บทที่ 268 การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์สิ้นสุด
สนามสอบการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์คือห้องมืดเล็กๆ เรียกว่า ‘เฮ่าเส่อ’
หลังจากบัณฑิตเข้ามาแล้ว ผู้ที่รับผิดชอบการคุมสอบจะลั่นกลอนประตูโดยเหลือเพียงหน้าต่างบานเล็กสำหรับส่งข้อสอบ
ตลอดทั้งวัน เหล่าบัณฑิตจะทำกิจวัตรอย่างกิน ดื่ม นอนหลับ และขับถ่ายอยู่ภายในห้อง
แสงเทียนเล็กราวกับเมล็ดถั่ว ภายในห้องเล็กๆ จึงมีสีเหลืองสลัว สวี่เอ้อร์หลางนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเทน้ำลงบนแท่นหินหมึกแล้วค่อยๆ บดมัน
ยังมีเวลาอีกนานก่อนที่การสอบจะเริ่มขึ้น เวลาเท่านี้เพียงพอให้เขาสงบสติอารมณ์และคิดอะไรบางอย่างได้
ตั้งแต่สมัยโบราณ การสอบคัดเลือกขุนนางให้ความสำคัญกับหลักคำสอนศาสนา ไม่สนใจพวกบทกวี นอกจากนี้ วงการกวีนิพนธ์ของต้าฟ่งก็ระส่ำระสายมานาน ดังนั้นการสอบสนามสุดท้ายในครั้งนี้เป็นเพียงการเดินผ่านสนามสำหรับบัณฑิตหลายคน
ตอนที่เพิ่งเข้าสนาม เหล่าบัณฑิตที่รู้จักมักคุ้นกันต่างหัวเราะคิกคัก มีความสุขกันยิ่งนัก
ต่างจากสองสนามก่อนที่สีหน้าจริงจัง สภาพจิตใจเต็มไปด้วยความกังวลราวกับกำลังจะสวมเกราะออกรบ
อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ผ่อนคลายกันได้ แต่สวี่เอ้อร์หลางรู้ดีว่าตนไม่อาจเลินเล่อได้
เขาเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ ในสายตาราชสำนักและคนทั่วไป บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่หลังจากสอบได้ระดับจิ้นซื่อ[1] จะถูกส่งตัวไปยังพื้นที่ชนบทห่างไกล หรือไม่ก็จะไม่ได้รับสถานะขุนนางอย่างเป็นทางการ ถูกฝังกลบไว้ในหิมะ
สวี่เอ้อร์หลางมีอุดมการณ์ของตัวเอง เขาไม่อยากถูกส่งไปยังพื้นที่ห่างไกลและไม่อยากถูกฝังกลบอยู่ใต้หิมะ
“หนทางอีกยาวไกล…” สวี่ซินเหนียนถอนหายใจ
ตอนนั้นเอง ผู้คุมสอบนอกประตูก็เคาะหน้าต่างบานเล็กแล้วพูดพึมพำ “นายท่าน ข้อสอบมาแล้ว”
ผู้ที่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ทุกคนล้วนเป็นจวี่เหริน จวี่เหรินทุกคนมีสิทธิ์ในตำแหน่งขุนนาง เหล่าผู้คุมจึงเรียกขานบัณฑิตที่เข้าสอบว่า ‘นายท่าน’
สวี่ซินเหนียนรับกระดาษมาแล้วกางออกบนโต๊ะ ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ยามเช้ายังไม่ขึ้น
สวี่ซินเหนียนก้มอ่านโดยอาศัยแสงเทียนสีส้ม หัวข้อคือ ประโยคหนึ่งในหนังสือ ‘เฉิงจื่อ กานเกอ’ ความว่า ‘สามเหล่าทัพเอาชนะผู้บังคับบัญชาได้ คนธรรมดาเอาชนะความปรารถนาไม่ได้’
สวี่เอ้อร์หลางผู้อ่านหนังสือบทกวีเป็นชีวิตจิตใจดึงใจความหลักออกมาในพริบตา ‘หย่งจื้อ![2]’
เขาจ้องกระดาษข้อสอบ สีหน้าตะลึงงันอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ
“วันนั้นก่อนพี่ใหญ่จะเข้าห้องข้า เขาคงเหยียบอึสุนัข[3]มากระมัง” สวี่เอ้อร์หลางพึมพำ
นี่ก็เดาให้เขาถูกหรือ
เรื่องจับฉลากวันนั้น สวี่เอ้อร์หลางควรจะจัดการกับพี่ใหญ่ผู้น่ารำคาญ ถึงแม้หัวข้อการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์จะสามารถคาดเดาได้ แต่ก็กินขอบเขตแค่เรื่องหลักศาสนาและนโยบายประเทศ ถึงอย่างไรทั้งสองอย่างนี้ก็ดูเข้าเค้ากว่า
หัวข้อบทกวีขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้สอบ คิดอะไรได้ก็เอาอันนั้น แม้กระทั่งชื่อดอกไม้ป่าริมทางก็ยังเป็นไปได้
ขนาดนี้ก็ยังเดาถูกงั้นหรือ!
นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่จะเหยียบอึสุนัขในคืนนั้น สวี่เอ้อร์หลางก็คิดไม่ออกแล้วว่ายังเป็นอะไรได้อีก
เดี๋ยวนะ…
สวี่ซินเหนียนทั้งตกใจ สับสน งงงวย และอีกมากมาย ก่อนจะกลายเป็นความปีติยินดีและความตื่นเต้น
พี่ใหญ่เดาคำถามถูก พี่ใหญ่เดาคำถามถูก!
เขายืดหลังทันที แทบระงับความต้องการจะร้องตะโกนสามครั้งไว้ไม่ได้ เพื่อระบายความตื่นเต้นของตนในขณะนี้
“จากพรสวรรค์ด้านบทกวีของพี่ใหญ่ ในเมื่อเดาหัวข้อถูกแล้ว บทกวีสนามที่สามก็ต้องได้รับเกียรติจากข้าสวี่เอ้อร์หลางแล้วล่ะ ข้า…ข้าอาจจะได้เป็นฮุ่ยหยวน[4]ก็ได้”
‘ก้งซื่อ[5]’ ที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบระดับเมืองหลวงจะถูกเรียกว่า ‘ฮุ่ยหยวน’
เขาจะคิดเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุผล ประการแรก การสอบระดับเมืองหลวงจะปิดชื่อผู้เข้าสอบบนกระดาษคำตอบ ตัวตนของเขาในฐานะศิษย์สำนักอวิ๋นลู่จะไม่ถูกเปิดเผย เขาก็จะไม่ถูกกีดกัน
ประการที่สอง สวี่ซินเหนียนเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการอ่าน ศิษย์คนโปรดของจางเซิ่นผู้ยิ่งใหญ่ คำสอนระบบขงจื๊อแค่ดูผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม กอปรกับความสามารถในการเข้าใจและอื่นๆ ระดับของเขานั้นเหนือกว่าศิษย์จากราชวิทยาลัยหลวงมาก
ประการสุดท้าย เพื่อป้องกันการโกงในการตรวจข้อสอบ ราชสำนักต้าฟ่งได้จัดให้มีหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบถึงสามคน หลายคนได้ข้อสอบเหมือนกัน ในส่วนนี้จะซับซ้อนมาก และหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบทั้งสามคนต้องมาจากคนละก๊กคนละฝ่าย บางทีก็ถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์กันก็มี
ต่อให้มีใครสามารถติดสินบนหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบคนหนึ่งได้ แต่ก็ไม่มีทางติดสินบนอีกสองคนได้
ดังนั้นในการสอบระดับเมืองหลวงแต่ละครั้งจึงมักมีการสู้รบกันเองระหว่างหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบ จากนั้นพวกเขาจะเจรจาและประนีประนอมกันเพื่อคัดเลือกขั้นสุดท้าย
“หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน การสอบระดับเมืองหลวงคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”
แม้จะเป็นคนหยิ่งยโสอย่างสวี่ซินเหนียน แต่ตอนนี้ภายในห้องไร้ผู้คน เขาจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย เขากระโดดโลดเต้นและหัวเราะเหมือนคนเขลา
หากมีเตียง เขาคงจะกลิ้งขึ้นไปบนนั้น หรือไม่ก็บิดไปบิดมาเหมือนหนอนเป็นแน่
“พี่ใหญ่คือดาวนำโชคของข้าจริงๆ! ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ บทกวีหย่งจื้อที่พี่ใหญ่ให้มาคืออะไรกันนะ…”
สวี่ซินเหนียนนั่งลงและบังคับตัวเองให้สงบลง
โชคดีที่เขาเป็นขงจื๊อขั้นแปด ฝึกฝนถึงขั้นดูผ่านตาไม่ลืมเลือนได้นานแล้ว อีกทั้งบทกวีที่พี่ใหญ่ให้มาก็อิงหลักความจริงโดยแท้ เขายังนับว่าความจำเป็นเลิศจึงนึกออกอย่างรวดเร็ว
มือหยิบปากกาจุ่มหมึก ก่อนจะคลี่กระดาษออก ถึงตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่ามือของตนยังสั่นอยู่เล็กน้อย
“ไม่ได้เรื่อง แต่เพราะเป็นการสอบระดับเมืองหลวงถึงตื่นเต้นจนมือสั่นขนาดนี้ ท่านพ่อเคยบอกว่าข้ามีคุณสมบัติของสมุหราชเลขาธิการเชียวนะ”
หลังจากเยาะเย้ยตัวเอง สวี่ซินเหนียนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มือของเขาหยุดสั่นแล้วเขาจึงรีบเขียนลงกระดาษว่า
‘สาเกทองคำหมื่นตำลึง อาหารเลิศรสบนถาดหยกหมื่นตำลึง’
‘ยั้งถ้วยโยนตะเกียบกินไม่ได้ ชักดาบเพ่งมองพิศวง’
‘หิมะปิดทางข้ามหวงเหอ มุ่งหน้าไท่หางหิมะปิดทางเขา’
‘ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า’
‘เส้นทางยากเข็ญ เส้นทางยากเข็ญ ทางแยกมากมาย ควรไปทางใด’
‘สักวันจะขี่ลมซัดคลื่น ก้าวข้ามมหาสมุทรอย่างห้าวหาญ’
หลังจากเขียนบทกวีจบก็อ่านทวนอยู่หลายรอบเพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้เขียนผิด แต่ความสงสัยข้อใหม่กลับผุดขึ้นในใจ
“หวงเหอคืออะไร แล้วไท่หางคืออะไร ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า สองประโยคนี้มีที่มาอย่างไรกัน…” สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วมุ่น
สวี่ซินเหนียนผู้ซึ่งในหัวอัดแน่นไปด้วยบทกวีและหนังสือ ค้นหาจนทั่วสมองก็ยังไม่พบว่าหวงเหอและไท่หางอยู่ที่ใด แต่ตามความเข้าใจเรื่องบทกวีของเขา ‘ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี’ และ ‘ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า’ น่าจะเป็นการอุปมา
“พี่ใหญ่นี่ก็จริงๆ เลย ตอนเขียนบทกวีก็ไม่รู้จักเขียนอธิบายไว้ด้วย แบบนี้ข้าจะเข้าใจอารมณ์ของเขาตอนเขียนบทกวีได้อย่างไร จะเข้าใจเจตนาอันลึกซึ้งของเขาได้อย่างไรกันเล่า
“หวงเหอและไท่หางน่าจะเป็นชื่อแม่น้ำและภูเขา อันนี้สามารถแทนคำได้ ส่วน ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี และ ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า ถึงจะไม่อุปมาถึงอะไร แต่ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ดังนั้นหลังจากแทนคำ ‘หวงเหอ’ และ ‘ไท่หาง’ แล้ว สวี่ซินเหนียนก็ยกปากกาเขียนคำตอบ
‘ฟู่เต่อเส้นทางยากเข็ญ’
…
หัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบของการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ครั้งนี้คือจ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ หลิวหงหน่วยตรวจการหลวงฝ่ายขวา และเฉียนชิงซูปราชญ์มหาสำนักตำหนักอู่อิง
ต่างจากบัณฑิต นับตั้งแต่การสอบคัดเลือกระดับเมืองหลวงเริ่มต้นขึ้น หัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบและเหล่าผู้ตรวจข้อสอบทั้งหลายไม่ได้ก้าวออกจากสนามสอบเลยแม้แต่ก้าวเดียว ประตูใหญ่ถูกลงกลอนไว้ เว้นแต่จะมีปีกก็อย่าได้คิดที่จะออกไป
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตรวจข้อสอบและบัณฑิตสมรู้ร่วมคิดโกงข้อสอบกัน เหล่าผู้ตรวจข้อสอบจึงต้องรอยืนยันรายชื่อผู้ที่ได้เป็นก้งซื่อก่อนถึงจะออกจากสนามสอบได้
เมื่อเทียบกับความคุกรุ่นในการสอบสองสนามแรกแล้ว ทั้งทัศนคติและอารมณ์ของเหล่าผู้ตรวจข้อสอบเปลี่ยนไปมากทีเดียว
“ไร้แก่นสาร แม้แต่บทกวีขาดๆ เกินๆ ก็ยังกล้าที่จะเขียนในการสอบระดับเมืองหลวง”
“ใช้ไผ่เป็นอุปมาคนมาแสดงความคิดเห็น แม้ทัศนคติจะไม่เลว แต่บรรยายไผ่ดีกว่าบรรยายความคิด ความสำคัญสลับกันไปหมด”
“เฮ้อ อ่านมาตั้งนานยังไม่มีบทกวีที่น่าประทับใจเลยสักนิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง