ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 259

บทที่ 259 เก็งข้อสอบ

“นายหญิง เก็บของเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

ซูซูที่งามล่มเมือง สวมกระโปรงหลัวสีขาวสลับกันเป็นชั้นๆ แต่งหน้าอย่างประณีต เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์

หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าเบาๆ เปิดถุงหอมที่ผูกตรงเอวออก แรงดึงดูดที่มีรูปร่างเป็นกระแสน้ำวนไหลออกมา ภูตผีนับสิบตัวที่อยู่ในกระโจมนายพลกำลังกินเข้าไป

“น่าเสียดายนะเจ้าคะ ที่ท่านยังไม่สามารถฝ่าฟันไปถึงเขตระดับสี่ได้” ซูซูถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยต่อไป

“มิฉะนั้น ในระดับของนิกายมนุษย์ คงไม่มีคู่ต่อสู้ของท่าน”

“แค่บำเพ็ญเพียรก็สามารถเปลี่ยนเป็นขั้นผลิดอกได้ง่ายอย่างนั้นหรือ” หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจอย่างจำใจ

นางติดอยู่ที่เขตแก่นปราณมาสองปีเต็มแล้ว

การโจรกรรมในอวิ๋นโจวถูกกำจัดจนสิ้น หลี่เมี่ยวเจินร่วมมือกับกองทัพท้องถิ่นในอวิ๋นโจว และฆ้องทองคำทั้งสองโจมตีหมู่บ้านบนภูเขา ปรับระดับหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด และมีกระท่อมเล็กๆ หลายสิบหลัง

แน่นอนว่า การโจรกรรมที่ชั่วร้ายในอวิ๋นโจว ที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้มาหลายร้อยปี ไม่ใช่บอกว่ากำจัดก็จะกำจัดได้

อีกไม่กี่ปี ก็จะฟื้นคืนชีพ และปักหลักฝังรากได้อีกครั้ง

ผลลัพธ์ในปัจจุบัน คือขีดจำกัดที่กองทัพท้องถิ่นสามารถทำได้ อวิ๋นโจวสามารถเป็นปกติสุขได้อีกหลายปี หลี่เมี่ยวเจินก็พอใจกับผลลัพธ์นี้แล้ว

ต่อมา นางจะต้องไปจัดการเรื่องของตนเองแล้ว นั่นก็คือการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์

ทุกครั้งที่ครบรอบหกสิบปี นิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์จะต้องพูดคุยกันเรื่องการเมือง ก่อนหน้านั้นลูกศิษย์ผู้โดดเด่นของทั้งสองรุ่นได้ปะทะกัน เพื่ออุ่นเครื่องสำหรับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ก่อนแล้ว

หลี่เมี่ยวเจินก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายสวรรค์รุ่นนี้ อีกท่านหนึ่งเป็นศิษย์น้องของหลี่เมี่ยวเจิน และเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ผู้ถือหนังสือปฐพีหมายเลขเจ็ดอยู่ในมือ

แต่ว่าอีตานั่นอยู่ตงเป่ย และได้ขาดการติดต่อไปเสียแล้ว

“น่าเสียดายไอ้คนตกหล่นที่น่ารังเกียจนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นคงสามารถช่วยข้าสืบคดีการทำลายล้างทั้งตระกูลของบ้านสกุลซู” ทันใดนั้นซูซูก็พูดขึ้นมา

หลี่เมี่ยวเจินมองภูตที่เติบโตมาพร้อมกับตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นแรง ความจริงแล้วบ้านของซูซูไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ไอ้ตานั้นอยากสืบ และเป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากเมืองหลวง เพื่อไปตรวจสอบคดีเก่าในที่อันไกลโพ้น

ซูซูเองก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี แต่นางเอาแต่พูดอยู่บ่อยๆ ดูเหมือนจะเสียดายกับคดีนั้น อันที่จริงคือเสียดายไอ้ผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นต่างหาก

ดังนั้น จะต้องตัดรักลืมหัวใจ…หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงทอดถอนใจในใจ

พวกพ้องต่างจากไป ความโศกเศร้ายากจะทนไหว คนรักเปลี่ยนใจ ความแค้นร้อยเข้าด้วยกัน…เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมนุษย์นั้นต่างเป็นไฟแห่งกรรม แล้วจะพูดได้อย่างไรว่าความรู้สึกที่ลึกซึ้งเป็นเรื่องยากที่จะคงอยู่นานแสนนานเล่า

การไร้หัวใจเท่านั้น ที่จะคงอยู่ตลอดไป

พาซูซูออกจากกระโจม กองทัพนางแอ่นเหินสี่ร้อยกว่านายรวมตัวกันที่สนาม พลางรออย่างเงียบๆ

ทหารสี่ร้อยนายปลดอาวุธ

หลี่เมี่ยวเจินมองไปที่เหล่าทหารช้าๆ พวกเขาตอนนี้ บ้างก็สวมชุดลำลอง บ้างก็แต่งตัวด้วยเสื้อหม่าผ้าหยาบๆ บ้างก็แต่งตัวเหมือนเศรษฐี บ้างก็สวมชุดขาดรุ่งริ่งเหมือนขอทาน…นี่เป็นรูปลักษณ์แต่เดิมของพวกเขา

กองทัพนางแอ่นเหินเป็นกองทัพผสม สมาชิกต่างก็มาจากทั่วทุกสารทิศ จำนวนในนั้นมีพรรคกระยาจก ผู้พเนจรยุทธภพที่มีทะเลสี่แห่งเป็นบ้าน มีโจรปล้นคนรวยเพื่อช่วยเหลือคนจนเป็นต้น

พวกเขาต่างก็มีเป้าหมายเพื่อคนคนเดียว ถึงได้มารวมตัวกันที่อวิ๋นโจว หัวหน้าของกองทัพ คนนั้นเรียกว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน

และวันนี้หลี่เมี่ยวเจินต้องไปแล้ว เป็นธรรมดาที่กองกำลังเสริมนี้ต้องแยกย้ายกันไป

หลังการโจรกรรมจบลง หยางชวนหนานเคยมาหาหลี่เมี่ยวเจินเป็นการส่วนตัว อยากจะรวมกองทัพนางแอ่นเหินเข้าไปอยู่ในกองทัพตามระเบียบ ฝึกฝนให้กลายเป็นทหารตัวเก็งของอวิ๋นโจว หวังว่านางจะสามารถชักชวนทหารของกองทัพนางแอ่นเหินให้อยู่ในอวิ๋นโจวต่อได้

แต่ไม่มีใครยอมที่จะอยู่สักคน

“หลายปีมานี้ พวกเราต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ถอนรากถอนโคนป้อมโจรเล็กและใหญ่หลายร้อยหลัง สังหารโจรหลายพันคน ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใด ราษฎรจะต้องพักผ่อนหย่อนใจได้โดยไม่เกรงกลัวการโจรกรรม ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใด พ่อค้าจะต้องสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวได้ ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใด แสงแห่งความยุติธรรมจะส่องลงมาที่นั่น…

“หลี่เมี่ยวเจินขอบคุณพี่น้องทุกคนที่อยู่เป็นเพื่อนกันไม่จากไปไหน ทว่าในใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา การเดินทางที่อวิ๋นโจวได้จบลงแล้ว และข้าจะต้องไปต่อ พวกเจ้าเองก็ควรกลับบ้านไปพบกับครอบครัวและมิตรสหาย

“ถนนแห่งชีวิตยังอีกยาวไกล อาจขรุขระหรือราบรื่น อาจขมขื่นหรือเศร้าโศก หวังว่าทุกคนจะจดจำช่วงเวลาที่อยู่ในอวิ๋นโจว และไม่หลงลืมความตั้งใจเดิม”

เอ่ยถึงตรงนี้ หลี่เมี่ยวเจินมองไปยังทหารทั้งสี่ร้อยนาย คารวะพร้อมเอ่ยด้วยเสียงที่ดังสนั่น “ทำสิ่งที่ดี ไม่ถามถึงอนาคต”

ทหารสี่ร้อยนายคารวะ เอ่ยด้วยเสียงที่ก้องกังวานหนักแน่นเช่นกัน

“ทำสิ่งที่ดี ไม่ถามถึงอนาคต”

นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเต็มใจที่จะถวายความจงรักภักดี เต็มใจที่จะติดตามจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน

ซินเจียงตอนใต้

เหตุที่เผ่าพันธุ์กู่ถูกเรียกว่าเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อน ไม่ใช่ว่าพวกเขากินเนื้อดิบ แต่พวกเขาอยู่บนพื้นฐานของกู่[1] ระบบการบำเพ็ญเพียร และนิสัยการใช้ชีวิตล้วนสอดคล้องกับหนอนพิษกู่

ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงสามารถปลูกฝังและหลอมรวมหนอนพิษกู่เข้ากับกู่ได้

เพื่อใช้คำให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พัฒนาการของเผ่าพันธุ์กู่เดินตามหลัก ‘มาตรฐานกู่’ ดังนั้นระดับของอารยธรรมจึงไม่สามารถเทียบได้กับต้าฟ่งของ ‘มาตรฐานมนุษย์’ เขตตะวันตกและประเทศในแถบตงเป่ยได้

ช่องว่างของอารยธรรมปรากฏให้เห็นในแง่มุมต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุดคือวัฒนธรรมและสิ่งปลูกสร้าง

จนถึงตอนนี้เผ่าพันธุ์กู่ยังคงใช้อักษรโบราณอยู่ สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ยังเป็นบ้านกระท่อมและบ้านดินโคลน เครื่องปั้นดินเผาถูกนำมาใช้แทนเครื่องลายคราม

ทว่าเสื้อผ้าที่ใส่ไม่ต่างจากเสื้อผ้าของชาวต้าฟ่งมากนัก เผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้เก่งในการปลูกหม่อนและเลี้ยงไหม คุณภาพของไหมที่พวกเขาเก็บรวบรวมนั้นสูงกว่าต้าฟ่งหลายเท่า

แต่พวกเขาไม่เก่งด้านการทอ ดังนั้นจึงถูกพ่อค้าของต้าฟ่งซื้อผ้าไหมคุณภาพสูงในราคาถูก หรือใช้ผ้าสำเร็จรูปเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแทน

ภูเขาป๋อซานห่างไกลนับร้อยลี้ มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์

บนภูเขามีนกและสัตว์ร้าย มีสมุนไพรและผลไม้ป่ามากมาย ที่เชิงเขามีผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำหนาแน่น กองบัญชาการใหญ่ของเผ่าลี่กู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย

เผ่าลี่กู่ได้พัฒนาที่ดินเป็นบริเวณกว้างในที่ราบนี้ บางครอบครัวทำเกษตรกรรม บางครอบครัวล่าสัตว์ มีการแลกเปลี่ยนอาหารและเสื้อผ้าซึ่งกันและกันอย่างเหลือกินเหลือใช้

โม่ซางแบกคันธนู กลับจากการล่าพร้อมกับกลุ่มชายชาตรี บางคนก็แบกหมูป่าที่มีน้ำหนักหลายร้อยกิโล บางคนก็หิ้วไก่ฟ้าสีทองสีสันสดใส บรรทุกข้าวของกลับมาเต็มลำ

โม่ซางเห็นลี่น่าผู้เป็นน้องสาวเก็บผักกับพวกผู้หญิงในทุ่งที่เชิงเขา

ลี่น่าสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่าย เผยให้เห็นน่องที่สูงชะลูดได้สัดส่วน ภูมิอากาศในซินเจียงตอนใต้นั้นร้อน เสื้อแขนยาวและกระโปรงหลัวของต้าฟ่งที่นี่สวมไม่ได้ ดังนั้นคนของเผ่าพันธุ์กู่จะตัด และดัดแปลงเสื้อผ้าจากต้าฟ่ง

กระโปรงยาวถึงเข่า และแขนเสื้อสั้นถึงข้อศอกเท่านั้น

“ลี่น่า!”

โม่ซางส่งเสียงตะโกนเรียก รอน้องสาวเงยหน้าขึ้น เขาถึงเอ่ยต่อ “เมื่อวานเทียนกู่ผอผอให้เสวี่ยอิงมาส่งจดหมาย บอกว่าวันนี้ให้เจ้าไปพบ เหตุใดเจ้าถึงยังโอ้เอ้อยู่ที่นี่เล่า”

ลี่น่าตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ตบไปที่ศีรษะของตน “ไอหยา ข้าลืมไปเลย โม่ซาง เหตุใดท่านถึงไม่เตือนข้าให้มันเร็วๆ หน่อยเล่า”

โม่ซางได้ยินพวกชายชาตรีที่อยู่ข้างหลังเขาหัวเราะ หญิงสาวที่อยู่ในทุ่งก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน

บรรยากาศเต็มไปด้วยช่วงเวลาแห่งความสุข แต่โม่ซางรู้สึกค่อนข้างน่าอาย หันไปโมโหใส่พวกชายชาตรี “ขำอะไรกัน”

อีกด้านหนึ่ง ลี่น่าซึ่งสวมรองเท้าบูตผ้านุ่มกำลังล้างมือให้สะอาดอยู่ที่ลำธาร และตั้งใจจะไปยังชนเผ่าเทียนกู่ที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้

เมื่อโม่ซางเห็นสิ่งนี้ จึงรีบตะโกนเอ่ย “เขื่อนของชนเผ่าเทียนกู่ขาดทางข้าม เจ้าอย่าลืมช่วยซ่อมเสียหน่อยเล่า”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ลี่น่าส่งเสียงตอบรับด้วยเสียงกรอบแกรบ และวิ่งไปไกลแล้ว

เมื่อเทียบกับเผ่าลี่กู่แล้ว เผ่าเทียนกู่เป็นเหมือนเขตการปกครองของราชวงศ์ต้าฟ่งมากกว่า แม้มันจะเรียบง่ายและหยาบไปเสียหน่อย แต่ก็ได้กำจัดบ้านกระท่อม ส่วนใหญ่ปลูกเป็นบ้านอิฐและบ้านดินโคลนแล้ว

เผ่าเทียนกู่ถูกสร้างขึ้นที่เชิงเขาของภูเขาลั่วเสีย จากเชิงเขาไปถึงไหล่เขา มีนาขั้นบันไดเรียงกันเป็นแถว มีเขื่อนบนภูเขา ซึ่งเพิ่งพังไปเมื่อวาน และได้พังทลายนาขั้นบันไดออกไป

ลี่น่าที่เคยเที่ยวเล่นไปทุกที่เมื่อครั้งยังเยาว์ปีนขึ้นภูเขาลั่วเสียไปอย่างชำนาญลู่ทางดี ขณะเดินทางในเทือกเขาเป็นเวลานาน ก็เห็นปากเขื่อนที่พังทลายลงมาแล้ว

เห็นคนของเผ่าเทียนกู่นับสิบคน และเทียนกู่ผอผอที่มีผมสีขาวแกมเทาซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้ายืนอยู่ที่ริมอ่างเก็บน้ำ

ลี่น่าเหลือบมองพวกเขา และมองไปที่อ่างเก็บน้ำ มีร่างของสัตว์ประหลาดลอยอยู่บนผิวน้ำ สัตว์ประหลาดนั้นยาวกว่าสิบจั้ง ลำตัวปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ หัวแหลม คอเรียว และมีกรงเล็บบางๆ

เทียนกู่ผอผอสังเกตเห็นลี่น่า จึงโบกมือให้นาง

ลี่น่ากระโดดเบาๆ ระหว่างก้อนหินจนไปอยู่ตรงหน้าเทียนกู่ผอผอ เอ่ยเสียงหวาน “ผอผอ นั่นเป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันเจ้าคะ”

“มังกรน้ำ!”

เทียนกู่ผอผอเผยรอยยิ้มที่ใจดีออกมา “ไม่รู้ว่ามาจากไหน มันทำลายเขื่อน ต้นกล้าที่เพิ่งปลูกลงไปก็ถูกทำลายออกไปด้วย”

“อ้อ”

เป็นครั้งแรกที่ลี่น่าได้พบกับมังกรน้ำ แต่เคยได้ยินมาว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่แทรกซ้อนอย่างหนาแน่นในซินเจียงตอนใต้ และแหวกว่ายไปตามใต้ท้องน้ำ

ว่ากันว่าท่านลุงของลี่น่าโดนมังกรน้ำกินขณะเล่นน้ำ

“เจ้าช่วยรวบรวมก้อนหิน และรีบอุดช่องว่างโดยเร็วที่สุด” เทียนกู่ผอผอเอ่ย

“เจ้าค่ะ!”

การใช้แรงงานลี่น่าถนัดที่สุดแล้ว นางวิ่งออกไปทันที ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทุกคนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักอึ้ง เดินตามเสียงไป ‘ภูเขาหิน’ ก้อนหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัว

ภูเขาหินก้อนนี้สูงยี่สิบกว่าจั้ง[2] และอาจทำให้เกิดคลื่นที่โหมซัดเมื่อโยนลงไปในอ่างเก็บน้ำ

ภูเขาหินไม่ได้เคลื่อนที่ด้วยตัวเองแต่ถูกลี่น่าแบกเข้ามา เมื่อเปรียบเทียบกับก้อนหินขนาดยี่สิบจั้งแล้ว นางตัวเล็กเท่ามด

ฝูงคนจากเผ่าเทียนกู่ทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับคุ้นชินนานแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง