บทที่ 240 สวี่หลิงอิน “พี่ใหญ่ ข้าคือที่รักของท่านหรือไม่” (2)
“ข้าให้ทางเลือกเจ้าสองทาง หนึ่ง ชดเชยด้วยเงินห้าร้อยตำลึง สอง ให้ข้าจับยายหนูนี่ไปที่ทำการปกครอง”
“ห้าร้อยตำลึง?” อาสะใภ้ร้องเสียงหลง “ต่อให้ตีบุตรชายเจ้าจนตายก็ยังไม่คู่ควรกับเงินห้าร้อยตำลึง เจ้าอย่าได้ฝัน”
“นางชั้นต่ำ เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร” สตรีผู้แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างชนชั้นสูงเพิ่งจะหยุดด่าไป เมื่อได้ยินก็โกรธจัด ชี้หน้าอาสะใภ้ และด่ากราดจนน้ำลายกระเด็น
“ดูคนบ้านนี้สิ ไม่มีใครปกติสักคน ที่แท้ก็มีนางแม่ช่างยั่วนี่เอง บุตรสาวถึงได้ป่าเถื่อนเช่นนี้ ไม่ได้เรื่อง”
อาสะใภ้เท้าสะเอว จิกกัดเต็มที่ “หน้าตาก็บ้านๆ ยังมีหน้าด้านออกมาขายขี้หน้าข้างนอกอีก ถุย!”
หญิงผู้นั้นโกรธจัด ก้าวไปข้างหน้า ยกฝ่ามือขึ้นหมายจะตบอาสะใภ้
อาสะใภ้กรีดร้องเสียงแหลม
‘เพียะ!’
สวี่ชีอันใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าของนางจนใบหน้าแดงเถือก
“เจ้า…“ หญิงคนนั้นจ้องมองอย่างโกรธแค้น
‘เพียะ!’
สวี่ชีอันตบไปอีกครั้งหนึ่ง
หญิงนางนั้นยืนซวนเซแล้วทรุดตัวล้มลง ปากร่ำไห้พลางกล่าว “ท่านพี่ ท่านยังรออะไรอยู่หรือเจ้าคะ ข้าจะถูกตบเจียนตายอยู่แล้วนะเจ้าคะ”
ชายวัยกลางคนก็โกรธอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าเรื่องนั้นไม่สามารถพูดคุยอย่างสันติได้แล้ว สีหน้าพลันถมึงทึง พลางโบกมือ “จัดการมัน”
ข้ารับใช้กรูเข้ามา
สตรีผู้นั้นชี้ไปที่อาสะใภ้ ตะโกนเสียงแหลม “จัดการนางชั้นต่ำให้ตายไปซะ”
สวี่ชีอันดึงอาสะใภ้และหลินเยวี่ยมาหลบด้านหลัง ยกเท้าขึ้นถีบข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหน้าสุด
ไม้กระบองหลุดมือ ข้ารับใช้ผู้หนักถึงสองร้อยกว่ากิโลลอยละลิ่ว กระเด็นไปตกอยู่บนถนนด้านนอก
ลูกเตะของเขาเปี่ยมด้วยทักษะ
ข้ารับใช้สิบกว่าคนหยุดฝีเท้าพร้อมกัน ต่างกำอาวุธในมือแน่น แต่ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
พลังเตะเมื่อสักครู่ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ ไอ้หมอนี่เป็นผู้ฝึกตน
ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกตนนี่เอง…ชายวัยกลางคนกระซิบกระซาบกับข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ สองสามคำ ข้ารับใช้ก็วิ่งหนีทันที
“ที่นี่คือเมืองหลวง พลังยุทธ์แก้ไขปัญหาไม่ได้หรอก ท่านจอมยุทธ์หนุ่ม น้องสาวของเจ้าตีคน ถึงอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายหน่อยกระมัง” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าบึ้งตึง
“บุตรชายของท่านยังแย่งของกินน้องสาวข้าได้เลย” สวี่ชีอันเหล่ตามอง พลางเอ่ยเยาะเย้ย
อาสะใภ้ปลอบโยนบุตรสาวตนเล็กและหลินเยวี่ยที่กำลังหวาดกลัว พอแหงนหน้ามองสวี่ชีอัน ก็รู้สึกอุ่นใจยิ่งนัก
ไม่เสียแรงที่ข้าเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่
“ลูกข้าเป็นแค่เด็กน้อย มีเด็กที่ไหนไม่ตะกละบ้างเล่า เรื่องแค่นี้เจ้ากลับมาถือสาหาความกับเด็ก หน้าไม่อาย” สตรีนางนั้นพูดเสียงดัง
นางค่อนข้างสงวนท่าที ไม่กล้าพ่นคำผรุสวาท
สวี่ชีอันขี้เกียจจะสนใจนาง
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไร” ชายวัยกลางคนถาม
“บุตรชายของท่านมาแย่งของกินน้องสาวข้า แถมยังตีนางก่อน ดังนั้น ข้ายินดีชดใช้ด้วยเงินสิบตำลึง” สวี่ชีอันแสดงท่าทีของตนเองออกมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือกฎธรรมชาติเขาก็สามารถอธิบายได้ แต่สวี่หลิงอินทำร้ายคนจนได้รับบาดเจ็บก็เป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะมีสาเหตุก็ตาม จากประสบการณ์การเป็นตำรวจในชาติที่แล้วของสวี่ชีอัน การจัดการกับเรื่องเช่นนี้ ควรตัดสินตามอาการบาดเจ็บ
แต่ว่าต้องชดใช้เงินจำนวนที่น้อย จะมากไปก็ไม่ได้
ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงเย็น
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันครู่หนึ่ง ก็มีเจ้าหน้าที่จับกุมจากที่ว่าการเมืองวิ่งเข้ามา นำโดยชายวัยกลางคน ที่มีดวงตาเฉียบคม และใบหน้าเหมือนพุทรา
ด้านหลังตามมาด้วยเจ้าหน้าที่จับกุมอีกสามนาย
เขากวาดสายตามองดูผู้คนในจวนอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยเสียงขรึม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ข้ารับใช้ที่ไปแจ้งทางการกล่าวว่ามีคนทำร้ายกันกลางเมือง แต่หัวหน้ามือปราบแห่งที่ว่าการเมืองก็ไม่ได้ฟังความข้างเดียว
“ข้าน้อยเจ้าเชิน เป็นเลขาธิการกรมปกครองขอรับ” ชายวัยกลางคนคารวะ
หัวหน้ามือปราบรับคารวะกลับ “นายท่านเจ้า”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างเคยชิน ชี้ไปที่สวี่ชีอันแล้วเอ่ย “คนผู้นี้ใช้กำลังฝ่าฝืนกฎหมาย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ปล่อยให้น้องสาวตนทุบตีบุตรชายข้าจนบาดเจ็บสาหัส ภายหลังยังลงมือทำร้ายบ่าวของข้าอีก ขอท่านโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยขอรับ”
หัวหน้าจ้องมองไปที่สวี่ชีอันครู่หนึ่ง รู้สึกว่าชายหนุ่มสุดหล่อนี่ดูคุ้นๆ แต่คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“จับตัวไป”
เจ้าหน้าที่จับกุมจับสองนายปลดเชือก หันไปเผชิญหน้ากับสวี่ชีอัน
“ม่านหัวหน้ามือปราบ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะรับฟังข้างเดียว” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
หัวหน้าโบกมือ หยุดเจ้าหน้าที่จับกุมทั้งสองไว้ “เจ้าว่ามา”
“ยังมีอะไรต้องพูดอีก บุตรชายของข้าแค่กินของกินของน้องสาวเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยายเด็กตัวแสบนี่ถึงกับทำร้ายบุตรชายข้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่เพียงไม่ยอมรับ ซ้ำยังลงมือทำร้ายข้ารับใช้ในจวนข้าจนบาดเจ็บอีก ไหนเล่ากฎสวรรค์ ไหนเล่ากฎหมายบ้านเมือง”
หญิงผู้นั้นร่ำไห้เสียงดัง
หัวหน้ามือปราบหันไปมองอาจารย์หลี่ และหมอที่ยังไม่จากไปทันที
“เรื่องเป็นแบบนี้ก็จริง แต่ว่า ความเย่อหยิ่งของตระกูลเจ้าก็มากเกินไปเสียหน่อย” อาจารย์หลี่ให้คำตอบที่ตรงประเด็น
หมอพูดอีก “เด็กนั่นต้องนอนบนเตียงเป็นเวลาหลายวันเพื่อให้ฟื้นตัว”
หัวหน้าพยักหน้าเบาๆ การหยิ่งผยองเป็นเรื่องปกติ หากบุตรบ้านใดถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ต่างก็ต้องโมโหกันทั้งนั้น
“จับตัวไป!” หัวหน้าเอ่ยเสียงขรึม
เสี่ยวโต้วติงเห็นคนไม่ดีจะพาพี่ใหญ่ของตนเองไป ก็ตะโกนอย่างโกรธเคือง “เขาแย่งของกินข้าก่อน ถุย ถุย ถุย…”
นางหันไปถ่มน้ำลายใส่หัวหน้ามือปราบ เพื่อไม่ให้พวกเขาพาพี่ใหญ่ไป
“เขาแย่งกำไลของข้าไปด้วย” สวี่หลิงอินเอ่ยเสียงดังลั่น
“ว่าไงนะ!”
อาสะใภ้ทั้งตกใจทั้งโกรธ ที่แท้ผู้ร้ายที่ขโมยกำไลเป็นเด็กเหลือขอจากตระกูลนี้เองหรือ ยิ่งคิดว่าวันนี้หลินอินถูกแย่งของกิน แถมยังถูกกำปั้นทุบตีอีก อาสะใภ้ก็ตาแดงก่ำ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ข่มเหงกันเหลือเกิน ข่มเหงกันเหลือเกิน”
หือ?
สวี่ชีอันตกตะลึง หันไปถาม “กำไลก็ถูกเจ้าเด็กอ้วนขโมยไปหรือ”
สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างแรง “ใช่เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
หากการเบาะแว้งครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องขัดแย้งกันระหว่างเด็กๆ เขาคงไม่เข้าไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อยเป็นแน่ แค่จ่ายค่าหยูกยารักษาให้เจ๊ากันไปก็พอ นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เปิดเผยตัวตน และรังแกผู้อื่น
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าเด็กอ้วนนั่นไม่ได้รังแกหลิงอินเป็นครั้งแรก พอเห็นว่ารังแกเสี่ยวโต้วติงได้ จึงจงใจระบายอารมณ์ใส่นาง
เพียงแต่ครั้งนี้ล้ำเส้นเกินไป ดันไปแตะเกล็ดมังกร[1]ของเสี่ยวโต้วติงเข้า จึงถูกเอาคืน
นี่มันคือกลั่นแกล้ง ไม่สามารถทนเฉยได้
“ที่แท้ก็เป็นฝีมือลูกพวกเจ้านี่เอง ครั้งก่อนรังแกน้องสาวข้า แย่งกำไลอันล้ำค่าของนางไป ครั้งนี้เห็นของกินราคาแพงของนางก็มายื้อแย่ง ซ้ำยังทุบตีน้องสาวของข้าอีก” สวี่ชีอันยกมุมปาก
“แล้วตอนนี้พวกเจ้าวางอำนาจรังแกผู้อื่น กักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ในสำนักศึกษาและรีดไถเงินข้าถึงห้าร้อยตำลึง”
“กำไลอะไร” ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “พูดจาไม่มีมูล”
ภรรยาที่ยืนอยู่ข้างกายดวงตาวาววับ ราวกับเพิ่งนึกอะไรได้
สวี่ชีอันหันไปมองหัวหน้ามือปราบแล้วเอ่ย “ใต้เท้า เรื่องเป็นเช่นนี้ เด็กแสบตระกูลเจ้ากลั่นแกล้งน้องสาวข้าอยู่หลายครั้งหลายครา เคยแย่งกำไลหยกของนางไป ครั้งนี้ยังแย่งของกินของนางไปอีก น้องสาวข้าคงเหลืออด ถึงได้ลงไม้ลงมือ”
“กำไลนั้นราคาไม่ใช่น้อยๆ คนที่ท่านควรจับไม่ใช่ข้าแต่ควรเป็นพวกเขา ได้โปรดใต้เท้าช่วยนำของที่หายไปกลับคืนมาด้วยเถอะขอรับ”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงดัง “กำไลอะไร โกหกพกลม บุตรชายของข้ามีการศึกษา เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านพี่ พวกมันทำร้ายบุตรของเราไม่พอ ยังใส่ร้ายกันอีกนะเจ้าคะ”
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าถมึงทึง เอ่ยพลางคารวะ “ใต้เท้า โปรดจับกุมชายผู้นี้เสีย ข้าจะไปขอความเป็นธรรมจากท่านลุง”
ประโยคสุดท้ายมีผลอย่างมาก หัวหน้ากองปราบฟังแล้วก็หมดสิ้นความลังเล ตะโกนออกคำสั่งออกไปทันใด “จับตัวไป นำตัวไปยังที่ทำการปกครอง”
สิ้นเสียงประกาศิต สายตาพลันเห็นชายหนุ่มตรงหน้า ล้วงวัตถุสีเหลืองส้มออกมาจากอกเสื้อ โยนออกไปมั่วๆ
หัวหน้ามือปราบคิดจะหลบโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นรูปร่างลักษณะของตราประทับที่ลอยคว้างกลางอากาศ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ทันทีที่เอื้อมมือไปคว้าไว้ สองเข่าทรุดลงดัง ‘ปัง’
สองมือกุมตราประทับสีทองไว้ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ใต้ ใต้เท้า…”
ตัวเป็นถึงหัวหน้ามือปราบ มักจะช่วยเหลือหัวหน้าใหญ่ในคดีสำคัญบางคดี ตราประทับของวังหลวง เขาเคยเห็นไม่กี่ครั้ง
นี่มันเรื่องอะไรกัน
สีหน้าคู่สามีภรรยาตระกูลเจ้าเปลี่ยนไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง