ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 269

บทที่ 269 ชีวิตขององค์หญิงหลินอันตกอยู่ในวิกฤต

“เจ้าตัวเล็กนั่น!”

จงหลีพันศีรษะของตนแล้วถอดรองเท้าปักทั้งสองข้างออก จากนั้นนั่งกอดเข่าก้มหน้า กล่าวว่า “ข้าอยู่ในจวนของท่านมาตั้งนาน ทำให้ตั้งแต่ท่านอาจนถึงคนรับใช้ดวงชะตาล้วนเปลี่ยนเป็นแย่ลง มีเพียงเด็กคนนั้นเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม และไม่ได้รับผลกระทบจากเคราะห์ร้าย”

ไม่ใช่หลิงเยวี่ย ก็จริง สวรรค์ให้นางสืบทอดความงามของอาสะใภ้ไปแล้ว หากยังเอนเอียงเข้าข้างนางอีก แบบนั้นเสี่ยวโต้วติงก็น่าสงสารเกินไป…สวี่ชีอันกล่าวว่า

“เช่นนั้น น้องสาวของข้าก็เป็นคนมีดวงดีเช่นกันหรือ”

จงหลีส่ายหน้าเบาๆ “ผู้ที่มีดวงดีนั้น ที่มาของมันจะล้ำลึก ล้วนได้ประโยชน์จากทั่วทุกแห่ง แต่เห็นได้ชัดว่านางมิใช่เช่นนั้น นางเป็นเพียงคนดวงแข็งที่ไม่ได้รับผลจากเคราะห์ร้าย”

“คนในจวนล้วนมีดวงชะตาไม่ดี…เจ้าพูดเช่นนี้ทำให้ข้าสงสัยนักว่าที่ข้าเก็บเงินไม่ได้ช่วงนี้ จะเป็นความผิดของเจ้าด้วยหรือไม่”

ตั้งแต่เก็บเจ้าตัวโชคร้ายจงหลีผู้นี้มา สวี่ชีอันก็ไม่เคยเก็บเงินได้อีกเลย

“ไม่รู้” จงหลีตอบตามตรง

“จู่ๆ ข้าก็คิดขึ้นมาได้ หากหลิงอินสามารถต้านทานความโชคร้ายของเจ้า เช่นนั้นต่อไปข้าก็จะพานางออกจากบ้านด้วย แล้วก็จะเก็บเงินได้อีกครั้ง” สวี่ชีอันครุ่นคิดแล้วเสนอขึ้นมา “เรามาทดสอบกันเถอะว่าจะเป็นอย่างไร”

“ทดสอบอย่างไร” จงหลีถาม

“รอดู”

สวี่ชีอันพลันออกไปทันที พอมาถึงโถงด้านหน้าก็หยิบกระถางดอกกล้วยไม้ที่อาสะใภ้รักหนักหนามาวางไว้บนหลังคาของทางเดิน จากนั้นเขาก็เดินไปยังปีกตะวันออก เงี่ยหูฟังพักหนึ่งเพื่อยืนยัน ก่อนที่จะเคาะประตูเอ่ย

“ท่านอารอง หลิงอินหลับแล้วหรือ”

น้ำเสียงฉงนของอารองดังออกมาจากในห้อง “นอนเล่นอยู่บนเตียงน่ะ มีเรื่องใดรึ”

“ไม่มีอะไร ท่านพาหลิงอินออกมาหน่อยเถิด” สวี่ชีอันกล่าว

“ได้”

อารองสวี่ไม่ได้ถามถึงเหตุผล เขาอุ้มเสี่ยวโต้วติงออกมาจากห้อง สวี่ชีอันถอยหลังออกมาสองสามก้าว ถึงอย่างไรนี่ก็คือห้องนอนของอารองและอาสะใภ้ ทั้งยังเป็นตอนค่ำคืนดึกดื่น เขามายืนอยู่หน้าประตูคงดูไม่ดี

“พี่ใหญ่…”

สวี่หลิงอินกางแขนน้อยๆ ออกแล้วโผเข้าหาสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันอุ้มนางไปทางห้องของตน เมื่อมาถึงทางเดินที่มีกระถางต้นไม้วางอยู่บนหัว เขาก็วางสวี่หลิงอินไว้แล้วเอ่ย “เจ้านั่งกินขนมอยู่ตรงนี้นะ กินเสร็จแล้วเราค่อยกลับกัน”

สวี่หลิงอินผู้ที่ควรมีไหวพริบจะรู้สึกว่าประหลาดมาก เหตุใดต้องนั่งกินขนมข้างนอกด้วย แต่พอนางได้ยินว่ามีของกิน สติปัญญาที่เดิมก็ไม่ได้มากอยู่แล้วก็ลดลงต่ำไปทันที

นางตอบอย่างดีใจ “ได้เลย”

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงวางเจ้าถั่วตัวน้อยไว้บนบันไดข้างทางเดิน แล้วหยิบขนมออกมาด้วยท่าทางเหมือนร่ายเวทมนตร์ จากนั้นก็ให้นางนั่งกินอยู่ตรงนั้น

“ความโชคร้ายของข้าต้องทำให้กระถางต้นไม้ตกลงมาแน่ๆ” จงหลีกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“อืม” สวี่ชีอันพยักหน้า

เขากำลังทดสอบแหล่งความโชคดีของสวี่หลิงอินอยู่ หากจงหลีคาดเดาผิดพลาดก็ไม่เป็นไร เขาสามารถทำลายกระถางต้นไม้นั่นเพื่อไม่ให้มันทำร้ายเสี่ยวโต้วติงได้

ครู่ต่อมา บนหลังคาก็มีเสียง ‘แกร่ก’ จากนั้นกระถางต้นไม้ก็ตกลงมาจริงๆ

และในขณะเดียวกัน แมวสีส้มตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากในพุ่มไม้แล้วกระโดดขึ้นมาใช้อุ้งเท้าตบกระถางต้นไม้ไปทางสวี่ชีอันแทน

สวี่ชีอันหันหน้าหลบ แต่จงหลีหลบไม่พ้น….

กระถางต้นไม้แตกกระจายอยู่บนหัวของจงหลี

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ข้ากลับบ้านไปทำแผลก่อนแล้วกัน” จงหลีเดินจากไปเงียบๆ

“แมว แมว…”

เสี่ยวโต้วติงมีขนมอยู่เต็มปาก นางชี้ไปที่แมวสีส้มแล้วตะโกนอย่างตื่นเต้น

“ได้ๆ พี่ใหญ่จะพาเจ้ากลับไปนอน” สวี่ชีอันอุ้มเสี่ยวโต้วติงกลับไปที่ห้องปีกตะวันออกแล้วคืนนางให้กับอารอง จากนั้นก็เตือนอารองให้แปรงฟันให้นาง

พอคิดได้ว่านี่คือกล้วยไม้ที่อาสะใภ้รักหนักนา สวี่ชีอันก็ส่งเศษกระถาง ดอกกล้วยไม้ และดินกลับไปให้

หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็ไปที่เรือนด้านหลังและมองไปรอบๆ ก็เห็นแมวสีส้มนั่งอยู่ที่ขอบบ่อน้ำ โดยมีรูม่านตาสีเหลืองอำพันมองมาที่เขาอย่างชั่วร้าย

“ท่านนักบวช”

สวี่ชีอันเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยทัก

“เมื่อครู่เจ้าทำอะไร” แมวส้มเอ่ยภาษามนุษย์ออกมา

“ทำการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

แมวสีส้มพยักหน้า “ศาสดาพยากรณ์จากสำนักโหราจารย์คนเมื่อกี้นี้คือ?”

สวี่ชีอันเอ่ย “ใช่แล้ว” ออกมา “ด้วยสายตาของท่านนักพรต คงจะมองเห็นเมฆดำมารวมกันบนหัวของนางแล้วใช่หรือไม่”

“ใช่แค่เมฆดำที่ไหนล่ะ แต่เป็นผู้ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์…” แมวส้มยกอุ้งเท้าขึ้นมาลูบเคราแมว “ความลับสวรรค์รั่วไหลเหมือนกัน หากเทียบกันแล้ว ผู้ทำนายจากระบบพ่อมดถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์เชียวนะ แต่ก็ต้องทนต่อเคราะห์เก้าพันเก้าร้อยแปดสิบเอ็ดครั้งให้ได้ หากรอดก็จะกลายเป็นผู้ทำนาย”

ได้ยินดังนั้น สวี่ชีอันก็เอ่ยติดตลก “แต่ศาสดาพยากรณ์ต้องทนทุกข์ไปสามพันหกร้อยชาติ…หืม?”

สวี่ชีอันพลันเกิดความสงสัย เขาส่งเสียง ‘หืม’ ออกมาแล้วขมวดคิ้วกล่าว “ศาสดาพยากรณ์…ผู้ทำนาย…จริงๆ แล้วเหมือนกันมิใช่หรือ แต่ต่างกันที่คำเรียก”

พูดพลางเขาก็ส่งสายตาขอคำยืนยันจากนักบวชเต๋าจินเหลียน

เพราะชื่อเรียกต่างกัน ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่ได้เชื่อมโยง ‘ศาสดาพยากรณ์’ กับ ‘ผู้ทำนาย’ เข้าด้วยกัน แต่เมื่อฟังจากคำพูดของนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว สวี่ชีอันก็นึกได้ทันทีว่าสองสิ่งนี้คล้ายจะมีความหมายเดียวกัน เพียงแต่เรียกไม่เหมือนกันเท่านั้น

เหมือนกับ ‘เทพธิดา’ และ ‘เจ้าแม่’ นั่นแหละ คำเรียกต่างกัน แต่ทำสิ่งเดียวกันนั่นก็คือ ‘เป็นตัวสำรองคอยเลี้ยงปลา’

แมวสีส้มวางอุ้งเท้าลงแล้วนั่งอยู่ที่ขอบบ่อ มันดูน่ารัก แต่น่าเสียดายที่เสียงพูดของมันเป็นชายชราน่าเกลียด “โอ้ ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่รู้ โหรมีประวัติศาสตร์เพียงหกร้อยปีและใช้ดวงชะตาเดียวกับต้าฟ่ง แต่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ที่จนถึงตอนนี้ระบบทหารอันสมบูรณ์กลับยังไม่มีเทพยุทธ์ปรากฏขึ้นเลย ส่วนพ่อมด ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื๊อล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีกันทั้งนั้น

“ในเวลาเพียงหกร้อยปี นอกจากระบบโหรจะไม่มีตัวตนที่เหนือยิ่งกว่าระดับขั้นแล้ว แต่ขั้นเก้าจนถึงขั้นหนึ่งก็สมบูรณ์อย่างยิ่ง”

ใช่แล้ว ระบบโหรมีอยู่แค่หกร้อยปีสั้นๆ กลับสมบูรณ์ขนาดนี้ หากสร้างระบบหนึ่งขึ้นมาจากเดิมที่ไม่มีอะไรจริงๆ ท่านโหราจารย์รุ่นแรกคงจะเป็นผู้วิเศษที่ส่งตรงมาจากสวรรค์ระดับสุดยอดแน่ แล้วคนเช่นนี้เหตุใดจึงไม่อาจอยู่เหนือระดับขั้นได้เล่า…สัมผัสอันเฉียบคมของสวี่ชีอันรับรู้ถึงความไม่สมเหตุสมผลของเรื่องนี้ จึงเอ่ยอย่างสงสัย

“แล้วนี่มันเป็นมาอย่างไรกันแน่”

แมวส้มไม่ตอบตามตรง มันยิ้ม “ข้าจะเล่าประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งให้เจ้าฟัง แล้วเจ้าก็ไปคิดเอาเอง”

มันเลียอุ้งเท้าของตนแล้วเอ่ย “จักรพรรดิองค์แรกก่อตั้งต้าฟ่งขึ้นมาอย่างยากลำบาก เคยถูกบีบให้ไปอยู่ในทางตันหลายต่อหลายครั้ง และในปีหนึ่ง เขาก็ไปยังตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อขอยืมทหารจากสำนักพ่อมด รับปากว่าหากถอนรากถอนโค่นความเน่าเฟะของราชสำนักแล้วก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ได้ เขาจะยกสำนักพ่อมดให้เป็นศาสนาประจำชาติ แม่น้ำลำธารหลายหมื่นลี้ของที่ราบภาคกลางก็จะมาอยู่ในอาณาเขตของสำนักพ่อมดด้วย สำนักพ่อมดจึงตอบตกลง เขาจึงได้ทหารกล้ามาสองแสนนาย พร้อมกับยอดฝีมือจากสำนักพ่อมดอีกมากมาย

“ต่อมาจักรพรรดิผู้ก่อตั้งคนนั้นก็โค่นล้มความเน่าเฟะของราชวงศ์ก่อนได้ แล้วเอาชนะผู้ครองรัฐทั้งหลายจนรวมแผ่นดินภาคกลางเป็นปึกแผ่น แต่สำนักพ่อมดกลับไม่ได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติของต้าฟ่งอย่างที่หวัง

“เพราะต้าฟ่งมีสำนักโหราจารย์ขึ้นมา แล้วจากนั้นระบบโหรก็ถือกำเนิด”

ในหัวของสวี่ชีอันมีอยู่เพียงสองคำ ‘เวรกรรม!’

ดูเผินๆ เหมือนนักบวชเต๋าจินเหลียนจะเล่าถึงประวัติศาสตร์ดำมืดของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่งที่ทำการข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน…แต่ก็เรียกว่าประวัติศาสตร์อันดำมืดไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร จักรพรรดิผู้ก่อตั้งก็ล้วนเป็นคนหน้าด้านใจดำคุณธรรมต่ำทรามมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สุภาพชนคนดีไม่อาจประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้หรอก…

ทว่าความจริงแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนกำลังเปิดเผยถึงที่มาของระบบโหรให้กับเขา

ระบบฝึกตนของโหรแยกสายออกมาจากระบบพ่อมด!

นี่คือการคาดเดาที่สวี่ชีอันได้มาจากวิชาคิดวิเคราะห์อย่างมีความเข้าใจที่ถูกปลูกฝังมาในการศึกษาภาคบังคับเก้าปีของเขา

มิน่า ความสามารถของ ‘ศาสดาพยากรณ์’ กับ ‘ผู้ทำนาย’ ถึงได้คล้ายคลึงกันขนาดนี้

จริงสิ เรื่องเช่นนี้ก็เกิดกับระบบทหารและระบบจอมยุทธ์ภิกษุเหมือนกัน! การที่โหรจะแยกสายมาจากพ่อมดนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…สวี่ชีอันพลันตระหนักได้ทันใด

อีกอย่าง เขาก็เริ่มคิดเชื่อมโยงจากตรงนี้โดยการแผ่ขยายความคิดออกไป เขาสงสัยว่าเมื่อปีนั้น ท่านโหราจารย์รุ่นแรกน่าจะรับใช้อยู่ในกลุ่มพ่อมดมาก่อน

“โหรแยกสายมาจากพ่อมด แม้ว่าจะมีสายพ่อมดเป็นฐาน แต่การสร้างระบบฝึกตนแบบใหม่ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เกรงว่าเรื่องราวเบื้องหลังคงจะมีแต่จักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่งและท่านโหราจารย์รุ่นแรกเท่านั้นที่รู้…ข้าสงสัยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับความลับที่ท่านโหราจารย์เก็บรักษาไว้ด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นการเผยโฉมหน้าของโหรผู้ลึกลับแห่งอวิ๋นโจวออกมาก็ได้”

สวี่ชีอันเอ่ยเรื่องที่ตนสงสัยออกมา หวังว่านักบวชเต๋าจินเหลียนผู้เห็นโลกมามากจะไขความข้องใจของเขาได้

น่าเสียดายที่นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่มีความคิดอยากจะชี้แนะสวี่ชีอัน เขากลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

มีแต่ต้องถามเรื่องประวัติศาสตร์ช่วงนี้กับเว่ยเยวียนหรือไม่ก็องค์หญิงใหญ่เท่านั้น…สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านนักบวชมาหาข้ามีเรื่องใดหรือ”

แมวส้มชำเลืองมองมาที่เขา ผ่านไปพักหนึ่งก็เอ่ยว่า “เดินผ่านมาน่ะ เห็นว่าโชคของเจ้าตกลงแล้วก็เลยมาดูเป็นพิเศษ”

หลังจากที่สวี่ชีอันฟังจบ ในหัวก็ผุดเพียงแค่ ‘???’

ผ่านไปสักพักก็กลายเป็น ‘!!!’

ความรู้สึกอย่างหลังคือปฏิกิริยาของเขา มิน่าช่วงนี้ถึงเก็บเงินไม่ได้เลย ที่แท้ก็มีสาเหตุมาจากตัวเออเร่อร์ 404 ของท่านโหราจารย์นี่เอง

“แต่หลังจากข้าเห็นเด็กสาวคนนั้นก็เข้าใจเหตุผลแล้ว” แมวสีส้มกล่าว

นักบวชเต๋าจินเหลียนคิดว่าความโชคร้ายของจงหลีเกี่ยวข้องกับการที่โชคของข้าลดลงหรือ สวี่ชีอันไม่ได้อธิบาย เขายังคงเงียบ

เขาก็ไม่สนใจจะสอนสั่งนักบวชเฒ่าเหมือนกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง