ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 261

บทที่ 261 สวี่ซินเหนียน ‘วันนี้เจอแต่คนบ้าอยู่เรื่อย’

ในลานเล็กแห่งหนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนเก็บเศษสิ้นส่วนหนังสือปฐพี ขมวดคิ้วเงียบงัน

ทุกคนในกลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพีต่างเป็นผู้ที่ประเสริฐด้วยโชคลาภ หากสูญเสียคนใดไป เขาไม่อยากจะเห็นทั้งนั้น

“การต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์เป็นเรื่องของผู้อาวุโส คนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องแบ่งรับความเป็นความตาย หากไม่ยื่นมือเข้าไปขัดขวางแล้วล่ะก็ ด้วยความดื้อรั้นของหลี่เมี่ยวเจินและความฮึกเหิมของหมายเลขสี่ เกรงว่าต้องมีสักคนสิ้นลมและอีกคนเจ็บหนักเป็นแน่

“ข้าเป็นคนนิกายปฐพีไม่สะดวกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ หมายเลขหกก็พูดไม่เก่ง สถานะของหมายเลขหนึ่งก็ไม่สะดวก…คงต้องปัดสวะให้สวี่ชีอันจริงๆ เสียแล้ว ให้เขาเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ และเจือจางความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างหลี่เมี่ยวเจินและหมายเลขสี่ลง เช่นนี้ก็จะมีข้อต่อรองกับเจ้าสำนัก ซ้ำยังไม่ต้องแบ่งรับความเป็นความตายอีก

“แต่การบำเพ็ญเพียรของเขายังค่อนข้างอ่อนด้อย ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้ระหว่างหลี่เมี่ยวเจินและหมายเลขสี่ได้ เว้นแต่จะบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงในเวลาอันสั้น”

บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงในเวลาอันสั้น ช่างเป็นไปได้ยากเสียจริง

นักบวชเต๋าจินเหลียนสีหน้าเป็นกังวลอยู่ครู่หนึ่ง คิดอยู่นานแล้วก็ยังไม่เจอวิธีที่เหมาะสม จนกระทั่งแมวส่งเสียงแหลมดังลอดมาจากในลาน

…ไม่นาน เจ้าแมวสีส้มตัวหนึ่งก็จากไปอย่างร่าเริง ยกหางขึ้นสูง

ภายในห้อง นักบวชเต๋าจินเหลียนเอนกายอยู่บนเตียง สีหน้าสุขสงบ

เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ สวี่ชีอันก็ขี่แม่ม้าน้อย และพาจงหลีไปหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

“ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ โดยเฉพาะหอเฮ่าชี่” สวี่ชีอันหันข้าง พูดกับจงหลีที่อยู่ข้างๆ

นางไม่ได้ขี่ม้า แต่เดินตามแม่ม้าน้อยอยู่ข้างๆ ทีละก้าว ราวกับเดินเล่นในลานที่เงียบสงบหลังรับประทานอาหาร

วิชาหดตัวหรือ…สวี่ชีอันมอง พลางอิจฉาอยู่เงียบๆ

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฆ้องเงินท่านหนึ่งเดินนำฆ้องทองแดงสิบกว่าคนออกมาอย่างรีบเร่ง และปะทะกับสวี่ชีอันพอดี

ฆ้องเงินท่านนั้นหยุดและเข้ามาทักทาย สังเกตเห็นจงหลีที่สวมเสื้อคลุมผ้าลินิน ปล่อยผมยาวสยาย จึงเอ่ยถาม “นี่เป็นชาวยุทธภพที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือขอรับ เหตุใดถึงไม่มัดเล่า”

สวี่ชีอันตกตะลึง เอ่ยอย่างใคร่ครวญ “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้เล่า”

ฆ้องเงินอธิบาย “เมื่อวานท่านไม่ได้อยู่เวร ดังนั้นคงไม่ทราบ เมื่อวานเว่ยกงออกประกาศแล้วว่า อีกสามเดือนข้างหน้าก็จะถึงศึกการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ในรอบหกสิบปี”

“ก่อนหน้านั้น ลูกศิษย์ผู้มากความสามารถของนิกายมนุษย์และนิกายสวรรค์จะเป็นผู้นำการสู้รบ สำหรับชาวยุทธภพส่วนใหญ่แล้ว นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต”

“ดังนั้น ผู้คนทั่วยุทธภพจะเข้าเมืองอย่างไม่ขาดสาย เพราะอยากดูศึกการต่อสู้ระหว่างศิษย์สองสำนัก สวรรค์และมนุษย์ สหายร่วมหน่วยทั้งหลายต่างต้องเฝ้าประตูเมือง เพื่อลงทะเบียนชาวยุทธ์ที่หลั่งไหลเข้ามา และคัดกรองสายลับจากต่างแดนที่อาจปะปนเข้ามาด้วย”

หือ? เดิมทีตำแหน่งในยุทธภพของหมายเลขสี่และหมายเลขสองสูงส่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ…ไม่เห็นรู้สึกได้เลย บางทีข้าอาจจะเป็นสาเหตุของการตอนรุ่นที่สองกระมัง…สวี่ชีอันพยักหน้า และบอกลาฆ้องเงิน

เขาจัดแจงให้จงหลีไปอยู่ในห้องชุนเฟิงของหลี่อวี้ชุน ส่วนตนก็ไปหอเฮ่าชี่

จงหลีเป็นศิษย์ห้าของท่านโหราจารย์ สถานะถือว่าสูงส่ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ นางไปพบเว่ยเยวียนไม่ได้

หลังแจ้งกับทหารยาม สวี่ชีอันก็ขึ้นไปห้องน้ำชาบนชั้นเจ็ด

เว่ยเยวียนยืนอยู่ด้านหน้าแผนที่ภูมิลักษณ์ขนาดใหญ่ ยังคงอยู่ในชุดสีเขียวเช่นเดิม ผมของเขาถูกมวยขึ้นและปักด้วยปิ่นหยกเรียบง่าย สองมือไพล่หลัง แขนเสื้อห้อยลงมา

ในแง่อุปนิสัย หน้าตา ความสามารถ เว่ยเยวียนเรียกได้ว่าเป็นผู้นำในหมู่วัยกลางคนที่สวี่ชีอันเคยพบเจอ ส่วนในหมู่คนหนุ่มนั้น ต้องยกให้เอ้อร์หลางและหนานกงเชี่ยนโหรวเป็นผู้นำในเรื่องหน้าตา

แต่ในแง่ความแข็งแกร่งโดยรวม สวี่ชีอันคิดว่าสวี่ต้าหลางชนะขาดลอย เพราะมีความเป็นผู้นำและความโดดเด่นสมชื่อ

“หนังสือการแต่งตั้งของเจ้าอยู่บนโต๊ะ อีกเดี๋ยวนำไปที่หน่วยคัดเลือกขุนนาง ไปรับสายคาดเอวและเครื่องแบบ”

เว่ยเยวียนไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่ชี้ไปที่โต๊ะ

สวี่ชีอันมองไปที่โต๊ะ เห็นเอกสารการเลื่อนตำแหน่งหนึ่งชุด ที่ประทับตราของเว่ยเยวียนจริงๆ

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเว่ยเยวียนเป็นผู้ชี้ขาด เขาอยากจะเลื่อนตำแหน่งหรือลดตำแหน่งใครก็ได้ตามที่เขาต้องการ ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่กังวลกับการเลื่อนตำแหน่งเป็นฆ้องเงินของตนเอง

“หลังจากเป็นฆ้องเงินแล้ว ก็ไม่ต้องออกไปลาดตระเวน นั่งอยู่ในที่ทำการได้ และจัดการเวลาของตนเองได้อย่างอิสระมากขึ้น” เว่ยเยวียนชี้แนะ “พรสวรรค์ของเจ้าถือว่าไม่เลว ไม่ควรเปลืองเวลากับงานหลวง”

ข้าเพิ่งเคยเจอเจ้านายที่บอกกับพนักงานว่า ‘เจ้าไม่ควรเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยอย่างการทำงาน’ เป็นครั้งแรกเลย…สวี่ชีอันชิงชังชีวิตในชาติก่อนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างขยันขันแข็งมาสิบปีแต่ไม่เคยเจอหัวหน้าที่ดีเช่นนี้สักครั้ง

เขาหยิบหนังสือแต่งตั้งขึ้นมา กำลังจะขอตัว ก็ได้ยินเว่ยเยวียนเอ่ย “อย่าเพิ่งรีบไป อีกไม่นานก็จะถึงการต่อสู้ระหว่างนิกายมนุษย์และนิกายสวรรค์แล้ว ในช่วงเวลานี้เกรงว่าเมืองหลวงคงไม่สงบ จะต้องมีชาวยุทธภพก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นแน่”

“ข้าน้อยรับทราบ จะรักษาความปลอดภัยเมืองชั้นในให้ดีขอรับ” สวี่ชีอันกล่าวทันที

เว่ยเยวียนพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ “เจ้าเคยติดต่อกับหลี่เมี่ยวเจินที่อวิ๋นโจว คิดเห็นเช่นไรเกี่ยวกับนางหรือ”

ฐานะลูกศิษย์นิกายสวรรค์ ตอนอยู่ในเมืองไป๋ตี้หลี่เมี่ยวเจินได้สารภาพกับผู้ตรวจการจาง และเจียงลวี่จง หลังจากที่สวี่ชีอันสิ้นชีพในขณะสู้รบ ผู้ตรวจการจางได้ส่งสารกลับมายังเมืองหลวงว่าด้วยขบวนการปราบปรามโจรกรรม และบรรยายผลงานที่โดดเด่นของหลี่เมี่ยวเจินลูกศิษย์นิกายสวรรค์ในการปราบปรามซ่องโจร

และขอความกรุณาราชสำนักมอบตำแหน่งกึ่งทางการให้กับนาง

แน่นอนว่าสุดท้ายถูกปัดตก ลั่วอวี้เหิงเป็นถึงราชครูของต้าฟ่ง อีกทั้งนิกายมนุษย์กับนิกายสวรรค์ทั้งสองฝ่ายไม่มีวันญาติดีกัน เรื่องนี้มันน่าขำดีมิใช่หรือ

ความรู้สึกของข้าที่มีต่อนางหรือ…สวี่ชีอันคิดไปมา ก็คิดว่าสามารถสรุปออกมาได้หนึ่งประโยค ‘ข้าแลแม่ทัพปลดเปลื้องชุดเกราะ แนบอุ่นไอร่วมคืนวสันต์หลังม่านดอกชบา[1]’

“ก็แค่ลูกศิษย์สองคนเท่านั้น เว่ยกงไม่จำเป็นต้องสนใจถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง” สวี่ชีอันกล่าว

“ท่าทีของลูกศิษย์ เป็นตัวตัดสินท่าทีของอาจารย์ผู้อาวุโส” เว่ยเยวียนเรียกคืนสติกลับมา หันไปมองเขาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เป็นผู้ที่อยู่ระดับหนึ่ง”

สวี่ชีอันทั้งแปลกใจและไม่แปลกใจในคำตอบดังกล่าว บรรดาลัทธิเต๋าสามนิกาย นิกายสวรรค์คือผู้ทรงพลังที่สุด ผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์และนิกายปฐพีอยู่ระดับสอง สมมตินิกายสวรรค์ไม่มีผู้ที่อยู่ระดับหนึ่ง จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไร

แต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ลั่วอวี้เหิงแห่งนิกายมนุษย์ก็ต้องแพ้แต่เริ่มไม่ใช่หรือ

ลั่วอวี้เหิงจะมีอัตราชนะอย่างไรสวี่ชีอันไม่สนใจ เขาเข้าใจความหมายของเว่ยเยวียนแล้ว การประลองระหว่างลูกศิษย์ครั้งนี้หากไม่สามารถจัดการให้ดี ถึงเวลานั้นอาจเกิดการต่อสู้ระหว่างสองผู้นำสวรรค์และมนุษย์จนต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

ระดับหนึ่งและระดับสองเป็นพลังต่อสู้ระดับสูงที่สุดของยุทธภพ ที่แม้แต่เว่ยเยวียนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมก็ไม่กล้าประมาท และท่านโหราจารย์บุคคลผู้เป็นสมบัติก้นหีบ[2]ของต้าฟ่ง ก็อยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น

“เว่ยกง ข้าน้อยมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกท่านขอรับ” สวี่ชีอันตั้งใจจะรายงานเรื่องภายในของพรรคฟ้าดิน

เว่ยเยวียนส่งเสียง ‘อือ’ ไม่ได้เอ่ยอะไร

“หลี่เมี่ยวเจินผู้นั้นเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหมายเลขสองขอรับ ส่วนลูกศิษย์ที่นิกายมนุษย์ส่งมา น่าจะเป็นนักดาบอันดับหนึ่งที่ท่านเคยประเมินผู้นั้น” สวี่ชีอันกล่าวรายงาน

ข้อมูลนี้เป็นไปตามที่เว่ยเยวียนคาดเอาไว้ เขาละสายตาจากแผนที่ภูมิลักษณ์ กลับมานั่งเก้าอี้ เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “กล่าวได้ดี”

สวี่ชีอันรายงานบันทึกการสนทนาจาก ‘กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี’ ของเมื่อวานให้ฟังอีกรอบทันที

“ข่าวคราวของเจ้าไวดีนี่” เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างชื่นชม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง