่าทางก้าวร้าวมากกว่า

แม่หนูคนนั้นหน้าตาธรรมดา ท่าทางไม่ค่อยฉลาด ใครจะคาดคิดว่านางจะเป็นคนตี

แต่ว่า หลังจากความคิดเปลี่ยนไป ข้ารับใช้ก็พบว่า แม่หนูคนนี้ร่างกายแข็งแรงล่ำสันมาก นางมีใบหน้ากลม พุงกลม มือและเท้าที่กลม

และช่วงไหล่ที่แข็งแรง…

“เอาตัวไป!”

หนึ่งในข้ารับใช้อุ้มเจ้าเด็กอ้วนขึ้น และข้ารับใช้อีกคนเข้าไปดึงคอของสวี่หลิงอิน

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร” อาจารย์หลี่โกรธจนควันออกหู

“ไป!”

ข้ารับใช้ผลักเขาออกไป เอ่ยอย่างโมโห “ข้าไม่สนกฎหมายอะไรของเจ้า ตีคนก็ต้องรับผิดชอบ ข้าจะพานางกลับจวนเดี๋ยวนี้ เพื่อส่งให้นายท่านและฮูหยินเป็นผู้จัดการ ทางที่ดีรีบแจ้งคนในบ้านของยายหนูนี่มาไถ่ตัวที่จวนตระกูลจ้าวดีกว่า”

เขาหัวเราะเสียงเย็น “สายไปแล้วล่ะ แขนขาดขาหัก อย่ามาโทษพวกข้าก็แล้วกัน”

นางต้องถูกตีหนึ่งทีเป็นอย่างน้อย บังอาจทำร้ายคุณชายของพวกเขาจนบาดเจ็บ จะให้ชดใช้เป็นเงินแล้วจบกันไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน พอกลับถึงจวนแล้ว ยัยหนูนี้ต้องโดนตีให้น่วมทีเดียว

“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป ข้าจะรอแม่ข้า” เสี่ยวโต้วติงถูกหิ้วขึ้นมา สองเท้าตะเกียกตะกาย ขัดขืนด้วยความโกรธ

“ถุยๆ…” เสี่ยวโต้วติงหันไปถ่มน้ำลายใส่เขา

“ทำตัวดีๆ หน่อย”

ข้ารับใช้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ง้างฝ่ามือหมายจะตบ

แต่ยังไม่ทันฟาดลงไป ก็ถูกขวางโดยอาจารย์หลี่ทีมือไวเท้าไว หนวดเคราและผมเผ้าตั้งชัน พลางเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว

“ข้าเป็นถึงซิ่วไฉ ซิ่วไฉที่มีชื่อเสียง เจ้ากล้าลงมือกับนาง ก็รอโดนฟ้องร้องเถอะ”

ข้ารับใช้มองอย่างเหยียดหยาม “เป็นซิ่วไฉแล้วอย่างไรเล่า เมื่อถึงช่วงวันเทศกาลหรือวันปีใหม่ต่างก็มาที่จวนเพื่อผูกความสัมพันธ์ อย่าว่าแต่ซิ่วไฉเลย ท่านเจ้าหน้าที่ก็เยอะเช่นกัน นับประสาอะไรกับตาแก่เลอะเทอะอย่างเจ้า ไสหัวไปซะ”

พลางผลักอาจารย์หลี่ออก และเดินจากไปพร้อมกับคู่หู

สวี่ชีอันขี่ม้า วิ่งเหยาะๆ ภายใต้แสงแดดอบอุ่น เขาบ่นกระปอดกระแปด

“กะอีแค่กำไลหักๆ อันเดียว อาสะใภ้คิดมากขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ให้อารองจัดการเองเสียเล่า”

อาสะใภ้ก็ยังตามมาด้วย เพราะนึกถึงกำไลที่ตนเองซื้อให้สวี่หลิงอิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าสูญหายไปอยู่ที่ใด จึงถือโอกาสกลับมาพร้อมสวี่ชีอัน เมื่อมีที่พึ่งพิงแล้ว จึงตั้งใจจะไปหาอาจารย์ที่สำนักศึกษาเพื่อสอบถามเสียหน่อย

“พิธีไหว้วสันต์ของฝ่าบาทเพิ่งผ่านไปไม่นาน อารองของเจ้ามีเวลามาจัดการเรื่องไร้สาระพวกนี้ที่ไหนกัน”

ผ้าม่านเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของอาสะใภ้ สันกรามที่แหลมคม ริมฝีปากทาสีผึ้งเป็นสีแดงสด

ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน หญิงสาวที่มั่นใจในความสวยของตนเอง ตอนออกจากบ้านต้องแต่งหน้าเสียหน่อย

“เอ้อร์หลางกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ” สวี่ชีอันพูดโดยไม่คิด

นางกลอกตาใส่หลานชายไปหนึ่งทีพลางเอ่ย “เอ้อร์หลางต้องเข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ จิตใจไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกอย่าง ตอนนี้เอ้อร์หลางยังไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศ และไม่ได้เป็นทหารที่สามารถสู้รบได้อย่างพวกเจ้า เขามีแค่หนึ่งปาก”

สวี่ชีอันเอ่ยในใจ แต่ปากของเอ้อร์หลาง ทำให้ทหารโกรธจนระเบิดได้เลยทีเดียว เป็นเครื่องจักรสังหารที่น่ากลัวไหมเล่า

พอคิดถึงเอ้อร์หลางก็น่าสงสาร ถึงแม้ว่าอาสะใภ้จะมีคำพูดติดปากว่า “เอ้อร์หลางต้องเข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์” “เอ้อร์หลาง แม่จะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี”

แต่อาสะใภ้ที่ปกติรักสนุกอย่างไร ก็ยังรักสนุกอย่างนั้น

อย่างมากที่สุดก็ตอนคีบอาหารให้เอ้อร์หลางช่วงกินข้าว จากนั้นก็ดูแลแต่ปาก

แม่ที่มีนิสัยเหมือนอาสะใภ้เช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งในยุคสมัยนี้…สวี่ชีอันไม่พูดอะไรอีก และเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ข้างทาง

เขานึกออกเรื่องหนึ่ง เหตุผลที่ท่านตาผู้นั้นยอมยกอาสะใภ้ให้แต่งงานกับอารอง คงเป็นเพราะรู้ว่าบุตรสาวคนนี้ของตนไม่มีทางได้แต่งเข้าเป็นคุณนายในตระกูลขุนนางได้นั่นเอง

หากจะให้นางใช้ความสวย เข้าไปในตระกูลใหญ่เพื่อถูกรังแก สู้ให้แต่งกับสามีที่มาจากครอบครัวธรรมดา ที่เข้าใจและทะนุถนอมจะดีกว่า

ดังนั้น นางจึงไม่ถูกสอนหนังสือ

อาสะใภ้ปล่อยผ้าม่านลง เขยิบเข้าใกล้ใบหูของสวี่หลิงเยวี่ยพลางเอ่ยเสียงเบา “หลังจากไปรับหลิงอินแล้ว หลิงเยวี่ยเจ้าพาต้าหลางไปเดินเล่นที่ร้านเครื่องประดับเสียหน่อยนะ”

“จากนั้นก็ช่วยซื้อเครื่องประดับติดมือมาให้ท่านแม่ด้วยใช่หรือไม่” สวี่หลิงเยวี่ยเหล่มองมารดา

“ไม่จำเป็น ข้าเลือกเองได้” อาสะใภ้ตอบ

“…” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างจนใจ “ความจริงแล้วท่านแม่คิดว่า พี่ใหญ่ไว้ใจได้มากกว่า ใช่ไหมเจ้าคะ ดังนั้นทันทีที่พี่ใหญ่กลับมา ท่านจึงรอไม่ไหวให้ท่านพี่ทวงคืนความยุติธรรมให้”

“ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นนั้นนะ” อาสะใภ้ปฏิเสธเสียงแข็ง

สวี่หลิงเยวี่ยเม้มปากแล้วยิ้ม ไม่หลุดปากออกไปว่า ในตระกูลนี้ แม้พี่รองจะมีอนาคตที่ยาวไกล แต่เขาก็ยังไม่ร่ำรวย ลองหันไปมองท่านพ่อ สองสามปีมานี้ท่านตีเนียนเข้าไปคลุกคลีกับบรรดาข้าหลวงเต่าหลวงทั้งหลายแล้ว จึงไม่สามารถโกรธแค้นใครและสร้างศัตรูที่ไหนได้

เป็นไปไม่ได้เลยที่คาดหวังให้ท่านมีเรื่องแตกหักกับคนอื่นเพียงเพื่อสร้อยข้อมือเส้นเดียว

มีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้นที่รอดพ้นจากอันธพาลได้ แถมยังเป็นถึงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และกุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ ประกอบกับเส้นสายในหน่วยข้าราชการ ไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด

แต่ว่าท่านแม่และพี่ใหญ่ฟาดฟันกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว จะให้นางยอมรับว่าตนเองต้องพึ่งพาหลานชายที่โชคร้าย ก็คงเป็นไปไม่ได้

ไม่นานก็มาถึงสำนักศึกษา รถม้าหยุดอยู่ข้างถนน คนขับรถม้าหยิบม้านั่งไม้อันเล็กๆ ออกมา แล้วเอ่ย “ฮูหยิน ถึงแล้วขอรับ”

อาสะใภ้และหลิงเยวี่ยดึงม่านที่เปิดอยู่ลง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง