บทที่ 248 ระดมสมอง (1)
ต้นยามเฉิน ประตูข้างของประตูอู่เหมินเปิดออกช้าๆ ขันทีชราเดินมาจนถึงหน้าประตูแล้วเอ่ยเสียงดัง “เข้าประชุม!”
เสียงจอแจหยุดลงทันที ขันทีบุ๋นบู๊ทั้งหลายเข้าไปในประตูข้างอย่างเป็นระเบียบ ขุนนางบุ๋นอยู่ทางซ้าย ขุนนางบู๊อยู่ทางขวา แบ่งกันชัดเจน
หลังจากเข้าประตูอู่เหมินมา ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปก็เข้าไปในตำหนัก และระดับสี่ลงมาจะอยู่ที่หน้าประตู ส่วนระดับหกลงมาอยู่บนลานกว้าง
กลุ่มขุนนางเข้ามาในห้องโถงใหญ่ รออยู่สักพัก จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เพิ่งจะมาถึง
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่จักรพรรดิผู้ครองแคว้น และพยายามหาเบาะแสจากแววตาและสีหน้าของเขา
ทุกคนล้วนล้มเหลว จักรพรรดิหยวนจิ่งครองบัลลังก์มาสามสิบเจ็ดปี จิตใจยากลึกหยั่งถึง มีประสบการณ์เปี่ยมล้น ในที่นี้มีคนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่สามารถต่อกรกับเขาได้
คนพวกนั้นก็คือเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวัง
การประชุมครั้งนี้ แรกเริ่มไม่ได้แตกต่างอะไรกับครั้งก่อนๆ เป็นการพบปะระหว่างจักรพรรดิและขุนนางตามปกติ
“ฝ่าบาท ฉู่โจวมีคนหนาวตายเพราะอยู่ในช่วงกลางเดือนหนาวเกือบหมื่นคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทางสมุหเทศาภิบาลได้บรรเทาทุกข์ชาวเมืองผู้ประสบภัย จึงได้ส่งรายงานเรื่องเงินและเสบียงไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงโปรดเกล้าฯ จัดสรรเงินจากกรมการคลังด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
“คลังหลวงว่างเปล่า เรื่องภัยพิบัตินี้ก็ไปเรี่ยไรมาจากเศรษฐีที่นั่นเถอะ…” จักรพรรดิหยวนจิ่งตอบกลับ
“ฝ่าบาท ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือรุกรานชายแดนไม่หยุดหย่อน หลังจากเริ่มฤดูใบไม้ผลิ ความขัดแย้งที่ชายแดนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นต้องป้องกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท อ๋องสยบแดนเหนือเพิกเฉยต่อเผ่าป่าเถื่อนที่ปล้นสะดมอยู่ที่ชายแดน ปกป้องเมืองชายแดนโดยไม่ส่งทหารแม้แต่คนเดียว ทำให้ชาวบ้านแถบชายแดนสูญหายและบาดเจ็บล้มตายไปมาก ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วย”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็มองไปที่เว่ยเยวียนแล้วเอ่ยด้วยเสียงไม่ยินดียินร้าย “ขุนนางเว่ย ชนเผ่าป่าเถื่อนที่ทางเหนือมันเรื่องอะไรกันหรือ”
เว่ยเยวียนขมวดคิ้วเอ่ย “ปลายปีก่อน ทางเหนือมีหิมะตกหนักอยู่หลายเดือน ผู้คนมากมายหนาวตาย ตอนนั้นกระหม่อมก็เดาได้แล้วว่าชนเผ่าป่าเถื่อนจะลงใต้มาเพื่อปล้นสะดม”
จักรพรรดิหยวนจิ่งคลับคล้ายจะจำได้ว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่ จึงเอ่ยพลางคิ้วขมวด “จากนั้นล่ะ ชนเผ่าป่าเถื่อนลงใต้รุกเข้ามายังด่านชายแดน แล้วเหตุใดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่ได้รับข่าวล่วงหน้า”
“กระหม่อมประมาทแล้ว” เว่ยเยวียนกล่าว
จริงๆ เป็นเพราะเขาย้ายสายลับทางเหนือไปตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือลงใต้มารุกราน เว่ยเยวียนมีความผิดที่ขาดการตรวจสอบ ขับออกจากตำแหน่งฝ่ายตรวจการฝ่ายซ้าย หักเงินเดือนหนึ่งปี”
ในห้องโถงเงียบงันลง สมองของบรรดาขุนนางมีแต่เครื่องหมายคำถามแน่นขนัด
แม้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะมีหน้าที่ในการสอดแนมข่าวกรอง แต่ก็เป็นแค่หน้าที่เสริมเท่านั้น อีกอย่าง ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือลงใต้เข้ามารุกราน อ๋องสยบแดนเหนือกลับไม่ปกป้องเมือง สู้ก็ไม่สู้ ต่อให้รู้ว่าชนเผ่าป่าเถื่อนเข้ามารุกรานชายแดนล่วงหน้า แล้วจะมีความหมายอะไร
เหตุใดความผิดนี้ถึงถูกโยนมาที่หัวของเว่ยเยวียนได้เล่า
แต่ว่า ยากยิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจะยิงดินปืนไปที่เว่ยเยวียน แม้ว่าในใจจะงุนงง แต่พวกขุนนางบุ๋นก็รีบคว้าโอกาสนี้โจมตีเว่ยเยวียน พากันกล่าวร้องว่าฝ่าบาททรงพระปรีชา
ผู้ตรวจการคนหนึ่งเดินออกมาแล้วเอ่ยย้ำ “ฝ่าบาท อ๋องสยบแดนเหนือนั่งเฉยๆ ดูชาวบ้านประสบภัยพิบัติ ไม่ขยับตัวทำอันใด ขอให้ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งตอบกลับเพียงสามคำ “เรารู้แล้ว”
ผู้ตรวจการถอยกลับไปอย่างไม่ยินยอม
การประชุมค่อยๆ ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อจัดการกับงานที่คั่งค้างในช่วงนี้แล้ว หลังจากเหล่าขุนนางหยุดกล่าวถวายรายงาน จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วค่อยๆ เคาะโต๊ะ
ขันทีใหญ่สวมชุดคลุมหมางเผ่าเดินออกมาแล้วกวาดตามองเหล่าขุนนาง
‘มาแล้ว’ …ขุนนางในโถงทุกคนใจหนักอึ้ง
เมื่อครู่เป็นการถวายรายงานธรรมดาๆ แม้ว่าการขับเว่ยเยวียนออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายจะทำให้คนอื่นคาดไม่ถึง แต่จู่ๆ การที่จักรพรรดิหยวนจิ่งเรียกประชุมเช่นนี้ จะต้องไม่ใช่เพราะ ‘เรื่องเล็ก’ เช่นนี้แน่นอน
ขันทีใหญ่เปิดฎีกาในมือแล้วเอ่ยเสียงดัง “เราได้ตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับคดีพระสนมฝูแล้ว ตระกูลซ่างกวนของฮองเฮา สั่งให้สาวใช้หวงเสี่ยวโหรวสังหารพระสนมฝูและใส่ร้ายองค์รัชทายาท…หลังจากที่เราสอบปากคำ ตระกูลซ่างกวนสารภาพรับผิด ฮองเฮาขาดคุณธรรม ไม่ควรแก่ตำแหน่ง ไม่อาจแบกรับชะตาฟ้า จึงถูกขับไปยังตำหนักฉางชุน”
ตำหนักฉางชุนก็คือตำหนักเย็น
ทั่วทั้งนอกในห้องโถงกลายเป็นความเงียบสงัด
ขุนนางระดับกงขั้นหนึ่งทั้งสามคน และกลุ่มขุนนางระดับล่างนอกห้องโถงที่ได้ยินเนื้อหาของฎีกาเล่มนี้ ต่างพากันตะลึงลาน
ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงขรึมต่ำก็ดังขึ้น
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตาแล้วมองชายชุดครามที่เดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เว่ยเยวียนจอนผมขาว แววตาเปล่งประกายความโชกโชนหลายปี เขามองจ้องตากับจักรพรรดิหยวนจิ่งตรงๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เจ้ากรมอาญาและศาลต้าหลี่ก็เดินออกมาพร้อมกันและกล่าวว่า “ฝ่าบาท สามสำนักยังมิได้ตรวจสอบคดีพระสนมฝูเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่อาจตัดสินเช่นนี้ได้ง่ายๆ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยคำต่อคำ “นี่คือเรื่องภายในของเรา”
เจ้ากรมพิธีการที่ได้รับแต่งตั้งใหม่เดินออกมาแล้วถวายบังคม ก่อนกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท การปลดฮองเฮาก็เป็นเรื่องใหญ่ของชาติเช่นกัน ไม่อาจทำลวกๆ ได้พ่ะย่ะค่ะ ขอให้ฝ่าบาทโปรดมอบคดีพระสนมฝูให้สามสำนักตรวจสอบแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าบนฎีกาจะเขียนว่าฮองเฮายอมรับผิดแล้ว แต่การปลดฮองเฮานั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากขุนนางทุกคนยังไม่รู้สถานการณ์ ก็ไม่ยอมให้จักรพรรดิหยวนจิ่งปลดฮองเฮาแน่
“ได้!”
…
ยามเช้าครู่ สวี่ซินเหนียนอาบน้ำเสร็จก็ไปกินข้าวเช้าที่โถงด้านหลัง แล้วเห็นสวี่หลิงอินในชุดกระโปรงตัวเล็กนั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกห้องโถง ท่าทางพองแก้มอย่างกรุ่นโกรธ
ร่างเล็กดูแล้วโดดเดี่ยว น่าสงสารเป็นที่สุด
“หลิงอิน เหตุใดเจ้ามานั่งตรงนี้” สวี่ซินเหนียนถาม
สวี่หลิงอินเงยหน้ามองแล้วก็ไม่สนใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง