ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 264

บทที่ 264 ฉู่หยวนเจิ่น ‘ให้ข้าออกไปก่อนดีหรือไม่’

ต้นวสันตฤดู ฝนตกหนัก ลมพัดแรง

เรือสำเภาลำหนึ่งฝ่าลมโต้คลื่น แรงลมพัดผืนผ้าใบจนโป่งพอง

หลังรับประทานอาหารกลางวัน ซ่งถิงเฟิงถือดาบไว้ในมือ ก้าวขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ และมองไปยังเมืองหลวงตามทิศทางลม

ระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่เพลิงสงครามลับความคมคายบนใบหน้าของเขา โลหิตชำระดวงตาของเขาจนเฉียบแหลม เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งไปอย่างมหาศาล

เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ซ่งถิงเฟิงไม่หันมอง แต่กลับชี้ไปทางทิศเหนือแล้วกล่าว “อีกสิบวัน ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”

จูกว่างเสี้ยวส่งเสียง ‘อืม’ มองไปทางทิศเหนือเคียงข้างซ่งถิงเฟิง เขายังคงเงียบขรึม นอกจากบุคลิกที่สุขุมและจริงใจมากขึ้น นอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก

ตรงกันข้ามก็คือซ่งถิงเฟิงที่กะล่อนปลิ้นปล้อน ดูเหมือนจะกลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว

“ด้วยการทำความดีความชอบในการสู้รบของข้าในอวิ๋นโจว ก็เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับภาพตระหนักรู้ของระดับหลอมวิญญาณ…” ซ่งถิงเฟิงยิ้ม “ข้าวางแผนว่าจะก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณ”

หากเป็นเมื่อก่อน จูกว่างเสี้ยวคงตกใจ ทำงานด้วยกันมาหลายปี เขารู้ว่าซ่งถิงเฟิงเป็นคนขาดความกระตือรือร้น แค่ได้คลุกคลีกับฆ้องทองแดงก็พึงพอใจแล้ว ตอนกลางวันออกไปลาดตระเวน ตอนกลางคืนไปเที่ยวสำนักสังคีต ดำเนินชีวิตอย่างสบายๆ

หากการทำความดีความชอบในการสู้รบของอวิ๋นโจวสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ คงเพียงพอสำหรับเขาที่จะอาศัยอยู่ในสำนักสังคีตเป็นเวลาหนึ่งปี

“อืม”

จูกว่างเสี้ยวพยักหน้า

ในเวลานี้ ฆ้องทองแดงอีกกลุ่มก็ออกมาตากลมบนดาดฟ้าเรือหลังจากรับประทานเสร็จ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก สีหน้าดูมีความสุขและตั้งตารอที่จะกลับบ้าน

“ถิงเฟิง รอให้ถึงเมืองหลวงแล้ว ไปดื่มสุราด้วยกันที่สำนักสังคีตเถิด” ฆ้องทองแดงที่รู้จักท่านหนึ่ง เดินมากอดคอ

ซ่งถิงเฟิงดูเหมือนจะไม่ได้ยิน และมองไปทางทิศเหนืออย่างเงียบขรึม

ฆ้องทองแดงผู้นั้นเดินจากไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

ซ่งถิงเฟิงพ่นลมหายใจขุ่นมัว พลางกล่าว “พรสวรรค์ของข้าไม่ได้ย่ำแย่ ติดอยู่จุดสูงสุดของระดับหลอมปราณมาหลายปีแล้ว รากฐานก็แข็งแกร่งพอแล้ว ปลายปีนี้คงจะก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณได้ไม่ยาก”

“ช่วงนี้ข้าคิดอยู่ตลอดว่า หากข้าไม่เกียจคร้าน หากข้าไม่ใช่คนที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น หากข้าอยู่ในระดับหลอมวิญญาณตอนอยู่ที่อวิ๋นโจว…”

ซ่งถิงเฟิงก้มศีรษะ กล่าวเสียงเบา “ไม่ไปสำนักสังคีตแล้ว จะไม่ไปอีกแล้ว”

จูกว่างเสี้ยวปิดปากเงียบ และตบบ่าของเขา

การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ ในตอนแรก อารองสวี่และสวี่ชีอันค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับสภาพของสวี่เอ้อร์หลาง จึงคอยไถ่ถามทุกข์สุข

ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร ตอนนี้สวี่ชีอันก็ปฏิบัติต่อสวี่เอ้อร์หลางเช่นนั้น

แต่ความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา ทำให้สวี่ผิงจื้อซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้ากองดาบ และสวี่ชีอันที่เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยุ่งจนหัวหมุน

ชาวยุทธ์มีนิสัยเหี้ยมโหด ก้าวร้าว พวกวีรบุรุษผู้กล้าหาญรักความเป็นธรรมจริงๆ ก็มี แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกสวะชั้นต่ำ คนปกติที่ไหนจะไปคลุกคลีกับชาวยุทธ์กัน

หากเงินหมด ก็เลือกลงมือกับครอบครัวเศรษฐีชื่อเสียงฉาวโฉ่สักสองสามครอบครัว จากนั้นก็ค่อยทำตัวเป็นใจบุญช่วยเหลือคนยากไร้ใกล้ตายสักครั้ง ก็ถือว่าเป็นจอมโจรคุณธรรมแล้ว

อย่างหลี่เมี่ยวเจินที่เป็นจอมยุทธ์หญิงผู้ส่งผ่านความดีงามสู่แผ่นดิน และสนับสนุนความยุติธรรมที่แท้จริง หาได้ยากนัก

ในเวลาเพียงสี่หรือห้าวัน ลำพังสวี่ชีอันคนเดียวก็จับชาวต่างแดนที่เมาแล้วก่อเหตุทะเลาะวิวาทได้หลายคนแล้ว ตามที่อารองบอก เมืองชั้นนอกจับกุม ‘สุภาพชนบนขื่อคาน[1]’ ได้ทุกคืน แต่เมืองชั้นในกลับสงบสุข

เนื่องจากเมืองชั้นในมีกฎห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน หากกองกำลังทั้งห้าของเมืองหลวงที่ลาดตระเวน พบเห็นใครออกมาเพ่นพ่านในยามราตรี ก็สามารถยกคันธนูขึ้นตักเตือนได้ เมื่อถึงตอนนั้น หากเลือกที่จะหลบหนี ก็จะถูกยิงสิ้นลมคาที่

ยิ่งถ้าเป็นผู้ต้องสงสัยที่เดินดุ่มๆ บนหลังคา ไม่จำเป็นต้องเตือนด้วยธนู เพราะมีสิทธิ์ที่เรียกว่าสังหารก่อนรายงานทีหลัง

เมื่อพบเห็นคนก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ปกติก็มักจะส่งเข้าคุก และรอให้พรรคพวกมาประกันตัว ความผิดลหุโทษที่ไม่ถึงโทษตายนั้นเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด

วันนี้สวี่ชีอันพาฆ้องทองแดงสองนายออกลาดตระเวน เดินผ่านหอนางโลมแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระเบื้องแตกดัง ‘เพล้ง เพล้ง‘

เมื่อมองขึ้นไป ก็เห็นชาวยุทธ์สองคนกำลังต่อสู้กันอยู่บนหลังคา

ในกลุ่มคนดูข้างล่าง มีทั้งคนชี้ไม้ชี้มือ ทั้งโห่ไล่ และโห่ร้องให้กำลังใจ

“มารดามันเถิด ไอ้หมาพวกนี้ อาวุธก็ยึดไปแล้วยังจะก่อเรื่องอีก” สวี่ชีอันก่นด่า และสั่งการฆ้องทองแดงที่อยู่ข้างกาย “ไป พามันลงมาให้ข้า และนำตัวกลับไปที่ทำการปกครอง”

ในที่นี้มีแต่ชาวบ้านธรรมดามุงดู ไม่เหมาะแก่การตีฆ้อง คลื่นเสียงของอาวุธเวทมนตร์จะทำให้ประชาชนที่อยู่รอบข้างบาดเจ็บได้

ฆ้องทองแดงสองนายพุ่งตัวและกระโดดขึ้นไป แล้วกล่าว “เมืองชั้นในห้ามมีเรื่องทะเลาะวิวาท ตามข้าไปที่ทำการปกครองเดี๋ยวนี้”

พวกเขากำลังเตือนไม่ให้อีกฝ่ายขัดขืน ความหมายเช่นเดียวกับการยกคันธนูขึ้นเพื่อตักเตือน

ใครจะคิดว่าชาวยุทธ์ทั้งสองจะสู้กันได้อย่างดุเดือด เหล่าทหารหาญเห็นดังนั้นก็รู้สึกโมโห ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เข้าไปคลุกวงในด้วย

หนึ่งในฆ้องทองแดงหลบหลีกการโจมตีด้วยเท้าสุดร้ายกาจได้อย่างหวุดหวิด ความโกรธพุ่งทะยาน ชักดาบออกมาเสียงดัง ‘ชิ้ง’ และหมุนตัวฟันกระบี่พลังปราณเข้าใส่

แม้ฆ้องทองแดงจะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลระดับต่ำสุด แต่การฝึกตนระดับหลอมปราณก็ถือเป็นมือดีในยุทธภพ ชาวยุทธ์ทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้

‘ติ๊ง!’

พลังปราณดีดขึ้นมาเองจากด้านล่าง ปะทะเข้ากับคมดาบของฆ้องทองแดงอย่างจัง จนตัวดาบหักจากกัน

ชาวยุทธ์ที่รอดชีวิตจากความตายฮึดสู้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด เตะยอดอกของฆ้องทองแดงไปหนึ่งที ฆ้องทองแดงที่ถูกเตะตกลงมาจากหลังคา ตีลังกากลางอากาศอย่างสวยงาม และลงสู่พื้นอย่างมั่นคง

สวี่ชีอันหรี่ตา ใช้นิ้วหัวแม่มือดีดดาบยาวสีดำทองออกมา

ราวกับรู้สึกถึงจิตสังหารของเขา ใครบางคนคนจากชั้นล่างตะโกนขึ้นมา “หยุด!”

เป็นชาวต่างแดนสองกลุ่มที่แต่งกายสะดุดตา คนหนึ่งเป็นคุณชายวัยละอ่อน และยังมีจอมยุทธ์หญิงรูปร่างอวบอึ๋ม หน้าตาสวยหยาดเยิ้ม ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีชายวัยกลางคนไม่ก็ชายชรายืนอยู่ด้านหลังพวกเขา

เมื่อได้ยินเหล่านายท่านตะโกนให้หยุด สองชาวยุทธ์จึงรามือ

สวี่ชีอันถือดาบพกไว้ในมือข้างหนึ่ง ย่างสามขุมเข้าไปอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น

“ใต้เท้าท่านนี้ ข้าน้อยลู่ฉุนจากตระกูลลู่แห่งจิงโจวขอรับ” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดฮั่นฝูสีขาวผู้หนึ่งประสานมือโค้งคำนับ

เมื่อเห็นสวี่ชีอันเดินเข้ามา ดวงตาของสาวงามทั้งหลายต่างเป็นประกายวับวาว

สวี่ชีอันพยักหน้า มองไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง กล่าวถาม “แล้วพวกท่านเล่า”

หัวหน้าของอีกฝั่งคือคุณชายที่มีบุคลิกอ้อนแอ้นท่านหนึ่ง เขาส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา ชายชราที่อยู่ข้างกายก็กุลีกุจอกล่าวแทน “เรียนใต้เท้า ตระกูลจ้าวแห่งจิงโจวขอรับ”

ตระกูลลู่และตระกูลจ้าวเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในจิงโจว ภายในตระกูลนอกจากเสาหลักที่เดินบนเส้นทางขุนนาง ยังมียอดฝีมือแห่งยุทธภพ คลุกคลีทั้งโลกมืดและสว่าง

พูดง่ายๆ ก็คือเศรษฐีบ้านนอก แต่แน่นอนว่าตระกูลใหญ่เช่นตระกูลลู่และตระกูลเจ้า ได้หลุดจากกรอบของ ‘เศรษฐีบ้านนอก’ ไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินจริง

ทั้งสองตระกูลยามอยู่ที่จิงโจวเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ต่างฝ่ายต่างแทงข้างหลังในหน้าที่การงาน และตีรันฟังแทงกันอีกในยุทธภพ เพราะมีความแค้นเกี่ยวพันกันมาช้านาน

ครั้งนี้มาชมการต่อสู้ที่เมืองหลวง แล้วบังเอิญพบเจอกันกลางทางพอดี

ทั้งสองฝ่ายพูดจาถากถางกันไม่กี่ประโยค ก็บังเกิดเพลิงโทสะ แต่ยังถือว่ายับยั้งชั่งใจได้ จึงส่งเพียงยอดฝีมือที่เลี้ยงดูมาสองคนขึ้นไปต่อสู้กันบนหลังคาแทน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง