บทที่ 266 ข้อความของหมายเลขห้า
ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นเป็นประกาย เขาไม่โกรธ แต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขายิ้มและกล่าวว่า “การแลกเปลี่ยนความรู้เมื่อสักครู่นี้น่าเบื่อเล็กน้อย เจ้ามีเคล็ดวิชาอะไรก็จงใช้ออกมาอย่าได้ลังเล”
สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าจะเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งครั้ง หลังจากการเคลื่อนไหวหนึ่งครั้ง การแลกเปลี่ยนความรู้ของพวกเราก็จะสิ้นสุดลง”
เขาป้องกันไม่ให้ฉู่หยวนเจิ่นคว้ามีด สะบัดมือโต้กลับและแทงเขาจนกลายเป็นเม่น ถึงตอนนั้นสวี่ชีอันก็คงเสียชีวิต สิริอายุได้ยี่สิบปี
ฉู่หยวนเจิ่นไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “หลังจากใช้เคล็ดวิชา เจ้าจะเข้าสู่ช่วงอ่อนแอหรือ”
บัณฑิตจอหงวนช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง! สวี่ชีอันชื่นชมเล็กน้อยและพยักหน้า “ใช่”
“เคล็ดวิชาอะไรหรือ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนมองไปทางลั่วอวี้เหิงที่อยู่ข้างๆ
ลั่วอวี้เหิงส่ายหัว อันที่จริงนางรู้ แต่นางไม่อยากอธิบายแก่จักรพรรดิหยวนจิ่ง เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
ท่าทางสงบจิตสงบใจของนางทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งแอบขมวดคิ้ว ในฐานะผู้ที่อยู่จุดสูงสุด เขาครอบครองดินแดนหลายแสนลี้ของต้าฟ่งและบงการความเป็นความตายของพสกนิกร
แต่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ เขากลายเป็นจักรพรรดิที่ไม่มีสิ่งใดและไม่มีข้อได้เปรียบใดเลย
จักรพรรดิหยวนจิ่งอยากบำเพ็ญคู่กับราชครูมาตลอดเพื่อบรรลุความปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ทุกครั้งที่เขาเสนอแนวคิดนี้ ลั่วอวี้เหิงก็มักจะเพิกเฉยไม่ก็หลบเลี่ยง
ต่อหน้าผู้นำเต๋าระดับสองผู้นี้ เขาเหมือนกลายเป็นเด็กยากจนที่ทรัพย์สินของครอบครัวร่อยหรอ นี่ทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งท้อแท้มาก
‘ชิ้ง!’
ภายในสวน สวี่ชีอันเก็บดาบยาวสีดำทองกลับเข้าไปในฝักดาบ
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้า ย่อเข่าลงเล็กน้อย มือขวาค่อย ๆ จับด้ามดาบและตั้งท่าเตรียมจะชักดาบออกมา
ลมหายใจคงที่ อารมณ์สงบนิ่ง เขาดูเหมือนกับชายฝั่งก่อนที่จะเกิดสึนามิ พลังปราณหดตัวและพังทลายลงในร่างของเขา
ฉู่หยวนเจิ่นแสดงสีหน้าจริงจังออกมาและชี้มือขึ้นราวกระบี่ ก่อนจะกวักมือเบาๆ เรียกกิ่งไม้มาถือไว้ในมือ เขาใช้กิ่งไม้แทนกระบี่
‘ชิ้ง…’ ขณะที่สวี่ชีอันใช้นิ้วโป้งดันดาบยาวสีดำทองออกมา ในหัวก็นึกถึงภาพสิงโตสีทองคำราม ตามด้วยเสียงคำรามอันทรงพลัง เขาชักดาบออกมา
“เสียงระเบิด” ดังสนั่นข้างหูฉู่หยวนเจิ่น ราวกับสายฟ้าฟาดเหนือศีรษะเขา จากนั้นเขาก็เห็นปราณดาบเส้นบางๆ สว่างวาบแล้วหายไป
ในช่วงวิกฤตินี้ บัณฑิตจอหงวนยื่นกิ่งไม้ในมือออกไปอย่างใจเย็น
‘ตูม!’
พริบตาที่กิ่งไม้ปะทะกับปราณดาบ คลื่นกระแทกรุนแรงก็กวาดไปทั่วทั้งสวนทันที ภูเขาเทียมใต้เท้าฉู่หยวนเจิ่นระเบิดก่อน ตามด้วยศาลาที่อยู่ด้านหลังเขา เสาสี่ต้นหัก ยอดศาลาลอยกระเด็นขึ้นไปบนฟ้าสูง
น้ำในสระที่สงบนิ่งเกิดคลื่นโหมกระหน่ำ เมื่อเห็นว่าห้องที่เงียบสงบข้างหลังกำลังจะพังทลาย ริมฝีปากแดงของลั่วอวี้เหิงก็เผยอขึ้นเล็กน้อย “ตั้งไว้!”
คลื่นกระแทกรุนแรงหยุดนิ่งทันทีและหายไป
ในสนาม สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิ วางดาบไว้บนเข่า สีหน้าห่อเหี่ยว
แขนเสื้อของฉู่หยวนเจิ่นขาดไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นท่อนแขนอันทรงพลังที่มีกล้ามเนื้อชัดเจน เขางอนิ้วทั้งห้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็คลาย ทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและถอนหายใจ
“เก่ง เก่งมาก…หากเจ้าอยู่ระดับห้า ดาบนี้อาจทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัสได้”
บ้าเอ้ย ข้าโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่ตัดได้เพียงความอ้างว้าง…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ เขาเงยหน้าขึ้น เลียนแบบสีหน้าท่าทางของสวี่เอ้อร์หลางและเอ่ยเสียงเรียบ
“สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถประมือกับหลี่เมี่ยวเจินได้ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง”
‘สวี่ชีอันเป็นคนที่น่าภาคภูมิใจคนหนึ่งและความเย่อหยิ่งของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่…’ ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า
จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดตามองสวนและหันไปมองลั่วอวี้เหิง ราชครูหญิงที่รูปโฉมงามเลิศล้ำจ้องมองสวี่ชีอันอย่างแน่วแน่
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เผยรอยยิ้มร่าเริงออกมา “ฉู่หยวนเจิ่นสมกับเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายมนุษย์ การฝึกระดับนี้หาได้ยาก สวี่ชีอันยังคงห่างไกล แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงฆ้องเงินคนหนึ่งเท่านั้น เขายังต้องฝึกอย่างหนัก”
เขาดูเหมือนจะชื่นชมฉู่หยวนเจิ่นและเหยียบสวี่ชีอัน แต่ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม ฆ้องเงินเพียงคนเดียวก็ตัดแขนเสื้อของฉู่หยวนเจิ่นได้ ฆ้องเงินเช่นนี้ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยังมีอีกมากมาย
ลั่วอวี้เหิงฝืนยิ้ม
จักรพรรดิหยวนจิ่งร่าเริงขึ้นเรื่อยๆ ทันทีและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังมีธุระต้องทำในวัง จึงอยู่นานไม่ได้ ราชครูไปส่งข้าเถิด”
ลั่วอวี้เหิงผายมือเชิญ
ในเวลานี้เอง จู่ๆ สวี่ชีอันที่อยู่ในลานก็ตะโกนว่า “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ฉู่หยวนเจิ่นก็โค้งคำนับ แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
จักรพรรดิหยวนจิ่งกับลั่วอวี้เหิงหยุดฝีเท้า จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดตามองสวี่ชีอันที่เลื่อนขั้นเป็นฆ้องเงินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยตวามสง่างามผ่าเผย เขาไม่ตีหน้าขรึมอย่างหาได้ยากและพยักหน้า
“การประลองช่างยอดเยี่ยม สวี่ชีอัน พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลว อย่าทำให้การฝึกที่ราชสำนักมอบให้เจ้าเสียเปล่า”
สวี่ชีอันตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอบพระทัยสำหรับการฝึกของฝ่าบาท กระหม่อมจะทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถ ตราบจนชีวิตหาไม่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจและเดินเคียงข้างลั่วอวี้เหิงไปทางด้านนอกวัดหลวง
การสรรเสริญทางวาจาที่ไร้ประโยชน์นั่นไม่ได้แสดงออกมาอย่างจริงใจเลยสักนิด…สวี่ชีอันมองแผ่นหลังของทั้งสองคนและเบ้ปาก
เมื่อมองไม่เห็นงาร่างของทั้งสองคนแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่สวี่โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังเดินไปทางห้องที่เงียบสงบ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ประตูห้องที่เงียบสงบก็เปิดออก ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยเสียงดัง “พี่สวี่เชิญเข้ามาดื่มชา”
สวี่ชีอันก้าวข้ามธรณีประตูไปและเห็นฉู่หยวนเจิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีขาวพระจันทร์ ส่วนชุดสีครามที่แขนเสื้อขาดตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“เอ๋ พี่ฉู่ไปเอาเสื้อผ้ามาจากไหนหรือ แล้วชุดสีครามตัวนั้นล่ะ” สวี่ชีอันแสร้งมองไปรอบๆ
“ข้ามีอาวุธเวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของ” ฉู่หยวนเจิ่นรินชาให้เขาและอธิบายอย่างอ่อนโยน
นี่ ข้าอยากจะพูดต่อว่า ‘ว้าว พี่ฉู่ยอดเยี่ยมจริงๆ ใช่คาถาเอกภพในแขนเสื้อหรือไม่! คนที่ซื่อสัตย์เช่นเจ้ามีเสียที่ไหน ชิ ไม่ให้โอกาสข้าเลย ซื่อสัตย์กว่าหลี่เมี่ยวเจินอีก!’ สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจและถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าให้ข้าดูได้หรือไม่”
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้า “ผู้อาวุโสที่มอบของวิเศษให้ข้าเคยบอกว่า ไม่ควรเผยให้ผู้อื่นเห็น”
การปฏิเสธผู้คนก็ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่เป็นไรๆ” สวี่ชีอันตอบกลับอย่างเสียดาย
คำเตือนทำนองเดียวกัน นักบวชเต๋าจินเหลียนก็บอกเขาว่า หลักๆ ก็เพื่อป้องกันนักพรตของนิกายปฐพี อย่างไรเสียนิกายปฐพีก็เป็นนิกายที่สืบทอดกันมานับพันปี แม้ว่าจะเกิดความแตกแยกเมื่อหลายปีก่อน แต่ขุมพลังเบื้องหลังก็ยังคงลึกล้ำมาก
ไม่อาจประมาทได้
“พี่ฉู่ไม่ใช่บัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่หรอกหรือ” สวี่ชีอันถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง