ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 258

บทที่ 258 ศาสดาพยากรณ์

สวี่ชีอันฟื้นคืนชีพกลับมาจากอวิ๋นโจว สร้างผลงาน ได้รับการแต่งตั้งยศ ความสัมพันธ์ของเขากับหลินอันและฮว๋ายชิ่งคืบหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ทางด้านหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เว่ยเยวียนก็ให้สัญญาว่าจะประกาศให้เขาเป็นฆ้องเงิน ไม่ว่าจะเป็นอนาคต เงินทอง หรือความรัก ต่างกำลังพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง

คาดว่าภายในไม่กี่ปีจะได้เข้ารับตำแหน่งกง แต่งงานกับองค์หญิง และเดินไปยังจุดสูงสุดของชีวิต…เป็นเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้มากที่สุด

เมืองหลวงที่รุ่งเรืองนับแต่โบราณ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีระดับการรักษาพยาบาลและสวัสดิการสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในระดับแนวหน้าของยุคสมัยนี้ทั้งสิ้น ผู้คนต่างก็ชอบรวมตัวกันในเมืองที่เจริญรุ่งเรือง สวี่ชีอันก็ไม่ต่างกัน

ปีนั้นเขาก็ย้ายเข้ามาทำงานที่เมืองปังกิ่ง

ไม่ใช่เรื่องที่ช่วยไม่ได้ แค่เขาไม่อยากออกจากเมืองหลวง

ไต้ซือ ท่านกำลังทำให้เสืออ้วนอย่างข้าลำบากใจนะ…สวี่ชีอันเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว “ไต้ซือ เหตุใดจึงต้องออกจากเมืองหลวงหรือ”

ไต้ซือเสินซูหันข้าง มองไปยังทิศทางนั้น “ข้ารู้สึกได้ ศาสนาจากประจิมทิศกำลังจะมาแล้ว”

ศาสนาจากประจิมทิศ?

สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่ง ถึงจะรู้ว่าที่ไต้ซือเสินซูพูดคือศาสนาพุทธในเขตตะวันตก

จริงสิ ช่วงคดีซังผอ พระสงฆ์ผานซู่จากวัดมังกรเขียวรู้ว่าไต้ซือเสินซูหลุดพ้นความลำบากมาได้ ก็ออกจากวัดทันทีและมุ่งหน้าไปทางตะวันตก…กล่าวเช่นนี้ คนของทางศาสนาพุทธจะกลับมาแก้แค้น?

หรือว่าที่ไต้ซือเสินซูต้องการให้ข้าออกจากเมืองหลวง เป็นเพราะว่าหากคนหัวโล้นจากตะวันตกพบว่าไต้ซือเสินซูอยู่ในร่างของข้า ข้าอาจจะถูกตรึงอยู่ในหุบเขาห้านิ้วเป็นเวลาห้าร้อยปี

และในขณะที่ข้าไม่มีเข็มเทพใต้ทะเลที่ทั้งแข็งทั้งหยาบของซุนหงอคง แม้แต่โอกาสจะต่อต้านยังไม่มี

“เช่นนั้นท่านจึงให้ข้าออกจากเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว?” สวี่ชีอันเผยให้เห็นความกังวลบนใบหน้าของเขา

ไต้ซือเสินซูพยักหน้าเบาๆ

“ก็ได้ ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว จริงสิ ไต้ซือ ได้ยินว่าศาสนาพุทธมีวิธีฝึกร่ายที่น่าอัศจรรย์มาก ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนร่างกายก็สามารถบำเพ็ญให้กลายเป็นระดับเพชรได้อย่างไม่ทำร้ายร่างกาย ท่านว่าสามารถช่วยข้าได้หรือไม่”

รีบคว้าผลประโยชน์ไว้ก่อน

ไต้ซือเสินซูส่ายหน้า “ข้าเป็นเพียงวิญญาณร่างหนึ่งเท่านั้น”

ท่านจะเป็นวิญญาณหรือไม่ข้าไม่รู้ ข้ารู้ก็แต่ท่านคิดจะหลอกใช้ข้าฟรีๆ…มุมปากสวี่ชีอันกระตุก

หมอกบางรวมกัน ห่อหุ้มวัดที่ทรุดโทรม และค่อยๆ จางหายไป…สวี่ชีอันลืมตา กลับเข้ามาในห้อง นั่งอยู่ที่หัวเตียงโดยไม่เปลี่ยนท่า

ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าศาสนาพุทธจากตะวันตกมาก็เพราะไต้ซือเสินซู นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าๆ แล้ว พวกเขาอ่านสำนวนคดีมาก็มาก พอเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป

เช่นนั้นแล้ว ข้าจะออกจากเมืองหลวงแค่ชั่วคราว แต่จะกลับมาให้ไวที่สุด

สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ พูดเช่นนี้ เขาอาจจะรับคำก็ได้ ถือว่าเป็นวันหยุด ไปพักผ่อนในเมืองที่มั่งคั่ง และใช้ชีวิตที่น่าเบื่ออย่างคนมีเงินสักสองสามวัน

ตรงกันข้าม การลาหยุดไม่ใช่เรื่องน่าเขียน แถมยังออกจากเมืองหลวงอย่างไม่มีสาเหตุ ระบบของที่ทำการปกครองต้องไม่อนุญาตแน่ อีกอย่าง เว่ยเยวียนจะห่างจากข้าไม่ได้

โลกในนี้ช่างใหญ่ยิ่งนัก ข้าอยากไปเที่ยวชม…จะต้องถูกปฏิเสธแน่นอน เหล่าเว่ยไม่เข้าใจมุกของข้าเลย

“ใช่แล้ว ไปปรึกษานักบวชเต๋าจินเหลียน ให้เขาคิดหาเหตุผล อย่างเช่นมีใครบางคนในกลุ่มพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือปฐพีเกิดปัญหา ต้องการการสนับสนุนจากข้า…”

สวี่ชีอันตั้งใจจะไปขอคำปรึกษาจากนักบวชเต๋าจินเหลียน บอกว่าอยากออกจากเมืองหลวงสักพัก แต่ระบบที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้มงวด ไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้ตามใจชอบ หลักๆ ก็คือต้องให้เหตุผลที่พอยอมรับได้แก่เว่ยเยวียน

แต่ก่อนหน้านั้น เขายังมีเรื่องบางอย่างต้องทำให้เสร็จก่อน อย่างเช่นเข้าร่วมงานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้ ต้องมอบหมายพัศดีเสียหน่อย ว่าให้ดูแลคู่สามีภรรยานั้นให้ดี หลังการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์เอ้อร์หลางจะสามารถอาศัยในเมืองหลวงได้หรือไม่ ทั้งหมดต้องพึ่งพาพวกเขาแล้ว

อีกอย่างคือหยั่งเชิงเว่ยเยวียนดูว่าวางแผนจะแก้แค้นเฉินกุ้ยเฟยอย่างไร

แม้คดีพระสนมฝูจะสิ้นสุด แต่ก็ถือว่าได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันแล้ว เว่ยเยวียนต้องการจะสืบหาผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเฉินกุ้ยเฟย และจะต้องมีการติดตามผลอย่างแน่นอน

ส่วนฮองเฮาที่ต้องสูญเสียน้องชายเพียงคนเดียว เกรงว่าจะทำตัวสบายๆ ไม่ได้อีกต่อไป ส่วนตำหนักหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด สงครามระหว่างหญิงสาวจะต้องเกิดการขยายตัวอย่างแน่นอน

สิ่งที่สวี่ชีอันกังวลก็คือสงครามไฟของพวกนางจะรุนแรงในระดับไหน เขาไม่อยากกลับมาเมืองหลวงและได้ยินว่าเฉินกุ้ยเฟยเสียชีวิต หรือฮองเฮาสวรรคตแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ หลินอันและฮว๋ายชิ่งจะเป็นเหมือนน้ำและไฟ ไม่สามารถกลายเป็นพี่น้องกันได้

ความฝันที่เขาจะได้ไปทะเลสาบต้าหมิงด้วยกันตามลำพังเกือบจะพังทลายแล้ว

เวลานี้ มีคนรับใช้คนหนึ่งมาที่ประตูด้านนอก ตะโกนเอ่ย “ต้าหลาง แม่นางไฉ่เวยจากสำนักสังคีตมาขอพบขอรับ”

นางมาทำไมกัน

สวี่ชีอันตอบกลับ “รู้แล้ว ให้อาสะใภ้ต้อนรับนางก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”

เขานำสมุดบันทึก เงิน และของส่วนตัวอื่นๆ เก็บเข้าไปในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เพื่อเตรียมตัวจะออกจากเมืองหลวง และให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งของตกหล่น จึงได้ถอนหายใจ และออกไปพบฉู่ไฉ่เวย

ภายในห้องรับรองแขก ฉู่ไฉ่เวยที่ถือขนมแห้วไว้เต็มมือ แล้วยัดเข้าไปในปากอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางตะกละตะกลาม ราวกับจะมีคนแย่งนางกิน…

ที่จริงก็มีคนแย่งนางกิน เป็นสวี่หลิงอินที่ยืนตรงหน้านาง ในมือถือขนมแห้ว และยัดมันเข้าปากอย่างรวดเร็ว ท่าทางที่ตะกละตะกลามนั้นก็เพื่อแย่งของกินกับฉู่ไฉ่เวย

ระหว่างทั้งสอง ยังมีขนมวางอยู่เจ็ดแปดอย่าง มีความหลากหลาย และปริมาณที่มากพอสมควร

ฉู่ไฉ่เวยมาจวนสกุลสวี่วันนี้ได้หิ้วอาหารชุดใหญ่มาด้วย กินไปด้วยและรอสวี่ชีอันไปด้วย ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเด็กตัวน้อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มองนางตาปริบๆ

หญิงสาวจำนางได้ นางคือน้องสาวของสวี่หนิงเยี่ยน เด็กที่กินได้อย่างตะกละคนนั้น

“อยากกินอะไรหยิบเองได้เลยนะ พี่สาวยังมีอีกเยอะแยะ…”

ฉู่ไฉ่เวยจำได้ว่าตนเองพูดแบบนี้

ตอนแรก ทั้งพี่ทั้งน้องก็กินด้วยกันอย่างเสมอกัน เจ้ากินของเจ้า ข้ากินของข้า ชื่นชีวีสุขสันต์ แต่กินไปกินมา ฉู่ไฉ่เวย กลับพบว่ายายหนูนี่กินได้เร็วกว่านางเสียอีก

ไม่ได้ จะเสียเปรียบไม่ได้ ข้าก็ต้องกินเร็วขึ้นอีก

สวี่หลิงอินมองดู ทันใดนั้นพี่สาวคนนี้ก็กินอย่างรวดเร็วขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าต้องการจะแย่งนางกินไม่ใช่หรือ ไม่ได้ ข้าจะเสียเปรียบไม่ได้ ข้าต้องกินเร็วขึ้นอีก

ไม่มีบทสนทนาอีกต่อไป แต่สงครามการกินยังคงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดจบของการต่อสู้ หากใช้สองคำมาอธิบายคงเป็น ‘โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า…’

หลังสวี่ชีอันมาถึงห้องโถง มาเห็นฉากนี้ ถึงกับอึ้งไป

“นี่ นี่ นี่ จะกินแบบนี้ไม่ได้”

สวี่ชีอันเหลือบมองไปที่ท้องกลมของเสี่ยวโต้วติง หิ้วนางมาไว้อีกด้าน และมองไปรอบๆ “อาสะใภ้เล่า”

อาสะใภ้ไม่อยู่ในห้องโถง คาดว่าจะไปจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้เสี่ยวโต้วติงกินแบบนี้แน่

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ขนมแห้วนี่อร่อยมากเลย…” สวี่หลิงอินต่อสู้สุดกำลังและมีท่าทีกังวล ในชั่วพริบตา พี่สาวคนนั้นกินเยอะไปหลายชิ้นแล้ว

“กินให้มันน้อยๆ หน่อย”

สวี่ชีอันชี้ไปที่ขนมที่อยู่บนโต๊ะ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบเก็บลงไป เก็บลงไป…แม่นางไฉ่เวยมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”

เขาเดาว่าฉู่ไฉ่เวยคงมาเล่นกับตน เพราะหลังจากฟื้นคืนชีพ เขามัวแต่ยุ่งกับการสืบคดีของพระสนมฝู สิบกว่าวันแล้วที่ไม่ได้เจอนาง

ด้วยความหน้าตาดีของข้าตอนนี้ นางจะคิดถึงความหล่อเหลาของข้าก็คงไม่แปลก…สวี่ชีอันยิ้ม

“อาจารย์ให้ข้ามาเชิญท่านไปที่หอดูดาวในฐานะแขก” ขณะที่ฉู่ไฉ่เวยพูดก็ได้ยกน้ำชาขึ้นดื่ม และนำขนมที่เหลือหอกลับ และใส่ลงในกระเป๋าหนังกวางที่เอว

ท่านโหราจารย์เชิญข้าไปหอดูดาว…สวี่ชีอันแอบขมวดคิ้วอย่างลับๆ แต่ไม่ได้ขัดขืนมากนัก

ท่านโหราจารย์อยู่ในระดับใด สวี่ชีอันไม่สามารถคาดเดาได้ แต่เขาอยู่ระดับใด ท่านโหราจารย์รู้ดีอยู่แก่ใจ

ทั้งสองออกจากจวนสกุลสวี่ ขี่ม้าของใครของมัน และมุ่งหน้าไปยังหอดูดาว

“ขนมเหล่านั้นข้าซื้อให้ศิษย์พี่ห้า สุดท้ายกลับถูกน้องสาวท่านกินไปเกือบครึ่ง” ฉู่ไฉ่เวยจับบังเหียน ตามองไปด้านหน้า พลางเอ่ยเสียงหวาน

“สวี่หนิงเยี่ยน ท่านต้องจ่ายเงินมาให้ข้านะ”

“พูดถึงเรื่องเงินแล้วทำร้ายความรู้สึก ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันวัดกันด้วยเงินไม่ได้หรอก”

สวี่ชีอันนั่งอยู่บนม้า เอ่ยต่อไป “อย่าให้ท่านโหราจารย์ต้องรอนาน เจี้ย เจี้ย เจี้ย…”

สิ้นเสียง เจ้าม้าก็วิ่งเร็วขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง