ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 245

สรุปบท บทที่ 245 กระบี่แห่งใจ (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 245 กระบี่แห่งใจ (1) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 245 กระบี่แห่งใจ (1) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 245 กระบี่แห่งใจ (1)

“ขันทีน้อย เจ้าช่วยไปตรวจสอบนางข้าหลวงนามว่า ‘เหอเอ๋อร์’ ให้ข้าหน่อย”

สวี่ชีอันวางสมุดลง หันหน้าไปสั่งขันทีน้อยที่จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งมาคุมตน

ขันทีน้อยออกไปตามคำสั่ง

หลังจากที่อีกฝ่ายออกไป สวี่ชีอันก็พลิกอ่านสมุดใหม่อีกครั้งทีละหน้าๆ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านอย่างจริงจัง

ข้าทนกับสมุดบัญชีของยุคโบราณไม่ไหวจริงๆ…ตัวอักษรก็เล็ก จำนวนขีดก็เยอะ อ่านจนปวดตาไปหมดแล้ว…สวี่ชีอันใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงจึงจะอ่านบันทึกการรับยาจ่ายยาของทั้งปีจบอย่างละเอียด

เขาปิดสมุดและมองขันทีอาวุโสผู้ดูแล แล้วเอ่ย “สุขาอยู่ที่ใด”

ขันทีอาวุโสตอบ “ลานด้านหลัง”

สวี่ชีอันไปสุขาในทันที ทว่าไม่ได้ควัก ‘ของลับ’ ของเขาออกมา แต่หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา หาหนังสือเวทมนตร์ฉบับขงจื๊อที่เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มอบให้เขา

ฉีกวิชามองปราณออกหนึ่งหน้า แล้วจุดไฟเผา

แสงประกายทั้งสองพุ่งออกมาจากในดวงตา จากนั้นก็จางหายไปอย่างช้าๆ

หลังจากขจัดวิชามองปราณให้ตนเองแล้ว สวี่ชีอันก็กลับไปที่โถงด้านข้าง ถามขันทีอาวุโสด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ข้าพบว่าสมุดบัญชีมีปัญหา กงกงต้องให้คำอธิบายกับข้า”

“ใต้เท้าเชิญกล่าว” ขันทีอาวุโสเอ่ยอย่างใจเย็น

“หยวนจิ่งปี 32 น่าจะมียาเม็ดเข้าคลังทุกวันใช่ไหม”

“เรื่องนี้…เวลาล่วงเลยมาสี่ปีแล้ว ข้าก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก” ขันทีอาวุโสรู้สึกว่าแววตาของฆ้องทองแดงผู้นี้นิ่งสงบลุ่มลึกราวกับน้ำวนที่หลบซ่อนอยู่ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก

ไม่ได้โกหก…สวี่ชีอันถามต่อ “ยามที่ตรวจสมุด ข้าพบว่าบันทึกการรับยาจ่ายยาของวันที่ 10 เดือนสองกับวันที่ 20 เดือนสองในปีนั้นว่างเปล่า ในหลายวันนี้ไม่มียาเม็ดส่งมาเลยหรือ”

ขันทีอาวุโสยังคงส่ายหน้าด้วยใบหน้าขมขื่น “เรียนใต้เท้า เรื่องนี้ข้าก็ลืมแล้วเช่นกัน”

ยังคงไม่โกหก ขันทีอาวุโสคนหนึ่งไม่น่ามีอาวุธเวทมนตร์ที่กำบังโชคชะตาได้…อายุมากแล้วก็ไร้ประโยชน์ ขี้หลงขี้ลืม…สวี่ชีอันคืนสมุดให้ขันทีอาวุโส แล้วพูดกำชับ

“นำบันทึกเข้าออกห้องโอสถหลวงของในห้าวันนี้มาให้ข้า ข้าจะจัดคนไปช่วย”

ที่บอกว่าช่วยก็คือคอยกำกับขันทีอาวุโสนั่นเอง คนที่ถูกเลือกสวี่ชีอันก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือขันทีน้อยที่จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งมาคุมเขานั่นเอง

ขันทีน้อยผู้นี้เป็นหูเป็นตาให้จักรพรรดิหยวนจิ่ง ความคืบหน้าทุกย่างก้าวของเขาล้วนบังคมทูลรายงานจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างละเอียด

หลินอันเข้าไปใกล้ข้างหูสวี่ชีอันและกระซิบ “เจ้าสงสัยว่ามีคนฉีกทำลายสมุดงั้นหรือ”

“ยามที่ขันทีอาวุโสหาสมุด บนปกมีฝุ่นจับอย่างเห็นได้ชัด มีลายนิ้วมืออยู่ด้านบนหลายรอย รอยประทับเป็นของใหม่ ข้ากล้าฟังธงว่าไม่เกินห้าวัน”

สุดยอด!

องค์หญิงรองกล่าวชมเชยในใจ นับวันยิ่งเชื่อใจสวี่ชีอันมากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วขันทีน้อยก็รีบมารายงาน สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก พูดจาอึกอัก

“ท่านออกไปก่อนเถิด” สวี่ชีอันสั่งให้ขันทีอาวุโสที่ดูแลห้องโอสถหลวงออกไป

ขันทีน้อยยังคงไม่ปริปาก ชำเลืองมองหลินอันอย่างระแวดระวัง

“ข้าก็ฟังไม่ได้หรือ” หลินอันเดือดดาล คิ้วเลิกขึ้นทันที

แม้ยายตัวร้ายจะไม่ค่อยฉลาดนัก โรคเจ้าหญิง[1]ที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจไม่หายไปสักนิด จะดีก็แต่ลำเอียงเข้าข้างข้าเท่านั้น…สวี่ชีอันขมวดคิ้วเอ่ย “พูดมาเถอะ”

ขันทีน้อยกลืนน้ำลาย เตรียมใจอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เหอเอ๋อร์เป็นคนของตำหนักฮองเฮาขอรับ”

ภายในโถงด้านข้างตกอยู่ในความเงียบสงัดในบัดดล

เหอเอ๋อร์คนของตำหนักฮองเฮา มิน่าเมื่อฮว๋ายชิ่งได้ยินชื่อของเหอเอ๋อร์ อารมณ์ก็ไม่ปกตินัก…กล่าวอีกนัยหนึ่งคือคนที่ช่วยชีวิตหวงเสี่ยวโหรวในตอนต้นก็คือฮองเฮา…ถ้าพูดกลับกันหวงเสี่ยวโหรวก็ติดหนี้บุญคุณฮองเฮามหาศาล

ซึ่งบทบาทที่นางได้รับในคดีนี้คือวางแผนสังหารพระสนมฝูและเป็นกองนำในการใส่ร้ายองค์รัชทายาท…ฮองเฮามีปัญหาแล้ว

“ฮืดฮาด…”

ในระหว่างที่ความคิดผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาก็ได้ยินเสียงหายใจหอบหนักของหลินอันข้างกาย

แย่ล่ะ…

“ข้าจะไปเข้าพบเสด็จพ่อ”

หลินอันกัดฟันกรอดทิ้งท้ายประโยค ก่อนจะพลันลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

สวี่ชีอันรีบดึงมือนางเอาไว้ แล้วพูดปลอบขวัญ “องค์หญิง ตัดสินตอนนี้ยังเร็วเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ เหอเอ๋อร์เป็นคนของฮองเฮา หวงเสี่ยวโหรวติดหนี้บุญคุณฮองเฮาเป็นล้นพ้น ฮองเฮาคิดจะสังหารเสด็จพี่องค์รัชทายาทของข้ามาโดยตลอด เพื่อให้โอรสของนางสืบทอดตำแหน่งองค์รัชทายาท แรงจูงใจก็มากพอแล้วมิใช่หรือ” หลินอันหันหน้ามาถลึงตาจ้องมอง

“ที่เจ้าขวางข้าในตอนนี้ เพราะในใจยังมีฮว๋ายชิ่งใช่หรือไม่”

นางหมายถึงเรื่อง ‘เปลี่ยนสังกัด’ อย่างไรเสียนางก็แย่งชิงสวี่ชีอันมาจากฮว๋ายชิ่ง

อะไรวะเนี่ย คำพูดเจ้านี้ฟังดูเหมือนข้ากินฮว๋ายชิ่งเสร็จก็มากินเจ้าต่ออย่างไรอย่างนั้น หากไปถึงหูของจักรพรรดิหยวนจิ่งเข้า คงมีรับสั่งให้บั่นคอข้าแน่นอน…สวี่ชีอันชำเลืองมองขันทีน้อยแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม

“เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงฮองเฮา เพิ่งจะตรวจพบนางข้าหลวงเพียงคนเดียว เจ้าก็เอะอะโวยวายจะยัดข้อกล่าวหาสังหารพระสนมฝูและทำร้ายองค์รัชทายาทไปให้ฮองเฮาเสียแล้ว หากภายหลังพบว่าฮองเฮาถูกใส่ความล่ะ”

ยายตัวร้ายแผดเสียง “ข้าไม่สนๆ องค์รัชทายาทเป็นพี่ชายของข้า”

“องค์หญิง! ” สวี่ชีอันจ้องนางตาเขม็ง เพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น

“…ฮึ! ” หลินอันข่มอารมณ์ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เช่นนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าจะทำอย่างไร”

คนที่คุ้นเคยกับนิสัยของนางดีไม่อยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นคงต้องประหลาดใจที่เห็นองค์หญิงรองผู้ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ยามอยู่ต่อหน้าฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยกลับน่ารักน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้

“ตรวจสอบต่อไป องค์หญิงคอยสังเกตความคืบหน้าอย่างเงียบๆ ก็พอ”

หลินอันส่งเสียง ‘ฮึ’ อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับข้อสรุปนี้ ทว่าก็ไม่ได้ทำท่าปั้นปึงอีก

สวี่ชีอันหันหน้าไปพูดกับขันทีน้อย “ผลลัพธ์ของวันนี้ กงกงน้อยจะต้องกราบทูลฝ่าบาทอย่างละเอียด แต่จำไว้ว่าพูดสั้นๆ ง่ายๆ เล่าแค่เรื่องคดีไม่ต้องบอกอย่างอื่น”

ความสัมพันธ์ของข้ากับหลินอันก็หวังว่าเจ้าจะตัดไปออกได้…สวี่ชีอันพูดในใจ

ขันทีน้อยนึกถึงคำเตือนของพ่อบุญธรรมในวันนั้น ในใจพลันตื้นตันหาใดเปรียบ ใต้เท้าสวี่แม้นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เนื้อแท้ช่างใจงาม ยังรู้จักเป็นกังวลแทนคนต่ำต้อยเช่นข้าด้วย

“ใต้เท้าสวี่โปรดวางใจ ข้าจะพูดแค่คดี จะไม่ปากมากขอรับ” ขันทีน้อยพูดเสียงดัง

ขันทีน้อยผู้นี้รู้งานดีแฮะ…สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเอ่ย “อีกประเดี๋ยวเจ้าไปพบขันทีผู้ดูแลห้องโอสถหลวง เอารายชื่อมาจากเขา รายชื่อการเข้าออกห้องโอสถหลวงของในห้าวันนี้ จากนั้นเจ้าก็แอบไปให้ทหารยามตรวจสอบ”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ยื่นมือส่งเป็นสัญญาณ “ใต้เท้าสวี่เชิญทาน”

“ราชครูเชิญทาน”

ทั้งสองนั่งลง ตักข้าว แล้วกินของใครของมัน

สวี่ชีอันไม่แน่ใจจุดประสงค์ของราชครูคนงาม จึงพิจารณาอย่างเงียบๆ ชำเลืองมองนางตอนกินข้าวบ้างเป็นครั้งครา ชมความงามให้เบิกบานใจ

สตรีนางนี้มองปราดเดียวก็เหมือนหญิงสาววัย 20 ที่ผิวขาวละมุน มองดูดีๆ ก็คิดว่าเป็นหญิงมีน้ำมีนวลวัย 30

ทว่ามองไปนานๆ ตายละหว่า นี่มันสาวใหญ่ผู้งามเลิศวัย 40 ต้นๆ ชัดๆ รูปร่างอันอวบอัด ความสง่างามที่มิอาจซุกซ่อนบนใบหน้าได้ เป็นนักฆ่าบุรุษขนานแท้ทีเดียว

สวี่ชีอันหวนย้อนถึงความรู้สึกยามที่พบนางครั้งแรกอีกครั้ง…เพื่อนแม่ คุณน้าผู้ใจดี หรืออาจารย์สาวสอนภาษาอังกฤษ เป็นต้น

ที่สตรีนางนี้ฝึกคือวิชาเต๋าหรือว่าวิชาปีศาจกันแน่ สวี่ชีอันแอบขมวดคิ้ว

ภาพหลอนต่างๆ ที่ปรากฏข้างต้น สาเหตุไม่ได้มาจากเขาแน่นอน จะต้องเป็นปัญหาของวิถีบำเพ็ญพรตของนิกายมนุษย์แน่ นี่เป็นสิ่งที่นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยยืนยันแล้ว

สวรรค์ ปฐพี มนุษย์ สามนิกายไม่มีอย่างใดปกติ นิกายปฐพีต้องแบกรับบุญกุศล กลายเป็นมารได้ทุกเมื่อ นิกายมนุษย์สถานการณ์เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ทว่าก็มีผลข้างเคียงสืบเนื่องเช่นกัน

ส่วนนิกายสวรรค์ ทางที่พวกเขาเดิน ก็ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด

สวรรค์ไร้ปรานี จึงจะอยู่ยังยืนยงชั่วนิจนิรันดรได้ มนุษย์ไร้เมตตา ต่างอะไรกับสิ่งที่ตายแล้วล่ะ

ตามความเข้าใจของสวี่ชีอัน สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่งจึงเป็นกฎการเวียนว่ายตายเกิด

“ได้ยินนักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวว่าคุณชายสวี่เคยทานยาคืนชีพที่อวิ๋นโจวมาก่อนหรือ” ลั่วอวี้เหิงเปิดปากพูด

นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกเรื่องนี้กับเจ้าทำไม…สวี่ชีอันชะงัก “ขอรับ”

“ข้าอยากใช้เลือดบริสุทธิ์ของใต้เท้าสวี่มาทำยาตัวนำเพื่อหลอมเป็นยาเม็ด บรรเทาโรคเรื้อรังของร่างกาย”

โรคเรื้อรังแบบใดถึงต้องการเลือดบริสุทธิ์ของข้าไปทำยาตัวนำ สวี่ชีอันชำเลืองมองนาง ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่ในใจกำลังเรียบเรียงถ้อยคำว่าจะปฏิเสธนางอย่างไรดี

สิ่งที่เรียกว่าเลือดนี้ ในชาติก่อนเขาทำได้เพียงตรวจกรุปเลือด ทว่าในโลกนี้สามารถใช้งานได้มากมาย

สิ่งที่ประทับใจถึงที่สุดคือวิชาสาปสังหารของสำนักพ่อมด

ลั่วอวี้เหิงราวกับเดาปฏิกิริยาของเขาได้อยู่ก่อนแล้ว จึงใช้ตะเกียบคีบข้าวและส่งเข้าปากเล็กแดงเอิบอิ่ม แล้วพูดเสริมอย่างใจเย็น “นี่เป็นข้อเสนอของนักบวชเต๋าจินเหลียน”

สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าต้องขอยืนยันเสียหน่อย”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า

สวี่ชีอันหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาต่อหน้านาง ขณะที่คิดจะส่งข้อความถาม แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเป็นคนตาย มิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้

………………………………………

[1] โรคเจ้าหญิง หมายถึง คนที่ชอบยึดความคิดของตนเป็นศูนย์กลาง เอาแต่ใจ ชอบออกคำสั่ง ชอบเรียกร้องความสนใจ โดยเฉพาะจากแฟน ซึ่งโรคนี้จะเป็นกันในหมู่วัยรุ่นเสียส่วนใหญ่

[2] ต้นยามอู่ นักเขียนระบุว่าเป็นเวลา 11.00 น.

[3] 道 อ่านว่า เต้า ซึ่งคนไทยจะคุ้นเคยกับคำว่า ‘เต๋า’

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง