บทที่ 267 การสอบระดับจอหงวนรอบสุดท้าย
ลี่น่าตื้นตันใจอย่างสุดซึ้งเมื่อเห็นว่าสมาชิกพรรคฟ้าดินห่วงใยนางขนาดนี้ จึงสาธยายว่าตนถูกหลอกอย่างไร
‘ขอบคุณพวกเจ้าทุกคนที่เป็นห่วง ข้าอยู่ที่ยงโจว เมื่อเช้านี้ได้พบกับนักพรตเต๋าชราผู้หนึ่ง เขาบอกว่าข้ามีโครงกระดูกที่พิเศษ เป็นพรที่สวรรค์ประทานเพียงหนึ่งในล้าน ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดีจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่เห็นความพิเศษของข้าท่ามกลางผู้คนมากมายหรอก…’
ไม่ใช่ นั่นมันก็แค่คำพูดอารัมภบทของพวกปลิ้นปล้อนเท่านั้น เจ้าโง่จริงๆ หรือแค่หลงตัวเองกันแน่เนี่ย?! สวี่ชีอันข่มความอยากส่งข้อความไปค่อนขอดเอาไว้
หมายเลขสอง ‘แล้วเจ้าก็ถูกเขาหลอกโดยไม่สงสัยเลยหรือ’
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวในเชิงสั่งสอน
เมื่อนางเผชิญกับความอยุติธรรมเช่นนี้ ลำพังตัวเองก็ไร้ซึ่งกำลัง ไม่อาจทำอะไรได้ มันน่าโมโหจนอยากจะดิ้นตาย
ลี่น่ารีบส่งข้อความแก้ตัว ‘ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกน่า’
‘เจ้าไม่โง่แล้วใครโง่’ ทุกคนในพรรคฟ้าดินแอบค่อยแขวะอยู่ในใจ
‘นักพรตเต๋าเฒ่าผู้นี้มีความสามารถจริงๆ เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าข้าเป็นอัจฉริยะ แต่ยังรู้ว่าข้ามาจากชายแดนใต้ ยามที่ข้าจากซินเจียงตอนใต้มา ข้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบต้าเฟิง และปลอมตัวเป็นหญิงต้าเฟิงอย่างสมบูรณ์แบบ’
หมายเลขสี่ ‘แล้วสำเนียงล่ะ เปลี่ยนสำเนียงบ้างหรือไม่’
หมายเลขห้า ‘สำเนียงอะไร’
กลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพีเงียบไปชั่วขณะ ไต้ซือเหิงหย่วนจึงส่งข้อความตอบกลับ ‘ไม่เป็นไร หมายเลขห้า เจ้าพูดต่อเถิด’
หมายเลขห้า ‘นักพรตเต๋าชรากล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการผจญโลกกว้างก็คือค่าเดินทาง เขาถามข้าว่าข้าจะไปที่ใด ข้าจึงบอกเขาว่าข้ากำลังจะไปเมืองหลวง นักพรตเต๋าเฒ่าถามข้าว่าข้ามีเงินเท่าไร ข้าบอกเขาว่าข้ามีหกสิบตำลึง จากนั้นเขาก็พูดว่า หนทางไปยังเมืองหลวงนั้นยาวไกล หกสิบตำลึงไม่เพียงพอ’
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็รู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมของนักต้มตุ๋นกำลังจะมา
หมายเลขห้า ‘นักพรตเต๋าชรากล่าวว่าเขามีหม้อสมบัติอยู่ สามารถเสกเงินให้เพิ่มพูนขึ้นได้ หากใส่เงินอีแปะลงไป วันรุ่งขึ้นก็จะมีเหรียญทองแดงเต็มหม้อ ใส่ตำลึงเงินลงไปหนึ่งเหรียญ วันรุ่งขึ้นก็จะมีตำลึงเงินเต็มหม้อ’
หมายเลขสี่ ‘แล้วเจ้าเชื่องั้นหรือ’
หมายเลขห้า ‘ตอนแรกข้าไม่เชื่อ แต่นักพรตเต๋าชราแสดงให้เห็นต่อหน้าข้า เขาขอให้ข้าใส่เศษเงินแล้วใช้ผ้าคลุมหม้อสมบัติ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็มีเศษเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายชิ้น นักพรตเต๋าชราบอกว่าของวิเศษของเขาจะมอบให้กับคนที่ถูกลิขิตเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงขายมันให้ข้าในราคาหกสิบตำลึง…
‘ข้าใส่เงินที่เหลือติดตัวอีกสองอีแปะลงไปในหม้อ แต่ผ่านมาสองชั่วยามกว่าแล้ว เงินก็ยังไม่งอกออกมา’
สติปัญญาของหมายเลขห้าช่างน่าประทับใจจริงๆ… สวี่ชีอันขำก๊าก หากต้องการฉกเงินจากสาวน้อยจอมป่าเถื่อน จะขโมยหรือปล้นล้วนเปล่าประโยชน์ วิธีเดียวที่ใช้ได้คือการต้มตุ๋น
หมายเลขสอง ‘หมายเลขห้า ของวิเศษล้ำค่า มองได้แต่ตาไม่อาจครอบครอง จะมีใครยกให้เจ้าโดยไร้ซึ่งเหตุผลได้อย่างไร เจ้าต้องจดจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนนะ’
หมายเลขห้า ‘แต่ว่า ตอนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนให้ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีแก่ข้า เขาก็กล่าวว่าในตอนแรกว่าของวิเศษจะมอบให้เฉพาะกับผู้ที่ถูกลิขิตไว้เท่านั้น’
หมายเลขสอง ‘ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนักบวชเต๋า’
นักบวชเต๋าจินเหลียน “…”
“ฮ่าๆๆ” สวี่ชีอันหัวเราะลั่นเหมือนหมูร้อง
“ความตั้งใจเดิมของจินเหลียนที่ก่อตั้งพรรคฟ้าดิน คือเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เพื่อล้อเลียนใคร”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงนุ่มนวล เปี่ยมเสน่ห์ของหญิงสาวในวัยสุกงอมลอยมาจากด้านหลัง
เสียงหมูร้องชะงักค้าง สวี่ชีอันหันหันหน้าไปอย่างกระอักกระอ่วนและเหลือบไปเห็นลั่วอวี้เหิงซึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ จึงรีบลุกขึ้นยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ “ท่านราชครู”
ลั่วอวี้เหิงสวมเสื้อคลุมขนนกดูงดงาม ด้านหลังปักรูปไทจี๋ [1]ผมสีดำขลับของนางถูกปักด้วยปิ่นหยกสีดำ ใบหน้านวลผ่องของนางราวกับหยกขาว เครื่องหน้างามราวภาพวาด สง่าราวกับนางฟ้านางสวรรค์
ชาดที่แต้มตรงหว่างคิ้วยิ่งส่งให้ดูเหมือนนางสวรรค์กว่าเดิม
ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี แววตาคล้ายจะเคลือบแฝงรอยยิ้ม นางเอ่ยเสียงเบา “หมายเลขห้ามาจากเผ่าพันธุ์กู่ของซินเจียงตอนใต้หรือ”
เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ เจ้าแอบมองอยู่ข้างหลังข้ามานานเท่าไรแล้วเนี่ย… สวี่ชีอันตอบตามความจริง “ดูเหมือนว่าจะมาจากเผ่าลี่กู่ขอรับ”
ลั่วอวี้เหิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ และแสดงความคิดเห็น “พละกำลังเป็นหนึ่งไม่มีสอง”
สวี่ชีอันลอบมองริมฝีปากแดงจุ๋มจิ๋มราวกับเชอร์รี่ของราชครู “แข็งแกร่งยิ่งกว่าทหารอีกหรือขอรับ”
ลั่วอวี้เหิงมีท่าทีนิ่งเฉยเย็นชา งดงามราวกับแกะสลักจากหยกขาว นางกลับไปหย่อนตัวลงบนเบาะนั่งของตนแล้วพูดว่า “ลำพังแค่ความแข็งแกร่ง เหล่าทหารก็ยังห่างชั้นกับยอดฝีมือของเผ่าลี่กู่อยู่มาก”
“กลยุทธ์ของเผ่าทั้งเจ็ดในเผ่าพันธุ์กู่นั้นเรียบง่ายเกินไป ไม่ว่าเผ่าไหนก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่เมื่อใดที่ทั้งเจ็ดเผ่ารวมพลังกัน เมื่อนั้นแม้แต่ศาสนาพุทธก็ยังต้องหวาดหวั่น”
ฟังดูเหมือน ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ของข้าไม่มีผิด ที่พัฒนาจนสุดขั้ว หาใช่พัฒนา ‘ความแข็งแกร่งและความสวยงาม’ อย่างรอบด้าน… สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย
วันนี้ราชครูคนงามพูดได้ดี นางกล่าวต่อ “เมื่อครู่ได้ยินฉู่หยวนเจิ่นพูดถึงเทพปีศาจโบราณกับเจ้า เทพเจ้ากู่เป็นเทพปีศาจเพียงตนเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลก”
“เทพปีศาจมีจริงหรือ” สวี่ชีอันตกตะลึง
“เว้นแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว สัตว์ประหลาดที่มีอยู่ในจิ่วโจวล้วนแต่เป็นทายาทของเทพปีศาจทั้งสิ้น เจ้าเคยไปอวิ๋นโจวหรือไม่ สัตว์ประหลาดในตำนานของเมืองไป๋ตี้เป็นลูกหลานของเทพปีศาจ เจียวแห่งซินเจียงตอนใต้ มังกรวิญญาณในเขตพระราชฐานนั่นด้วย…พวกมันล้วนเป็นทายาทของเทพปีศาจทั้งสิ้น”
เทพปีศาจที่ว่าฟังๆ ไปก็เหมือนไดโนเสาร์เลยแฮะ… สวี่ชีอันสันนิษฐาน “เช่นนั้นเทพปีศาจสูญพันธุ์ได้อย่างไรขอรับ”
คงไม่ใช่ภูเขาไฟระเบิดหรืออุกกาบาตหรอกนะ
ลั่วอวี้เหิงไม่ตอบ นัยน์ตาสวยของนางหลุบลงครึ่งหนึ่ง และนั่งเงียบไม่พูดจา
สวี่ชีอันแอบมองลั่วอวี้เหิง แม้ว่าราชครูจะมีภาพลักษณ์อันหลากหลายทำให้สวี่ชีอันเห็นภาพ ‘น้องสาวผมขาว’ ‘เพื่อนร่วมชั้นวัยเด็ก’ ‘พี่สาว 36 D’ และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ส่วนใหญ่แล้วรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางก็คือ ‘คุณน้าผู้อ่อนโยน’
หญิงสาววัยสุกงอมช่วงอายุสามสิบหรือสี่สิบ ใบหน้าขาวผ่องงามหมดจด ไร้ซึ่งความสดใสของสาวน้อยแรกแย้มหรือเสน่ห์เย้ายวนของหญิงสาววัยสะพรั่ง แต่นางมีความสง่างามแฝงด้วยความเยือกเย็นตามแบบฉบับผู้อาวุโส
สวี่ชีอันชื่นชมความงามของราชครูโดยไม่ตะขิดตะขวง ลั่วอวี้เหิงรู้จักเสน่ห์ของตัวเองดีที่สุด ขอแค่ไม่ใช่บุรุษข้ามเพศ เป็นต้องหลงเสน่ห์ของนางทุกราย
ดังนั้นสวี่ชีอันจึงรู้สึกว่าตัวเองแค่ไหลไปตามกระแส ยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะแอบมองอยู่เงียบๆ ก็ยังหลบไม่พ้นการรับรู้ของราชครู จึงทำตัวตามสบายมากขึ้น
ในตอนนี้เอง เขาก็เหลือบนักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความยาวเหยียด ‘ข้าปิดกั้นหมายเลขห้าไว้แล้ว เรามาคุยกันดีกว่าว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร’
เอ๋ นี่ข้าพลาดอะไรไปตอนชื่นชมความงามของราชครูหรือเปล่า สวี่ชีอันหันกลับมาสนใจกลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพีอย่างไม่เต็มใจนัก
หมายเลขเก้า ‘ข้าคิดว่าเลิกสนใจหมายเลขห้าจะดีกว่า ปล่อยให้นางไปเผชิญยุทธภพด้วยตัวเอง ข้าเชื่อว่าจากซินเจียงตอนใต้จนถึงเมืองหลวง นางสามารถเรียนรู้และเติบโตจากอะไรมากมาย’
หลี่เมี่ยวเจินไม่เห็นด้วยกับวิธีของนักบวชเต๋าจินเหลียน จึงส่งข้อความแย้ง
หมายเลขสอง ‘ท่านนักบวช จิตใจผู้คนแสนโฉดช้า ยุทธภพสุดลึกล้ำ แม้ว่าหมายเลขห้าจะแข็งแกร่ง แต่นางก็ใสซื่อเกินไป ไม่ว่าเมื่อใดปัญญาย่อมเป็นประโยชน์มากกว่ากำลัง’
จากนั้นบัณฑิตจอหงวนก็แสดงความคิดเห็นของตน ‘หมายเลขห้าไร้เดียงสา ไม่รู้จักเรื่องทางโลก แต่นางไม่ใช่คนโง่ นางรู้จักหาผลประโยชน์และหลบเลี่ยงภัยพาล ซ้ำยังรู้ว่าอะไรคือการถูกหลอก อะไรที่ควรรักษาและยึดถือไว้ ข้าคิดว่าคำแนะนำของนักบวชเต๋าจินเหลียนนั้นเข้าท่าทีเดียว’
เฒ่าจินเหลียนมีเจตนาดี อยากให้หมายเลขห้าได้ไปเผชิญสังคม นางจะได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว…สวี่ชีอันแอบพยักหน้า คิดว่าคำแนะนำนี้ดีมาก
หมายเลขหก ‘ข้าคิดว่าสิ่งที่เราต้องพิจารณาตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาระยะยาว แต่จะจัดการเรื่องที่ซุกหัวนอนของนางในคืนนี้อย่างไรดีมากกว่า’
ประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวยุติบทสนทนา และไม่มีใครพูดคุยในกลุ่มหนังสือปฐพีเป็นเวลานาน
จากการประชุมย่อมๆ ของพรรคฟ้าดินสามารถสรุปได้ว่า หมายเลขห้าร่อนเร่ในต่างแดนไร้เงินติดตัว จะแก้ปัญหากินอยู่อย่างไรดี ตอนนี้กำลังออนไลน์รอคำตอบ เร่งด่วนอย่างมาก!
จะทำอย่างไรได้ ทุกคนเป็นเพียงเพื่อนชาวเน็ตที่อยู่ห่างไกลกันคนละมุมโลก และในโลกใบนี้ก็ไม่มีวีแชทหรืออาลีเพย์ที่สามารถโอนเงินให้เจ้าตัวได้
แม้แต่เทพก็ยังจนปัญญา
หมายเลขสอง ‘เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้หมายเลขห้าเปิดการแสดงล่ะ การแสดงทุบหินบนอกกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คน ทุบไปตลอดทางจนถึงเมืองหลวง ก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว’
หมายเลขหก ‘ลองหาวัดเพื่อขอบริจาคและหาที่นอนได้ เพียงแต่ต้าเฟิงมีวัดไม่มากอาจจะสายเกินการ’
หมายเลขสี่ ‘การเอาตัวรอดในยุทธภพ บางทีอาจจะไม่ต้องเปลืองแรงก็ได้นะ’
ความหมายของฉู่หยวนเจิ่นก็คือ ให้หาเหยื่อเหมาะๆ สักคนและขโมยเงินมา
หมายเลขเก้า ‘หมายเลขห้าขโมยเงินไม่ได้ ถ้าให้นางทำเช่นนั้น เขาเรียกว่าปล้น’
เพราะท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นสมาชิกของเผ่าลี่กู่
ขณะที่ทุกคนกำลังจะพูดต่อ พวกเขาก็พบว่าตัวเองถูกปิดกั้น ไม่สามารถส่งข้อความ หรือรับสารใดๆ ได้
ในขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็ได้ข้อความจากนักบวชเต๋าจินเหลียน ‘หมายเลขสาม เจ้ามีคำชี้แนะเช่นไรบ้าง’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง