หลี่มู่ไป๋พลันโบกมือ คนขับรถม้าถูกลมหอบหนึ่งพัดขึ้นแล้วลอยไปหล่นอยู่ข้างถนนเบาๆ
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่คว้าสายบังเหียน ขับรถม้าด้วยตัวเอง ก่อนพูดช้าๆ ว่า “เจ้าเป็นม้าดี เดินทางได้พันลี้ทุกวัน”
ภาพอันน่าตกตะลึงบังเกิดขึ้น เดิมเป็นเพียงม้าสีน้ำตาลทั่วไปที่กำลังลากรถอยู่ แต่ตอนนี้มันกำลังส่งเสียงร้องยาวด้วยความตื่นเต้นออกมา
ใต้ผิวหนังสีน้ำตาล กล้ามเนื้อแต่ละเส้นนูนขึ้น ร่างกายขยายใหญ่ พริบตาเดียวก็สูงใหญ่กว่าม้าธรรมดาเกือบเท่าตัว
จากนั้นรถม้าของหลี่มู่ไป๋ก็หายไปไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น
จางเซิ่นแค่นเสียงเย็น “เจ้าก็ลงไปด้วย”
เขาไล่คนขับรถม้าลงไปอยู่ข้างถนน แล้วเข้าไปนั่งแทนที่ จับบังเหียนม้า ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “ม้าตัวนี้ทั้งใหญ่ทั้งแข็งแรง ไม่เพียงแต่เป็นม้าพันลี้ แต่ยังมีหกขา”
ภาพน่าอัศจรรย์แบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ม้าตัวสีดำนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกับม้าตัวนั้น ร่างกายขยายใหญ่ กล้ามเนื้อขดเป็นปม
ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ เนื้อตรงส่วนท้องของมันแยกออกจากกัน กระดูกงอกออกมา เส้นประสาทพันเข้าด้วยกัน…ขาม้าสองขางอกขึ้นมาใหม่กะทันหัน
ม้าดำหกขาราวกับบินได้ มันเตะฝุ่นฟุ้งตลบหนึ่ง ออกตัวทีหลังแต่ไปถึงก่อน ตามทันรถม้าของหลี่มู่ไป๋แล้ว
“โจรเฒ่า เจ้ามันไร้ยางอายเกินไปแล้ว มีที่ไหนม้าหกขา” หลี่มู่ไป๋โมโหหนัก
“ข้าบอกว่ามีก็มี”
“ได้ เช่นนั้นม้าตัวนี้ของข้าก็มีแปดขา”
“ฮึ โจรเฒ่าไร้ยางอาย คิดจะแย่งลูกศิษย์กับข้าใช่ไหม รถม้าคันนี้ของข้าเบาราวกับเยื่อกระดาษ บินไปกับสายลม!”
ลมหอบหนึ่งพัดมา รถม้าของจางเซิ่นลอยล่องราวกับเยื่อกระดาษ ลอยตามลมไปไกล
หลี่มู่ไป๋ไม่ยอมแพ้ เขาตะโกนขึ้น “รถม้าของข้าขี่เมฆได้”
เมฆขาวก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นแล้วติดแน่นอยู่บนล้อรถ พารถม้าส่งขึ้นไปบนฟ้า
สวี่ผิงจื้อปากอ้าตาค้างมองภาพตรงหน้า จนกระทั่งรถม้าทั้งสองคนหายไปลับฟ้า เขาก็กลืนน้ำลายกล่าวว่า
“บัณฑิตช่างคุยโวกันเสียจริง”
สวี่ซินเหนียนทอดมองท้องฟ้า จิตใจโหยหา แล้วเอ่ยพึมพำ “นี่ไม่ใช่การคุยโว แต่เป็นลัทธิขงจื๊อขั้นห้า คุณธรรม!”
มันยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งที่เกิดจากคำเหน็บแนมหลังท่านโหราจารย์ดื่มเหล้าเมา คือ ‘พวกนักปราชญ์ใช้หนังสือเป็นบ่อนทำลายกฎเกณฑ์’
…
ห้องขังกรมอาญา
สวี่ชีอันสวมเครื่องจองจำ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อฟางขาดๆ หลังพิงกำแพงเย็นชืด
ได้กลิ่นอับชื้นเน่าเหม็นในอากาศ คล้ายกลับไปยังเรือนจำในที่ทำการปกครอง
ตามข้อมูลที่พลิกอ่านมาจากสำนวนคดีก่อนหน้านี้ คดีที่ชายหนุ่มฉุดคร่าหญิงสาวของที่ทำการปกครองเมืองจิงจ้าวมีมากมายจนยกตัวอย่างไม่ไหว เรื่องยุ่งวุ่นวายพวกนี้ เดิมทีก็ไปไม่ถึงหูของจักรพรรดิเฒ่าเพราะถูกระงับไว้
‘เบื้องบนรับรู้’ ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรอกหรือที่ทำให้สี่คำนี้หนักราวภูเขาไท่ซาน
แต่นี่มันช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก ไม่กลัวศัตรูทางการเมืองรุมหาเรื่องหรืออย่างไร… สวี่ชีอันถอนหายใจ “แค่เพียงกำจัดข้าในเร็ววัน แล้วให้อารองทนรับความอัปยศโดยใช้ชีวิตคนในครอบครัวมาบีบบังคับ แค่นี้เรื่องก็จบแล้วไม่ใช่หรือ ข้าผิดเอง เป็นชนชั้นกลางอาจใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขก็จริง แต่ตราบใดที่ไปกระตุ้นพวกตัวใหญ่พวกนั้นครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะไม่มีทางหาความสงบสุขได้อีกตลอดไป หากอยากจะมีชีวิตแบบมนุษย์ ข้าก็ต้องมีอำนาจและพละกำลัง”
‘เคร้ง!’ …ประตูเหล็กที่ปลายทางเดินเปิดออก เสียงฝีเท้าจากที่ไกลๆ ดังเข้ามาใกล้ ไม่นาน ผู้คุมคนหนึ่งก็นำทหารในชุดเกราะติดอาวุธสองคนมาอยู่หน้ากรง
“มาพาเจ้าไปกินอาหารมื้อสุดท้ายแล้ว” ผู้คุมยิ้มเยาะ
หลังจากเขาเปิดประตูก็ไม่ได้เข้าไป แต่กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วตะโกนเสียงดัง “ออกมา”
สองมือของทหารชุดเกราะจับด้ามดาบเอาไว้ สายตาระมัดระวัง
ถึงแม้จะสวมเครื่องจองจำและโซ่ตรวนรัดเท้าแบบพิเศษ แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นทหารระดับหลอมจิตขั้นสูงสุดอยู่ดี ถ้าหากเกิดสู้สุดตัวยามสิ้นหวังขึ้นมาล่ะก็ พวกเขาสองสามคนก็จะเป็นอันตรายได้
“ทางที่ดีเจ้าควรจะทำตัวดีๆ ให้ความร่วมมือกับพวกเราเสียเถอะ เจ้าไม่อยากให้พวกเราเจาะข้อมือข้อเท้าของเจ้าแล้วลากตัวออกมาหรอก”
สวี่ชีอันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผุดลุกขึ้น
…
ณ กรมอาญา เจ้ากรมซุนกำลังนั่งจัดการงานอยู่บนโต๊ะ ม้วนเอกสารและสมุดพับกองเป็นภูเขา
ทันใดนั้น เขาคล้ายเกิดความรู้สึกบางอย่าง จึงเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง