ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 262

บทที่ 262 หมายเลขสี่ ‘สองพี่น้องต่างเป็นคนมีความสามารถ’

“ฝูเซียงเป็นคนสนิทของเจ้าในสำนักสังคีตหรือ” จงหลีถาม

สวี่ชีอันถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

จงหลีพยักหน้า ก้มศีรษะลงเล็กน้อย และเดินไปอย่างไม่เร่งรีบ “หากความสัมพันธ์ไม่ลึกซึ้ง จะเชิญข้าให้ไปรักษาด้วยเหตุใด และเจ้าเป็นคนที่โชคดีมาก ไม่เหมือนผู้ชายพวกนั้นที่เป็นทาสใต้กระโปรงของคณิกา”

‘ศิษย์พี่ห้า เจ้ายังคงมีศักยภาพที่จะเป็นนักสืบอยู่นี่…’ สวี่ชีอันทำเสียง ‘อืม’ “ฝูเซียงคนนี้ นับว่าเป็นคนรู้ใจของข้า ตอนที่ข้ายังเด็ก มีความรู้ความสามารถเหนือเพื่อน เป็นสิ่งที่จดจำไม่เคยลืมเลือน เป็นปัญญาชนมาโดยกำเนิด

“แต่อารองได้วางแผนชีวิตข้าไว้ตั้งนานแล้ว ทำให้ต้าฟ่งต้องพลาดผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงวรรณกรรม…ตอนที่ข้าอายุสิบสี่ปี ได้พาญาติผู้น้องไปร่วมงานชุมนุมกวีที่จัดโดยปัญญาชนจากราชวิทยาลัยหลวง ในวันนั้นมีฝนตกสลับหิมะ…เจ้ารู้จักงานชุมนุมกวีหรือไม่ มันคือการชุมนุมเพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ โดยจะเชิญหญิงสาวจากสำนักสังคีตจำนวนหนึ่งมาบรรเลงดนตรีเพื่อช่วยเสริมบรรยากาศ และฝูเซียงก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย”

“ข้าได้สร้างความตื่นตะลึงขึ้นในงานชุมนุมกวี ทุกคนยกย่องว่าข้าเขียนบทกวีได้ดี และฝูเซียงก็ได้เกิดความรู้สึกลึกซึ้งกับข้าในงานชุมนุมกวีครั้งนั้นนั่นเอง ตั้งแต่นั้นมาพวกเรามักจะเขียนจดหมายถึงกัน และพัฒนาเป็นความรักแบบเพลโต ความรักแบบเพลโตเป็นรักบริสุทธิ์ โดยไม่มีไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด…”

จงหลีขัดจังหวะเล็กน้อย “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม”

“รับปากข้า อย่าบอกไฉ่เวย”

“โอ้”

จงหลีหันหน้ามามองเขา แล้วถอนสายตา เดินหน้าต่อไป เมื่อใกล้ถึงหออิ่งเหมย นางกล่าวว่า “ข้ามีวิชามองปราณ”

‘…’

ขณะที่ทุกคนยังมาไม่ถึงหออิ่งเหมย สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีสีและเป่าแล้ว

เอ๊ะ วันนี้หออิ่งเหมยประชุมชากันเร็วขนาดนี้เลย? เขาพาจงหลีเดินไปถึงประตูสำนัก ก็เห็นประตูสีดำสองบานปิดอยู่ มีเสียงเครื่องดนตรีดังมาจากด้านใน

‘ปัง ปัง ปัง…’ สวี่ชีอันเคาะประตูหอ

“หออิ่งเหมยถูกเหมาไว้แล้ว” เสียงของเด็กรับใช้ชุดดำดังมาจากด้านในประตู

“ข้าเอง” สวี่ชีอันกล่าว

ประตูสำนักเปิดออก เด็กรับใช้ชุดดำแสดงสีหน้าเบิกบาน พูดไม่หยุดว่า “คุณชายสวี่มาแล้ว คืนนี้สำนักสังคีตมีแขกที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง เขาอยู่ในห้อง”

เมื่อได้ยินดังนั้น สวี่ชีอันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แขกที่ไม่ธรรมดา?”

ในความคิดของสวี่ชีอัน ระดับสามขึ้นไปจึงนับว่าไม่ธรรมดา แต่ขุนนางระดับนี้ ฐานะเช่นนี้ โดยปกติแล้วจะไม่มาที่สำนักสังคีต กงทั้งหลายแห่งราชสำนักต่างมีความนิยมชมชอบในแบบของตัวเอง

“ใช่ขอรับ ทันทีที่มาถึงสำนักสังคีตก็ตรงไปที่หออิ่งเหมย และบอกว่าอยากจะเห็นฝีมือบรรเลงพิณของแม่นางของเรา เดิมทีแม่นางของเราไม่ได้ตั้งใจที่จะดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขก จึงได้ปฏิเสธไป” เด็กรับใช้ชุดดำทำเสียง ‘หึ’ แสร้งทำท่าทางลึกลับแล้วพูดว่า

“ท่านลองทายซิว่าเกิดอะไรขึ้น”

เมื่อถูกสวี่ชีอันถลึงตาใส่ จึงตอบตรงไปตรงมาว่า “แม่เล้าออกหน้าเอง ปิดประตูพูดคุยกับฝูเซียงอยู่เป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้าง จึงทำให้แม่นางยอมรับด้วยความจำใจ ขึ้นเวทีแสดงดนตรีอย่างไม่เต็มใจ

“สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดก็คือ คณิกาจากสำนักสังคีตมาพร้อมกันทีเดียวสิบสองคน แล้วยังมาโดยไม่ได้รับเชิญอีกด้วย”

สวี่ชีอันประหลาดใจอย่างยิ่ง คิดในใจว่าถึงจะเป็นตาแก่เลอะเทอะเช่นสมุหราชเลขาธิการหวางคนนั้นก็ยังไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

แน่นอนว่าเหล่าหวางนั้นอายุมากแล้ว และคงจะไม่มีความคิดหรือแรงกายที่จะหาความสุขที่สำนักสังคีตแล้ว

แน่มากนะ คิดไม่ถึงเลยว่าจะในเมืองหลวงจะมีคนแบบนี้อยู่ ไม่ได้ สำนักสังคีตจะต้องเป็นสถานที่ที่พิเศษของข้าเพียงคนเดียว ข้าจะต้องไปพบเจ้าหมอนี่เสียหน่อย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พาข้าไปพบเขาหน่อย”

ในเวลานี้ ในห้องโถงที่ใช้รับแขกดื่มสุรา ฝูเซียงนั่งอยู่บนเวที ก้มหน้าเล่นพิณ ท่าทางงดงามอ่อนโยน กลิ่นกายหอมกรุ่น

เวลาที่นางบรรเลงพิณนั้นมีบุคลิกพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ดูไม่เหมือนคณิกาในสำนักสังคีต แต่ดูเหมือนบุตรสาวของตระกูลที่มีเชื่อเสียงนั่งอยู่ในห้องมากกว่า

บรรดานักดื่มนั่งเรียงลำดับ ยกเว้นชายชุดดำที่มีผมสีขาวเป็นปอยอยู่ตรงหน้าหน้าผาก ส่วนข้างกายแขกที่เหลือล้วนมีคณิกานั่งเป็นเพื่อน

หลังจากบรรเลงจบหนึ่งเพลง ฝูเซียงก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางที่งดงาม คำนับแล้วพูดว่า “ทำให้ขบขันแล้ว”

“แม่นางฝูเซียงถ่อมตัวเกินไป สำนักสังคีตในเมืองหลวงแห่งนี้ หากพูดถึงฝีมือการบรรเลงพิณ คนที่มีฝีมือสามารถเทียบกับเจ้าได้แทบจะไม่มี” ชายที่สวมชุดลำลอง ไว้เคราแพะท่านหนึ่งพูดยิ้มๆ

“รีบนั่งลงก่อน จอมยุทธฉู่ของพวกเรารออยู่” ชายพุงพลุ้ยอีกคนหนึ่งพูดเสริม

นักดื่มที่อยู่ในวงเหล้าต่างพากันส่งเสียงอึกทึก

บางคนถึงกับพูดจาขึงขัง เป็นการหยอกล้อว่า “หลังจากโคลงชมดอกเหมยแล้ว แม่นางฝูเซียงก็ไม่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขกอีกเลย แต่ในเมื่อพี่ฉู่กลับมาแล้ว จึงต้องหว่านล้อมเสียหน่อย แม่นางฝูเซียง อย่าให้พี่ฉู่ต้องรอนาน”

นัยน์ตาฝูเซียงเป็นประกาย กวาดตามองนักดื่มทุกคน ฐานะของคนเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา ไม่ใช่ขุนนางผู้กุมอำนาจที่แท้จริงในหกชั้นศาล ก็เป็นขุนนางชั้นสูงเช่นซู่จี๋ซื่อของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน และผู้ตรวจการของฝ่ายตรวจการ และชายเสื้อดำผู้องอาจสองคน ฐานะยิ่งไม่ธรรมดา เป็นจอหงวนปีที่ยี่สิบเจ็ดของหยวนจิ่ง นักดาบอันดับหนึ่งของเมืองหลวงในปัจจุบัน เขาไม่เพียงตอบสนองความชื่นชอบหนุ่มหล่อสาวงามของสตรีในสำนักสังคีตเท่านั้น แต่ยังตอบสนองความใฝ่ฝันเกี่ยวกับจอมยุทธในยุทธภพของพวกนางอีกด้วย เพียบพร้อมทั้งสองอย่าง ดังนั้น เมื่อข่าวการมาถึงสำนักสังคีตของเขาแพร่สะพัดไปทั่ว จึงมีคณิกาสิบสองคนมาโดยไม่ได้รับเชิญ และอาสาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขก

“นายท่านทั้งหลายโปรดให้อภัยด้วย ข้าน้อยไม่ค่อยสบาย วันนี้ไม่ควรดื่มเหล้า” ฝูเซียงยิ้มอย่างสำรวม แล้วย้ายไปยังโต๊ะที่ไม่มีคน

ขุนนางหลายคนขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกไม่พอใจ

แม้ว่าชื่อเสียงด้านความงามของฝูเซียงจะเลื่องลือไปไกล ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสำนักสังคีตเมืองหลวงอีกต่อไปแล้ว แต่นางก็มั่นใจในตัวเองเกินไป แค่ให้นางดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขกเท่านั้น ไม่ได้จะทำอะไรนางเสียหน่อย

แต่นักดาบชุดดำกลับยิ้มสบายๆ ไม่ได้ใส่ใจ

นักดื่มในที่นี้ล้วนเป็นบัณฑิตขั้นสูงปีที่ยี่สิบเจ็ดของหยวนจิ่ง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา การมาดื่มเหล้าที่สำนักสังคีตครั้งนี้ ประการแรกก็เพื่อรำลึกถึงอดีต และประการที่สองก็เพื่อมาชื่นชมฝูเซียงคณิกาผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วต้าฟ่ง ในความคิดของจอหงวนฉู่ รูปลักษณ์ภายนอกนั้นเป็นรอง แต่ลักษณะไม่ชอบแสดงออกนี้ต่างหากที่ทำให้เขาชื่นชมยิ่งนัก

หมิงเยี่ยนมองไปรอบๆ ส่งยิ้มสดใสงดงาม แล้วพูดสร้างบรรยากาศให้คึกคักขึ้นว่า “นับตั้งแต่แม่นางฝูเซียงของพวกเราชอบพอกับใต้เท้าสวี่แล้ว ก็ไม่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขกอีกเลย นางยังรอให้ใต้เท้าสวี่มาไถ่ตัวนางอีกด้วย นายท่านทั้งหลายอย่าทำให้นางต้องลำบากใจเลย”

แม้ว่าขุนนางในที่นี้ทุกคนจะเป็นขุนนางที่มีอำนาจอย่างแท้จริง แต่ต่อหน้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างก็ยังเป็นเด็กนัก ต่อหน้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสวี่ชีอันที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ยิ่งเป็นทารกไปเลย

เป็นจริงดั่งคาด นักดื่มต่างพากันเก็บความไม่พอใจ ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า

จอหงวนฉู่เลิกคิ้ว “ใต้เท้าสวี่? ใต้เท้าสวี่คนไหน”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกอ่อนไหวกับแซ่ ‘สวี่’ นี้มาก

ในเวลาเดียวกันก็นึกถึงกลุ่มสนทนาในหนังสือปฐพีครั้งนั้น ขณะที่หมายเลขสองถามข้อมูลเกี่ยวกับฆ้องทองแดงแซ่สวี่คนหนึ่ง หมายเลขหนึ่งได้พูดไว้ว่า

จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของบุคคลนี้คือเจ้าชู้ เขามีความสัมพันธ์กับคณิกาในสำนักสังคีตหลายคน…

ต่อมา เขาเพิ่งพบกับหมายเลขสาม แต่อีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตัวเอง เขามีญาติผู้พี่ที่โดดเด่นด้านกวีคนหนึ่ง ญาติผู้พี่คนนั้นก็คือคนที่เขียน ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ จนทำให้ฝูเซียงมีชื่อเสียงโด่งดัง

หมิงเยี่ยนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแย่งตอบ จึงได้พูดพร้อมรอยยิ้ม “พูดถึงใต้เท้าสวี่คนนั้น เขาเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ เขาร่ำรวยขึ้นมาจากคดีเงินภาษีเมื่อสิบปีที่แล้ว…”

เรื่องเล่าดำเนินต่อไป นางเล่าเกียรติประวัติของสวี่ชีอันอย่างคุ้นเคย

“ตอนที่อยู่อวิ๋นโจว เขาคอยสกัดอยู่หน้ากองกำลังศัตรูแปดพันนายด้วยตัวคนเดียวและดาบหนึ่งเล่ม ยืนต่อสู้เพียงลำพังเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม…”

เกียรติประวัตินี้ เหล่าคณิกาของสำนักสังคีตได้ยินมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังคงฟังอย่างสนใจ ตั้งอกตั้งใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง