บทที่ 265 เคล็ดวิชาของสวี่ชีอัน
โชคดีที่ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าระดับสองผู้งดงาม ไม่ได้สนใจแผนการของสวี่ชีอันมากนัก และยิ่งไม่สนใจที่จะตอบคำถามของฉู่หยวนเจิ่น ดวงตาสดใสคู่งามมองไปที่สวี่ชีอัน แล้วพูดเบาๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ขณะที่ข้าฝึก ‘กระบี่ใจ’ ได้ประสบกับปัญหายุ่งยาก ใคร่ขอให้ท่านราชครูช่วยคลายข้อสงสัยให้ด้วย” สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“การเริ่มฝึกกระบี่ใจนั้นยากมากจริงๆ” ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าและพูดว่า “หยวนเจิ่น เจ้าช่วยชี้แนะใต้เท้าสวี่แทนข้าด้วย ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ฝ่าบาท? ตาเฒ่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะมาด้วยหรือ…ผู้นำเต๋าเอ๋ย กระบี่ใจข้าได้ฝึกขั้นพื้นฐานแล้ว ข้าไม่ได้ขอคำแนะนำเรื่องสูตรคูณจากเจ้า แต่ข้าต้องการขอคำแนะนำเรื่องแคลคูลัสต่างหาก…สวี่ชีอันเย้ยหยันอยู่ในใจ
เหตุผลที่ไม่ได้พูดออกมา เป็นเพราะร่างของลั่วอวี้เหิงหายไปแล้ว ประตูไม่ได้เปิด หน้าต่างไม่ได้เปิด ผู้หญิงคนนี้หายไปจากห้องที่เงียบสงบต่อหน้าต่อตาเช่นนี้เลยหรือ
“นี่มันอภินิหารอะไรกัน?” สวี่ชีอันรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
“ไม่ใช่อภินิหาร” ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหัว แล้วอธิบายว่า “เดิมทีมันเป็นความคิดของท่านผู้นำเต๋า เมื่อครู่เป็นเพียงการเอาคืนแค่นั้นเอง”
ฝีมือของยอดฝีมือระดับสูงช่างน่าพิศวงยิ่งนัก…
วันนี้สวี่ชีอันสามารถมาที่อารามรัตนะได้ สาเหตุสำคัญคือจงหลีผู้โชคร้ายมีธุระต้องกลับไปที่สำนักโหราจารย์ ไม่เช่นนั้นคนที่ไม่สามารถเข้าไปในอารามรัตนะได้เช่นนาง มีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบอุบัติเหตุในเขตพระราชฐาน ไม่ใช่สิ ที่เป็นไปได้มากกว่านั้นก็คืออาจทำให้เขตพระราชฐานต้องประสบกับเหตุที่คาดไม่ถึง
ตัวอย่างเช่นจู่ๆ หลิงหลงก็กลายเป็นบ้า แล้วสร้างความหายนะในเขตพระราชฐานอย่างกำเริบเสิบสาน
ช่วงเวลาตั้งแต่เดินทางจากอวิ๋นโจวกลับมาเมืองหลวง สวี่ชีอันมักจะเข้าออกเขตพระราชฐานเพื่อสืบสวนคดีต่างๆ แต่เขาไม่เคยไปดูหลิงหลงแม้แต่ครั้งเดียว สำหรับราชวงศ์แล้วสัตว์ประหลาดตัวนี้มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าแตะต้องมัน
หากมีคนเห็นว่าหลิงหลงกลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ของสวี่ชีอัน แล้วเล่าลือกันไป เกรงว่าหัวจะหลุดจากบ่า
“การเริ่มฝึกกระบี่ใจขั้นพื้นฐานนั้นยากมากจริงๆ เพราะทหารไม่ชำนาญเกี่ยวกับจิตเดิมเอาเสียเลย…” ฉู่หยวนเจิ่นกำลังจะบรรยายเกี่ยวกับความหมายที่ลึกซึ้งของกระบี่ใจ แต่เขาเพิ่งเอ่ยปากพูดได้ครึ่งประโยค ก็ถูกสวี่ชีอันขัดจังหวะ
“พี่ฉู่ ขอโทษเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้เจ้าเข้าใจผิด” สวี่ชีอันกล่าวอย่างสำรวมว่า “ข้าได้ฝึกกระบี่ใจขั้นพื้นฐานแล้ว”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า ไม่ได้สนใจมากนัก ถามว่า “ฝึกกระบี่ใจมานานแค่ไหนแล้ว”
สวี่ชีอันคิดทบทวนครู่หนึ่ง “ประมาณสิบวัน”
ฉู่หยวนเจิ่นตกตะลึง จ้องหน้าสวี่ชีอันอย่างสงบและพูดอย่างสุภาพว่า “อย่าได้ล้อเล่น”
สิบวันแห่งการฝึกกระบี่ใจขั้นพื้นฐาน จิตเดิมจะต้องอยู่ในระดับใด? แม้แต่สาวกที่ฝึกฝนหัวใจสำคัญของลัทธิเต๋า ก็ยังไม่กล้าพูดว่าลัทธิเต๋าสามารถฝึกขั้นพื้นฐานได้ภายในสิบวัน
“ข้าไม่เคยพูดปด” สวี่ชีอันยิ้ม
“พรสวรรค์ของพี่สวี่ทำให้ข้ารู้สึกตกใจ ไม่ฝึกวิชาของนิกายมนุษย์ ช่างน่าเสียดาย” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยความประหลาดใจ
อย่า อย่ามีความคิดเช่นนี้เด็ดขาด มิฉะนั้นนิกายมนุษย์ก็จะต้องตำหนิว่าสวี่ผิงจื้อไม่ใช่คนเช่นกัน ท่านอาของข้าไม่มีความผิดเลย…
ฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนทะนงตัวและไม่แสดงออก เขามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของปัญญาชน และดื้อรั้นเช่นจอมยุทธ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยแสดงออกด้วยคำพูด
เมื่อเทียบกับเอ้อร์หลางผู้ทะนงตัว หมายเลขสี่เหมือนคนในสังคมที่มีประสบการณ์สูงมากกว่า…สวี่ชีอันพึมพำเบาๆ
แน่นอนว่า คนในสังคมที่มีประสบการณ์สูงไม่จำเป็นต้องเป็นคนสุขุมและไม่แสดงออก ตัวสวี่ชีอันเองก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง เขาเข้าใจโลก แต่ยังคงชอบคุยโว ยังคงเป็นชายหนุ่มที่ชอบเติมเงิน ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง
“พี่ฉู่คิดว่าสำนักสังคีตทุกแห่งของต้าฟ่งมีอะไรแตกต่างกันบ้าง”
กำลังคุยเรื่องเคร่งเครียดจริงจังกันอยู่แท้ๆ จู่ๆ สวี่ชีอันก็ถามขึ้นมา ถึงแม้ฉู่หยวนเจิ่นจะรู้สึกฉงนอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงตอบตามความจริง
“หลังจากละทิ้งตำรามาบำเพ็ญพรต ข้าก็ไม่เคยนอนค้างที่สำนักสังคีตอีกเลย”
ความหมายแฝงคือ ข้าบำเพ็ญตบะแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน สวี่ชีอันก็ถามอีกว่า “เวลาแห่งการแลกเปลี่ยนปรัชญาใกล้เข้ามาแล้ว พี่ฉู่คิดอย่างไรกับหลี่เมี่ยวเจินแห่งนิกายสวรรค์”
ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำว่า “กล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”
ไอ้บ้าเอ๊ย ไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย…สวี่ชีอันยิ้มแล้วพูดว่า “เราคุยกันต่อ”
แต่ไม่นาน สวี่ชีอันก็พูดสอดอย่างน่ารำคาญขึ้นอีกครั้ง “พี่ฉู่ ราชครูโดนไฟแห่งวิบากกรรมทรมานอย่างหนัก เจ้ารู้สึกทรมานแบบเดียวกันบ้างหรือไม่”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยความงงงันว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”
สวี่ชีอันผู้มีไหวพริบรีบแก้ตัวว่า “เว่ยกงเคยบอกข้า”
‘อย่างนี้นี่เอง เว่ยเยวียนช่างทุ่มเทอบรมสั่งสอนเขาจริงๆ ถือว่าเขาเป็นคนสนิทและไว้เนื้อเชื่อใจ…’ ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า ยอมรับคำอธิบายนี้ และคิดว่ามันสมเหตุสมผล
เหมือนกับที่หมายเลขหนึ่งเคยกล่าวไว้จริงๆ ว่าสวี่ชีอันคนนี้ได้รับความชื่นชมจากเว่ยเยวียนอย่างมาก
“ข้าเพียงฝึกเพลงดาบของนิกายมนุษย์เท่านั้น ไม่ได้ฝึกหัวใจสำคัญ”
“หมายความว่าอย่างไร” สวี่ชีอันไม่เข้าใจ
“หากตัดสินโดยระบบของทหาร ข้าอยู่ในระดับหลอมวิญญาณ แต่ข้าฝึกกระบี่ใจ กระบี่ปราณและกระบี่บินของนิกายมนุษย์เป็นหลัก”
“แล้วเจ้าเลื่อนขั้นได้อย่างไร ระดับต่อไปคือระดับอะไร”
วิชาดาบทั้งสามเป็นวิธีพิชิตศัตรู ไม่ใช่รากฐานของระบบ กล่าวคือทางที่ฉู่หยวนเจิ่นเดินไม่ใช่ระบบของลัทธิเต๋า แต่ใช้ระบบทหารเป็นพื้นฐาน ฝึกเพลงดาบของนิกายมนุษย์เป็นหลัก
“ไม่รู้”
ฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนง่ายๆ ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว “ถนนอยู่ข้างหน้า แค่เดินไปตามทางก็เท่านั้น”
“พวกเราจะคุยเรื่องทักษะการสู้รบจริงของกระบี่ใจต่อ…”
เริ่มคุยเรื่องกระบี่ใจ แล้วฉู่หยวนเจิ่นก็ค่อยๆ พบว่าความรู้ในการบำเพ็ญของสวี่ชีอันนั้นตื้นเขินมาก ไม่เหมือนคนที่ที่อยู่ในระดับหลอมวิญญาณแม้แต่น้อย
‘จริงสิ เขาเพิ่งเข้าสู่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหลังจากคดีเงินภาษีเมื่อเดือนสิบปีที่แล้ว ในตอนนั้นเขาอยู่ในระดับหลอมจิต…ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีก็ทะยานสู่ทหารระดับเจ็ด มีพรสวรรค์น่ากลัวอย่างยิ่ง…’ ฉู่หยวนเจิ่นนึกถึงข้อมูลของสวี่ชีอัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที จึงพูดว่า “การพูดแต่ทฤษฎีเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก พี่สวี่ พวกเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่า”
เขาชอบประลองฝีมือกับคนเก่ง จะได้สังเกตและเรียนรู้ข้อดีของอีกฝ่าย
สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้รู้เบื้องหลังของหมายเลขสี่ จึงรีบพยักหน้าทันที “ตกลง พี่ฉู่อย่าลืมออมมือด้วย”
…
อีกด้านหนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งและลั่วอวี้เหิงนั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะที่ตั้งระหว่างพวกเขาสองคนมีชาร้อนๆ วางอยู่
“คนของนิกายสวรรค์กำลังจะมาเมืองหลวงแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นมั่นใจว่าจะเอาชนะนางได้หรือไม่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงจิบพระสุธารสชาร้อน และไอที่ลอยในอากาศทำให้พระพักตร์ของพระองค์ดูเลือนราง
“พูดยาก!”
ลั่วอวี้เหิงกำลังถือชาอยู่ในมือ ท่าทางเย็นชา “แม้ว่าหลี่เมี่ยวเจินจะอยู่ในระดับห้า แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะก้าวเข้าสู่ระดับสี่รวมปราณ หากฉู่หยวนเจิ่นไม่ชักกระบี่ ก็ยากที่จะรู้ผลแพ้ชนะ ”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นรุ่นหลังที่ยอดเยี่ยมทุกคน ต้าฟ่งของข้าไม่มีคนหนุ่มสาวที่ควรค่าที่ข้าจะให้ความสนใจมานานแล้ว” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสด้วยความสะเทือนพระทัย
“คำพูดของฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร ฉู่หยวนเจิ่นเป็นถึงจอหงวนของหยวนจิ่งปีที่ยี่สิบเจ็ด” ราชครูหญิงหัวเราะเบาๆ
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงส่ายพระพักตร์ ฉู่หยวนเจิ่นละทิ้งทิ้งตำแหน่งข้าราชการไปเป็นคนธรรมดา ท่องไปในยุทธภพ ไม่ได้ถูกราชสำนักส่งตัวไปปฏิบัติงานนานแล้ว
พูดแล้วก็แปลก สิบกว่าปีมานี้ ต้าฟ่งไม่เพียงกำลังถดถอยลงทุกวัน แม้แต่คนเก่งก็น้อยลงทุกที โดยเฉพาะไม่กี่ปีมานี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้พบคนรุ่นหลังที่ทำให้พระองค์ทรงพอใจมาเป็นเวลานานแล้ว
“ท่านราชครูวางแผนที่จะโต้ตอบผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์อย่างไร” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงหันมาถาม
แน่นอนว่าพระองค์ไม่มีวันที่จะมาหาลั่วอวี้เหิงเพราะเรื่องของหลี่เมี่ยวเจินอย่างแน่นอน สิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงกังวลก็คือการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์ที่จะตามมา
“ในการต่อสู้กันครั้งก่อน ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่ง พ่อของเจ้ากับเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด และไม่รู้ผลแพ้ชนะ” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสเบาๆ
ขณะที่ตรัสคำพูดเหล่านี้ พระองค์ทรงจ้องมองใบหน้าที่สดใสงดงามของลั่วอวี้เหิงด้วยสายพระเนตรแหลมคม เป็นการบอกความนัยที่ชัดเจนยิ่ง
การบำเพ็ญคู่เป็นเรื่องดีที่ช่วยเอื้อประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ใช่การเสริมเวทมนตร์ที่ได้รับประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว
ลั่วอวี้เหิงต้องการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากการบำเพ็ญคู่กับพระองค์แล้วก็ไม่มีวิธีอื่น
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็เกิดคลื่นพลังปราณอย่างรุนแรงขึ้น จนทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งและลั่วอวี้เหิงต่างตื่นตระหนกตกใจ
มีคนต่อสู้กันในอารามรัตนะ?
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพบกับเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก
ลั่วอวี้เหิงรวบรวมสมาธิเพ่งมองครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มอย่างจนใจ
“ท่านราชครู เกิดอะไรขึ้น” จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดพระขนง
“ฉู่หยวนเจิ่นกำลังประลองฝีมือกับสวี่ชีอัน” ลั่วอวี้เหิงตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง