บทที่ 242 ศพหญิงสาว
สวี่ชีอันไม่ได้รอคำตอบจากเว่ยเยวียน แต่รอพวกฆ้องทองคำมาถึงก่อน ร่างที่เปี่ยมด้วยพลังปราณแข็งแกร่งปรากฏขึ้นที่ชั้นเจ็ดทีละคนสองคน ซึ่งสองคนในจำนวนนั้นเป็นคนที่คุ้นหน้าค่าตากันอยู่แล้วด้วย
หนานกงเชี่ยนโหรวและจางไคไท่
“เว่ยกง ไม่เป็นอะไรนะขอรับ”
ฆ้องทองคำรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มือถือค้อนสีม่วงทอง ตาโตดุจระฆังทองแดงมองไปรอบๆ ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่ง
“ข้าน้อยและคนอื่นๆ บกพร่องในหน้าที่ จนไม่พบการรุกรานจากศัตรูภายนอก เว่ยกงโปรดอภัยด้วย”
จางไคไท่พูดพลางแผ่พลังจิต เพื่อตรวจหาอันตรายและศัตรูที่อาจยังคงอยู่
ไม่นาน บรรดาฆ้องทองคำผู้มากประสบการณ์ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ประการแรก ด้วยพื้นฐานจากการฝึกในระดับหลอมวิญญาณ หากบริเวณโดยรอบเกิดวิกฤติขึ้น จิตสัมผัสต้องส่งสัญญาณกลับมา แต่นี่ไม่มีเลย หอเฮ่าชี่กลับมาอยู่ในความสงบ เหลือเพียงเหล่าเจ้าพนักงานในอาคารที่ยังตกอยู่ในความหวาดหวั่น
ประการที่สอง หากศัตรูที่แข็งแกร่งรุกราน แล้วยังสามารถปิดบังการรับรู้ของพวกเขาได้ ป่านนี้เว่ยกงคงไม่อยู่รอดปลอดภัยเช่นนี้แน่นอน
เว้นแต่ว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างจะเป็นความจริง ที่ว่าข้างกายเว่ยกงมียอดฝีมือในเงามืดคอยพิทักษ์อยู่รอบกาย
ข้อสันนิษฐานนี้เกิดขึ้นในใจของฆ้องทองคำจำนวนมาก แต่ไม่มีใครนึกถึงสวี่ชีอันเลย เหตุผลช่างง่ายดาย เพราะดในสายตาของฆ้องทองคำทุกคนมองว่าจิตเดิมของเขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น แต่เสียงคำรามเรียบๆ แต่ทรงพลังเมื่อครู่นั้นช่างน่าตะลึงจริงๆ
คนที่เพิ่งก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณไม่มีทางเปล่งออกมาได้อย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเอง พวกเขาได้ยินหนานกงเชี่ยนโหรวถามสวี่ชีอันว่า “เมื่อครู่เจ้าเป็นคนก่อกวนใช่หรือไม่”
หนานกงเชี่ยนโหรวรู้ว่าสวี่ชีอันไม่ใช่ระดับหลอมวิญญาณธรรมดา
ก่อกวนอะไร ข้าไม่ใช่หนิงไฉ่เฉินเสียหน่อย… สวี่ชีอันมองไปที่เว่ยเยวียน เห็นเขาพยักหน้า จึงยอมรับอย่างผ่าเผย “ข้าเอง เมื่อครู่เว่ยกงต้องการทดสอบความแข็งแกร่งจิตเดิมของข้า ข้าจึงลองคำรามเล่นๆ”
ในห้องน้ำชา ตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วครู่
บรรดาฆ้องทองคำมองเขาเงียบๆ ใบหน้าปราศจากความรู้สึก
ผ่านไปเป็นเวลานาน จางไคไท่จึงพูดหยั่งเชิงว่า “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าเลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณที่อวิ๋นโจวสินะ”
ตั้งแต่ตอนที่จดหมายลับของเจียงลวี่จงส่งกลับมายังเมืองหลวง พวกเขาก็รู้แล้วว่าสวี่ชีอันได้เลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณ ตอนนั้นที่เว่ยกงพูดถึงเรื่องนี้เขาอารมณ์ดีมาก
แต่ถึงกระนั้น เขาก็เลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณได้เพียงครึ่งเดือนกว่า ความเคลื่อนไหวของจิตเดิมที่รุนแรงและบริสุทธิ์เช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ทหารระดับหลอมวิญญาณพึงมี
ความสามารถระดับนี้ ช่างน่าทึ่งจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของบรรดาฆ้องทองคำที่มองสวี่ชีอันก็เหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์วัตถุประหลาด
“จู่ๆ ข้าก็เข้าใจเจียงลวี่จงและหยางเยี่ยนขึ้นมาทันที ว่าทำไมจะต้องตีกันนัวเพื่อเขา” ฆ้องทองคนหนึ่งพึมพำออกมา ในที่สุดก็ถึงบางอ้อ!
สายตาของฆ้องทองคำลุกเป็นไฟยิ่งกว่าเดิม
“พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิด…” สวี่ชีอันโบกมือไปมา “ข้าเพิ่งได้เลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนตายเท่านั้น”
เรื่องนี้…บรรดาฆ้องทองคำสำรวจเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า “เว่ยกง…”
เว่ยเยวียนส่ายหัว “สวี่ชีอันยังคงอยู่ใต้บังคับบัญชาของหยางเยี่ยน พวกเจ้าอยากได้ตัวเขา ต้องไปคุยกับหยางเยี่ยนเอาเอง”
“ตกลงตามนี้”
นอกจากหนานกงเฉียนโหรวแล้ว ฆ้องทองคำทั้งหกพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
ข้าจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของใครก็ไม่สำคัญ แต่ว่ามันไม่ยุติธรรมกับฆ้องทองคำหยางเกินไปหรือไม่…. สวี่ชีอันอธิษฐานว่าหยางเยี่ยนจะกลับเมืองหลวงช้าหน่อย อย่างน้อยก็รอจนกว่าเรื่องร้อนจะผ่านไปก่อน ลองคิดดูหากฆ้องทองคำหยางผู้ปราบปรามกบฏอยู่ข้างนอก เดินทางไกลแสนไกลกลับเมืองหลวง สิ่งที่ต้อนรับเขาไม่ใช่เสียงไชโยโห่ร้อง แต่กลับเป็นหมัดของเพื่อนร่วมงาน และได้รู้ว่าเบื้องหลังเรื่องราวนี้คือการแทงข้างหลังของเจียงลวี่จง
จางไคไท่เดินไปที่ห้องสังเกตการณ์ มองออกไปด้านนอก แล้วพูดอย่างจนใจว่า “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและองครักษ์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่าง”
เว่ยเยวียนกล่าวว่า “แยกย้ายเถอะ เรื่องนี้รู้กันแค่พวกเจ้าก็พอ อย่าแพร่งพรายออกไป”
“ขอรับ!”
…
รอจนกระทั่งองครักษ์และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลด้านนอกสลายตัวแล้ว สวี่ชีอันก็ดื่มชาอย่างช้าๆ จากนั้นจึงขอตัวไปจากหอเฮ่าชี่ กลับไปที่ห้องชุนเฟิง
อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยกำลังนั่งรอที่โต๊ะ ส่วนสวี่หลิงอินนอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของแม่และผล็อยหลับไป
“พี่ใหญ่ ท่านไปไหนมา” สวี่หลิงเยวี่ยเดินเข้ามาหา คิ้วขมวด ในใจยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย
“เหตุใดเมื่อครู่จึงมีเสียงฟ้าร้องได้เจ้าคะ ท่านแม่และหลิงอินตกใจกันยกใหญ่เลย”
สวี่หลิงเยวี่ยเป็นน้องสาวที่มีความคิดแยบคาย และเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เมื่อครู่นางเองก็ตกใจจนหน้าซีด แต่อยู่ต่อหน้าพี่ชายคนโต นางต้องรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบไว้ จึงใช้น้องสาวและแม่เป็นข้ออ้างอย่างชาญฉลาด
“ฟ้าร้องในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เป็นเรื่องธรรมดา” สวี่ชีอันหยิบตั๋วเงินใบละหนึ่งร้อยตำลึงออกมาจากหน้าอก แล้วพูดว่า “เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว นี่เป็นค่าชดใช้ที่สกุลจ้าวให้มา เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องสนใจแล้ว”
อาสะใภ้มองตั๋วเงิน ไม่อยากเชื่อสายตา “ให้ข้าหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างแรง “อาสะใภ้จัดการทุกอย่างเพื่อครอบครัวอย่างยากลำบาก นี่เป็นสิ่งที่ท่านควรจะได้รับ เสียดายที่มีเพียงแค่หนึ่งร้อยตำลึง เพราะที่พึ่งเบื้องหลังของเขาก็ไม่ธรรมดาเลย”
อาสะใภ้รับตั๋วเงินมา มองหน้าเขา รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “หนิงเยี่ยนเอ๋ย ความจริงอาก็แค่ชอบบ่นไปเรื่อยก็เท่านั้น คำพูดบางคำที่ไม่น่าฟัง เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
“ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น” สวี่ชีอันพูดอย่างจริงใจ
“อ้อ จริงสิ คืนนี้ข้ามีธุระ ไม่กลับบ้านนะ”
“มีธุระหรือ” อาสะใภ้เก็บตั๋วเงินแล้วเอ่ยถาม “ตั้งแต่เจ้ากลับมาจากอวิ๋นโจว ก็ไม่ได้พักผ่อนที่บ้านเลยสักวัน มีธุระอะไรรึ”
สวี่ชีอันพูดว่า “เจรจาการค้าขนาดใหญ่ ลงทุนกับภูเขาสองลูก พัฒนาหุบเขา ลงทุนทองคำจำนวนนับไม่ถ้วน”
“พี่ใหญ่พูดจาเพ้อเจ้อ เมื่อคืนท่านไม่ได้กลับจวน คืนนี้คงไม่เลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานอีกนะ” สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตามสัญชาตญาณของผู้หญิง นางถามว่า “ท่านพ่อบอกว่าพี่ใหญ่ชอบไปสำนักสังคีต”
“ไป ไป ไป” อาสะใภ้ตวาดนาง “พี่ใหญ่ไม่ใช่คนแบบนั้น เอ้อร์หลางโน่นชอบสำมะเลเทเมา พี่ใหญ่ของเจ้าไม่เถลไถลหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นพี่ใหญ่สาบานกับข้าก่อน ว่าไม่เคยไปสำนักสังคีต” สวี่หลิงเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยแววดื้อรั้น
ไม่ใช่แล้ว เจ้าเป็นน้องสาว มีสิทธิ์อะไรมาคาดคั้นกับข้า… สีหน้าของสวี่ชีอันเคร่งขรึม กล่าวสาบานว่า
“ข้าสวี่ชีอัน ไม่เคยใช้เงินที่สำนักสังคีตเลย”
สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกาย
“หลิงเยวี่ย กลับถึงบ้านแล้วเจ้าก็ถามเอ้อร์หลางแบบนี้ได้เช่นกัน” สวี่ชีอันรู้สึกไม่เท่าเทียม จึงพูดยุยงว่า “ข้าเชื่อว่าเอ้อร์หลางก็เหมือนข้า เป็นสุภาพบุรุษเปิดเผยเช่นกัน”
“แน่นอนว่าเอ้อร์หลางไม่มีวันไปที่สำนักสังคีตอย่างแน่นอน” อาสะใภ้มั่นใจอย่างยิ่ง ในใจคิดว่า รอสวี่ผิงจื้อกลับบ้านคืนนี้เสียก่อน ตนจะถามแบบนี้เช่นกัน ดูซิว่าเขาจะกล้าสาบานหรือไม่
หลังจากส่งอาสะใภ้และน้องสาวกลับไปแล้ว สวี่ชีอันก็วางแผนกลับไปเอาตราประทับทองคำคืนจากสำนักชิงอวิ๋น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนนำมันมาคืนแล้ว
“ใต้เท้าสวี่ ผู้บัญชาการมือปราบหลี่ว์ชิงแห่งที่ว่าการเมืองมาขอพบขอรับ” เจ้าพนักงานของห้องชุนเฟิงเข้ามารายงาน
“เชิญนางไปที่ห้อง” สวี่ชีอันหันหลังกลับแล้วเข้าไปในห้องทำงานของศิษย์พี่ชุนอีกครั้ง
ต่อมาไม่นาน หลังจากนั่งอยู่ที่หลังโต๊ะเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ ราวกับกำลังไล่ตามอะไรบางอย่าง ต่อจากนั้น มือปราบหญิงท่าทางกระฉับกระเฉงก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง
ทันทีที่เห็นสวี่ชีอัน หลี่ว์ชิงซึ่งมีใบหน้างดงามฉายแววประหลาดใจระคนตื่นเต้น ก็ตกตะลึงทันที จ้องมองเขาด้วยความกังขา
สวี่ชีอันก็พินิจพิเคราะห์สหายที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน ดวงตาของนางสดใส ผิวคล้ำเล็กน้อย จมูกโด่ง ตาโต ปากน้อยๆ แดงเปล่งปลั่ง ดูเหมือนการบำเพ็ญจะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง
ความน่าเกรงขามในตัวก็มีมากกว่าเมื่อก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง