ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 260

บทที่ 260 บทกวีสองบท

“เก็งข้อสอบ?”

สวี่เอ้อร์หลางย้อนถามด้วยความฉงน แต่เขาฉลาดมาก จึงเข้าใจความหมายของสวี่ชีอันในทันที

รินน้ำร้อนให้พี่ใหญ่อย่างช้าๆ แล้วสวมเสื้อคลุมให้ตัวเองอีกชั้นหนึ่ง สวี่ซินเหนียนนั่งเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ไม่ต้อง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในสำนักได้ช่วยพวกเราเก็งข้อสอบแล้ว”

หลังจากการก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง ความคิดของบัณฑิตทั้งหลายก็ถูกผูกอยู่กับสี่ตำราห้าคัมภีร์ ไม่มีความฉลาดหลักแหลมเหมือนคนรุ่นก่อน การที่ต้าฟ่งไม่มีบทกวีก็คือผลที่ตามมา

แต่ก็มีข้อดีอยู่อีกอย่างคือ เก็งข้อสอบได้ง่ายขึ้น

การเก็งข้อสอบ ความจริงก็เหมือนกับการที่อาจารย์ของสวี่ชีอันในชาติก่อนเคาะกระดานดำเน้นสาระสำคัญ เนื่องจากมีการจำกัดขอบเขตเนื้อหาและวิธีการตอบ ข้อสอบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการจึงสามารถ ‘คาดเดา’ ได้ในระดับหนึ่ง

นอกจากการเก็งข้อสอบแล้ว ยังมีอีกวิธีที่แยบยลก็คือ…การซื้อข้อสอบ

และที่ร้ายไปกว่าการซื้อข้อสอบก็คือ ‘การกำหนดไว้เป็นการภายใน’

ที่เรียกว่าการกำหนดไว้เป็นการภายในก็คือ ถึงแม้คนประเภทนี้จะเขียนได้ไม่สละสลวย ก็ยังสามารถผ่านด่านได้ ถือเป็นผู้สอบผ่าน

รายละเอียดการดำเนินการก็คือการติดสินบนขุนนางผู้ควบคุมการสอบ โดยก่อนสอบจะมีการหารือกันก่อนว่าจะกำหนด ‘รหัส’ อย่างไร ตัวอย่างเช่น คำสุดท้ายของบรรทัดแรกคือ ‘ชรา’ คำสุดท้ายของบรรทัดที่สองคือ ‘เหล็ก’ และบรรทัดที่สี่ ห้าและหกคือ ‘หก หก หก’

เมื่อขุนนางผู้ควบคุมการสอบเห็น ก็จะรู้ว่านี่เป็นคนของตัวเอง

การอำพรางชื่อและคัดลอกป้องกันการทุจริตเช่นนี้ไม่ได้

วิธีที่แยบยลเช่นนี้ สวี่ชีอันได้ยินมาจากเว่ยเยวียน หลังจากฟังแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจ ภูมิปัญญาของคนโบราณจะดูถูกไม่ได้

น่าเสียดายที่วิธีการติดสินบนขุนนางผู้ควบคุมการสอบไม่ได้อยู่ในการพิจารณา สวี่ซินเหนียนเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ที่ถูกตัดสินแล้วว่าเขาไม่มีวาสนาสอบผ่านจอหงวน ปั้งเหยี่ยน ทั่นฮัว หรือแม้กระทั่งคะแนนระดับหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปได้

ก่อนพบกับจงหลี สวี่ชีอันคิดแต่เพียงว่าจะช่วยทำโพยให้เอ้อร์หลาง และจะปิดบังทหารที่คุมสอบได้อย่างไร หลังจากขบคิดจนหัวแตก ก็คิดได้วิธีหนึ่ง นั่นก็คือการคัดลอกบทความไว้ที่ใดที่หนึ่ง

แรงบันดาลใจสำหรับวิธีนี้ได้มาจากเพื่อนชาวเน็ตผู้ซื่อบื้อในชาติก่อน จำได้ว่ามีคนพูดโอ้อวดตัวเองบนเว็บไซต์ ว่าแฟนสาวเห็นเขาสักคำว่า ‘ท่านทุกข์’ บนองคชาตของเขา

จึงถามเขาว่าสองคำนี้หมายความว่าอย่างไร เพื่อนชาวเน็ตผู้ซื่อบื้อยิ้มอ่อน สูดลมเข้าสู่จุดตันเถียน แล้วตอบอย่างมั่นใจว่า ที่จริงก็คือ ท่านไม่เห็นว่าน้ำในแม่น้ำฮวงโหวไหลหลากมาจากฟากฟ้าหรืออย่างไร…พวกเราจงร่วมใจกันกำจัดความทุกข์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้กันเถิด

แม้ว่ามันจะเป็นการโอ้อวดที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่สวี่ชีอันก็มีความรู้สึกร่วมอย่างมากทีเดียว…สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ การดำเนินการข้างต้นเอ้อร์หลางสามารถทำได้อย่างแน่นอน

เพียงแค่เขาพูดว่า ‘เตียวฉานของข้า’ ในฐานะผู้บำเพ็ญในระดับบำเพ็ญตนของเขา…หลังจากนั้นก็จะสามารถเขียนเรียงความห้าร้อยคำลงไปได้

ขุนนางผู้ควบคุมการสอบจะไม่มีวันจับได้อย่างแน่นอน

แต่ด้วยความหยิ่งยโสของเอ้อร์หลาง ตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่นอน…สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ “แล้วบทกวีเล่า”

สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้วแล้วตอบว่า “บทกวีไม่ได้อยู่ในการพิจารณา ข้าไม่เชี่ยวชาญในเรื่องบทกวี”

จุดสำคัญในการเตรียมสอบของเขาอยู่ที่เน้นที่การโต้ตอบและเนื้อหางานประพันธ์ของสำนักขงจื๊อ และแน่นอนว่าบัณฑิตคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน บทกวีนี้พูดได้แค่ว่าแล้วแต่โชคชะตา

“มีการเตรียมพร้อมจะได้ไม่ต้องร้อนรนอย่างไรเล่า พี่ใหญ่มาที่นี่ก็เพื่อเก็งบทกวี” สวี่ชีอันกล่าว

“แล้วพี่ใหญ่คิดจะเก็งอย่างไร”

“จับฉลาก” สวี่ชีอันยิ้มอย่างลึกลับ

“ท่านแม่ ข้าอยากกินส้ม”

ในห้องที่เชื่อมต่อกัน เสี่ยวโต้วติงสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวตัวหลวมเดินออกมา

“ดึกแล้วจะกินส้มอะไรอีก ยังอยากมีฟันอยู่หรือไม่ ส้มอยู่ในห้องโถง ออกไปเอาเอง” อาสะใภ้กำลังยุ่งยากใจเกี่ยวกับอนาคตของลูกชาย

เสี่ยวโต้วติงเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ นางกินส้มที่ทางเดินด้านนอกจนหมด แล้วก็กลับไปนอนที่ห้องด้วยความพึงพอใจ

ส่วนอารองและอาสะใภ้ยังคงหารือเกี่ยวกับอนาคตของสวี่เอ้อร์หลางต่อ พูดไป อาสะใภ้ก็รู้สึกเสียใจว่าเหตุใดตอนแรกถึงส่งสวี่ซินเหนียนไปที่สำนักอวิ๋นลู่

เอ้อร์หลางเป็นเด็กอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็ก ความจำก็ดี ตอนที่สำนักอวิ๋นลู่เปิดรับสมัคร อารองสวี่จึงพาลูกชายไปสอบที่ภูเขาชิงหยุน และสอบผ่านทันที

“ตอนแรกถ้าส่งไปยังราชวิทยาลัยหลวงจะดีแค่ไหน” อาสะใภ้พูดอย่างขุ่นเคือง

“นั่นเป็นความเห็นของผู้หญิง สำนักอวิ๋นลู่จึงนับเป็นลัทธิขงจื๊อที่แท้จริง” อารองสวี่พูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

………..

สวี่ซินเหนียนตัดกระดาษเซวียนจื่อเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ สิบกว่าแผ่น แล้วเขียนหัวข้อต่างๆ เช่น “ดอกไม้ นก ปลา และแมลง” จากนั้นก็เกลี่ยตามอารมณ์

“พี่ใหญ่ พี่มาจับสิ”

สวี่ซินเหนียนรู้สึกว่าพี่ใหญ่กำลังก่อกวน แต่เมื่อเห็นว่าเขากระตือรือร้นมากก็ยากที่จะปฏิเสธ แค่อยากจะให้พี่ใหญ่ที่น่ารำคาญกลับไปเร็วๆ เขาจะได้นอนเสียที แล้วก็อยากดูด้วยว่าพี่ใหญ่สามารถแต่งกลอนสดได้หรือไม่ เขาจะได้เห็นกับตาด้วย

สวี่ชีอันหลับตา แล้วใช้มือสุ่มจับ

“สองชิ้น?”

สวี่ซินเหนียนพบว่าพี่ใหญ่จับกระดาษขึ้นมาสองชิ้น

“สองชิ้นก็สองชิ้นสิ เพิ่มมาอีกชิ้นถือเป็นหัวข้อสำรอง”

สวี่ชีอันพูดพร้อมกับเปิดแผ่นกระดาษออก แบ่งออกเป็น ‘ระบายปณิธาน’ และ ‘รักชาติ’

สวี่ซินเหนียนมองพี่ใหญ่อย่างรอคอย

“อืม อืม…ข้าขอคิดก่อน พรุ่งนี้จะมอบให้เจ้า” สวี่ชีอันเกาหัว

บอกลาสวี่ซินเหนียน แล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง สวี่ชีอันจุดเทียน นั่งที่โต๊ะ เงยหน้ามองคานบ้าน แล้วพูดว่า

“เจ้าเป็นศาสดาพยากรณ์มิใช่หรือ ไม่สามารถพยากรณ์หัวข้อในการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์เชียวหรือ”

บนคานบ้านมีผู้หญิงผมกระเซิงนอนอยู่ สวมเสื้อคลุมยาวผ้าป่านแบบเรียบง่าย ตอบว่า “ศาสดาพยากรณ์ยิ่งควรรู้จักเก็บความลับ ข้าไม่ใช่คนดวงดี ทันทีที่ทำให้ข้อสอบของการสอบฤดูใบไม้ผลิรั่วไหล บางทีอาจจะตายในวันพรุ่งนี้เลยก็ได้”

“มีข้าคอยเจ้าปกป้องเจ้า ท่านโหราจารย์เคยกล่าวไว้ว่าข้าเป็นคนดวงดีมิใช่หรือ” สวี่ชีอันยุยง

“ในเมื่อเจ้าเป็นคนดวงดี ถ้าเช่นนั้นหัวข้อที่เจ้าจับสลากได้ ก็ต้องเป็นหัวข้อของการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์” จงหลีพูดเรียบๆ “ทำไมข้าจะต้องเสี่ยงอันตรายด้วย”

มีเหตุผล…สวี่ชีอันถามอีกว่า “แล้วเหตุใดจึงไม่ให้ข้าคาดเดาเกี่ยวกับการโต้ตอบและเนื้อหางานประพันธ์ของสำนักขงจื๊อ”

“ยิ่งเรื่องเดียวยิ่งเดาถูกง่าย” จงหลีกล่าว

สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไรอีก พยายามคิดถึงบทกวีเคยเรียนสมัยมัธยมต้นและปลาย ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่บทกวีบางบทยังคงชัดเจนในความทรงจำ

แน่นอนว่า บทกวีที่เป็นภาษาจีนโบราณและบทกวีที่ค่อนข้างยาว เขาจำไม่ได้แล้วหรือจำได้ไม่หมด ตัวอย่างเช่นบทกวีชื่อเชิญร่ำสุราของหลี่ไป๋ จำได้แค่ ‘น้ำในแม่น้ำฮวงโหไหลหลากมาจากฟากฟ้า’ เพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น

แต่บทกวีอย่าง ‘รุ่งอรุณแห่งฤดูใบไม้ผลิ’ นี้ เขาคาดว่าจนตายก็ไม่มีวันลืม

‘บทกวีระบายปณิธานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือบทกวีแม้ว่าเต่าจะอายุยืนยาวของโจโฉ แต่พิจารณาถึงความปรารถนาที่จะมีอายุยืนยาวของจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว หากเขียนบทกวีบทนี้เกรงว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะทรงกริ้ว’

‘ส่วนบทกวีรักชาตินั้นมีอยู่มาก เพียงแต่บทกวีรักชาติในความทรงจำของข้า ล้วนเกิดตอนที่บ้านแตกสาแหรกขาด มีทั้งฝันเห็นตัวเองขี่ม้าศึกที่สวมเกราะข้ามธารน้ำแข็ง มีทั้งบ้านเมืองชำรุดทรุดโทรม มีเพียงสายน้ำและขุนเขายังคงเดิม มีทั้งหญิงสาวร้องเพลงหาเงินไม่เข้าใจความเคียดแค้นจากการสิ้นชาติ…ยากจัง’

หลังเที่ยงคืน สวี่ชีอันกำลังนอนหลับสนิท ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียง ‘โครม’ ดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงคร่ำครวญจากผู้หญิงที่โชคร้ายคนหนึ่ง

เขาตกใจตื่นทันที จับดาบข้างเตียงตามจิตใต้สำนึก

“ขอโทษที ข้าหกล้ม…” จงหลีพูดอย่างพยายามทนความเจ็บปวด

‘แบบนี้ก็ล้มได้ด้วยหรือ? อย่างน้อยเจ้าก็เป็นโหรระดับห้านะ…’ สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก เป่าลมหายใจออกเพื่อระบายความคับข้องใจออกมา “ไม่เป็นไร นี่เป็นส่วนหนึ่งของความโชคร้าย?”

“นี่ยังนับว่าโชคดี หากไม่ใช่เพราะอยู่ข้างกายเจ้า ข้าคงขาหักไปแล้ว”

ลูกศิษย์คนที่ห้าของท่านโหราจารย์พูดคำพูดที่น่าสังเวชด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็เคยชินกับมันแล้ว”

หลังจากพูดจบ นางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู “ข้าจะไปนั่งสมาธิข้างนอก ไม่รบกวนการนอนของท่านแล้ว”

“…” สวี่ชีอันมองตามนางออกไป แล้วปิดประตู

พลิกตัว นอนต่อ ปรากฏว่าประตูเปิดออกอีกครั้ง จงหลีกลับมาแล้ว

“หืม?”

สวี่ชีอันทำเสียง ‘หืม’ แสดงให้รู้ว่าตัวเองสงสัยและไม่พอใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง