บทที่ 275 จงหลีมนุษย์เครื่องมือ
คุณชายหลิ่วและคนอื่นๆ ก็ลำบากไม่น้อย หลังจากที่แม่นางหรงหรงถูกนำตัวไป จอมยุทธหนุ่มสาวที่นำโดยคุณชายหลิ่วก็รีบกลับมาที่โรงเตี๊ยมทันที และเล่าความเป็นมาของเรื่องราวให้ผู้อาวุโสผู้ร่วมเดินทางฟัง
หลังจากผู้อาวุโสหลายคนปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ไม่ได้มาขอตัวคนจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่ต่างคนต่างสร้างสายสัมพันธ์ โดยสร้างสายสัมพันธ์กับวงราชการก่อน
ได้ข่าวมาว่าถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนำตัวไป ‘สายสัมพันธ์’ ที่ฐานะสูงในเมืองหลวงมีสีหน้าลำบากใจ แต่จากการขอร้องขออย่างหนัก ทำให้จำต้องรับปาก
แต่เมื่อรู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่นำตัวไปคือสวี่ชีอัน ทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องออกมาว่า “ทำไม่ได้ ทำไม่ได้! ”
แล้วก็ปล่อยให้เวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ วันรุ่งขึ้นจึงได้ฝืนใจไปเยือนที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล โดยหวังว่าจะขอให้ฆ้องเงินที่มีชื่อเสียงในด้านไม่ดีอย่างโจ่งแจ้งผ่อนผันโทษให้
อาจารย์ของหัตถ์รื่นรมย์หรงหรง เป็นหญิงงามวัยกลางคนที่ยังคงมีกิริยาท่าทางงดงาม ใบหน้ากลมกลึง ดูมีสง่าราศีมากทีเดียว คิดว่าตอนเป็นสาวคงเป็นหญิงงามที่สุภาพเรียบร้อย
ในใจของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เพราะรู้จักความประพฤติของผู้ชายทั่วหล้าเป็นอย่างดี ผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าหรงหรงจะถูกทรมานอย่างไรบ้าง…
เสียความบริสุทธิ์ยังพอทำเนา กลัวแต่ว่าจะเป็นผู้ชายมักได้ ขังไว้เป็นของเล่น นั่นถึงจะเป็นโศกนาฏกรรมของผู้หญิง
ส่วนอาจารย์ของคุณชายหลิ่วเป็นมือกระบี่ที่สุขุมหนักแน่น ลักษณะเด่นที่สุดคือร่องแก้มลึก และแววตาที่ฉลาดล้ำลึก
สายตาของผู้อาวุโสทั้งสองประสานกัน และต่างเห็นถึงความกังวลและจนใจในแววตาของอีกฝ่าย
เมื่ออยู่ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มียอดฝีมือรวมตัวกันอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็นทหารที่ดื้อรั้น ก็ทำได้เพียงควบคุมอารมณ์ และเก็บเขี้ยวเล็บ
หลังจากกังวลอยู่เป็นเวลาสองเค่อ จนกระทั่งชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบฆ้องเงิน มีดาบที่ไม่เหมือนใครแขวนไว้ที่เอวด้านหลังก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาที่ห้องโถงด้านข้าง
“พวกเจ้า ใครเป็นอาจารย์ของแม่นางหรงหรง” สวี่ชีอันกวาดสายตามองทุกคน และพูดขึ้นเป็นคนแรก
หญิงงามวัยกลางคนลุกขึ้น คำนับแล้วพูดว่า “หญิงชราเอง”
ท่านป้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว รูปร่างเช่นนี้โฉมหน้าเช่นนี้ จะเป็นหญิงชราได้อย่างไร…
สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดว่า “ข้าได้ตรวจสอบต้นสายปลายเหตุชัดเจนแล้ว คนที่ขโมยของวิเศษของข้าไม่ใช่แม่นางหรงหรง แต่เป็นโจรสาวพันหน้าเก๋อเสี่ยวจิง ตอนนี้คนร้ายถูกจับกุมแล้ว แม่นางหรงหรง พวกท่านนำตัวไปได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็รู้สึกโล่งใจ จอมยุทธ์หนุ่มสาวที่ตามมาด้วยต่างก็รู้สึกดีใจกันไม่หยุด
แต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์สูงแล้ว จิตใจพวกเขาบริสุทธิ์กว่า ในใจผู้อาวุโสทั้งสองคิดว่าหากโชคไม่ดี เกรงว่าหรงหรงก็คง…
แต่อีกฝ่ายทำเรื่องเสเพลคืนหนึ่งแล้ว ยอมปล่อยคนโดยดีนับว่าหาได้ยากยิ่ง คงทำได้เพียงยอมรับว่าตัวเองโชคร้าย
“ขอบคุณใต้เท้า!”
หญิงงามวัยกลางคนกล่าวขอบคุณ
ขณะที่กล่าว แม่นางหรงหรงเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง จากการนำทางของเจ้าพนักงาน
นางมีอารมณ์ที่มั่นคงมาก ตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า “อาจารย์” ไม่ได้ร่ำไห้เพราะความดีใจเป็นล้นพ้น และไม่ได้ร้องไห้ประหนึ่งจะเป็นจะตาย
หญิงงามวัยกลางคนมองดูโดยไม่กระโตกกระตาก เอ่ยเพียงว่า “ไม่มีอะไรแล้ว ใต้เท้าท่านนี้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว ไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า”
หรงหรงคารวะอย่างนอบน้อม พูดอย่างฉอเลาะว่า “ขอบคุณใต้เท้าสวี่”
มือกระบี่วัยกลางคนกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วกุมหมัดพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราไม่ขออยู่ต่อแล้ว”
พูดจบ ตั๋วเงินปึกหนึ่งก็ไหลออกจากแขนเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ
“เอาตั๋วเงินไป” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ
เขาไม่กล้ารับไว้ เพราะหัตถ์รื่นรมย์หรงหรงไม่ได้ก่อเรื่องและไม่ได้ลักขโมย เป็นเพียงความเข้าใจผิดอย่างแท้จริง
มือกระบี่วัยกลางคนไม่อยากจะเชื่อ มองสำรวจสวี่ชีอันด้วยความประหลาดใจ แล้วกุมหมัดอีกครั้ง “ขอบคุณใต้เท้า”
แล้วชาวยุทธ์กลุ่มนี้ก็จากไปทันที ขณะที่เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูของห้องโถงด้านข้าง ก็ได้ยินสวี่ชีอันกล่าวดังขึ้นจากด้านหลังว่า “ช้าก่อน!”
มือกระบี่วัยกลางคนชะงักฝีเท้า รู้สึกดูแคลนเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน มีเจ้าหน้าที่ที่ไหนไม่ชอบเงินบ้าง
เขาหันกลับมา พร้อมกับหยิบตั๋วเงินออกจากแขนเสื้อ กำลังคิดจะยื่นออกไป แต่สิ่งที่เห็นคือสวี่ชีอันกำลังกางกระดาษเซวียนจื่อลงบนโต๊ะ แล้วจับพู่กันเขียนหนังสือ พอเขียนเสร็จ ก็ใช้นิ้วโป้งแตะน้ำหมึก แล้วกดรอยนิ้วมือลงไป
ทุกคนมองดูอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร
“ข้าไม่ชอบติดหนี้คนอื่น เมื่อวานตัดอาวุธเวทมนตร์ของเจ้าหมอนี่ไปด้ามหนึ่ง พวกเจ้าเอาใบยืมแผ่นนี้ไป แล้วไปหาซ่งชิงที่สำนักโหราจารย์ เขาจะชดใช้อาวุธเวทมนตร์ด้ามหนึ่งแทนข้า” สวี่ชีอันสะบัดข้อมือ กระดาษเซวียนจื่อก็ลอยไปทางมือของกระบี่วัยกลางคน
มือกระบี่วัยกลางคนรับมันไว้ บอกลาแล้วจากไป
คนทั้งกลุ่มออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หญิงงามจับมือหรงหรงโดยไม่พูดอะไร แต่กลับเป็นจอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งที่ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ จึงถามหยั่งเชิงด้วยความกังวลเล็กน้อยว่า
“หรงหรง เขา…เมื่อคืนเขาได้รังแกเจ้าหรือไม่”
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มต่างตกตะลึงก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ รู้สึกตัว จ้องหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ได้สติ จ้องมองไปที่หรงหรงนิ่ง
มือกระบี่วัยกลางคนตะคอกเสียงดังว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร”
แม้ว่าเขาและหญิงงามต่างคาดการณ์อย่างมั่นใจว่าหรงหรงเสียความบริสุทธิ์แล้ว แต่จงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ แม้จะเป็นบุตรธิดาของยุทธภพ แต่ศักดิ์ศรีก็สำคัญเช่นกัน
“เขาไม่ได้ทำอะไรข้าเลย ข้าพักอยู่ในห้องข้างของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามลำพังเพียงคนเดียว” หรงหรงส่ายหัวแล้วอธิบายว่า “แต่ผ้าห่มเหม็นไปหน่อย”
ผ่านไปคืนหนึ่ง นางไม่ได้หวาดกลัวและวิตกกังวลเหมือนตอนแรกแล้ว และรู้ว่าฆ้องเงินคนนั้นเป็นสุภาพบุรุษ
ในเมื่อพูดแล้ว หญิงงามจึงไม่เก็บซ่อนอีกต่อไป เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่ได้รังแกเจ้า แล้วเขาจับตัวเจ้าไปทำไม”
“ของล้ำค่าของใต้เท้าสวี่ถูกขโมยไปจริง ผู้ที่ขโมยของล้ำค่าของเขาคือเก๋อเสี่ยวจิง สาเหตุที่เขาจับตัวข้าไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็เพราะเก๋อเสี่ยวจิงปลอมโฉมเป็นข้าแล้วก่อคดี ดังนั้นจึงมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น” หรงหรงกล่าว
แบบนี้ก็สมเหตุสมผลดี…
หญิงงามขมวดคิ้วแล้วตั้งข้อสงสัย “แล้วเหตุใดเก๋อเสี่ยวจิงจึงต้องแปลงโฉมเป็นเจ้า”
หรงหรงพูดอย่างเคียดแค้นว่า “เมื่อวันก่อนข้ากับพี่หลิ่วและคนอื่นๆ ดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านอาหาร ได้เอ่ยถึงนางอย่างเปิดเผยหลายประโยค เดิมทีโจรสาวพันหน้าเป็นคนชั้นต่ำในยุทธภพ ลักเล็กขโมยน้อย จะคู่ควรมาเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร คิดว่าคำพูดนั้นคงไปเข้าหูนาง นางจึงปลอมตัวเป็นข้า ไปลักเล็กขโมยน้อย ฉวยโอกาสแก้แค้น”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย” คุณชายหลิ่วและคนอื่นๆ พยักหน้า
ถ้าเช่นนั้นต้นสายปลายเหตุก็ชัดเจนมากแล้ว ฆ้องเงินท่านนั้นก็เป็นผู้เสียหายเช่นกัน การจับตัวหรงหรงไปนับว่าเป็นความเข้าใจผิดทั้งเพ เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินควรอย่างแน่นอน
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มต่างพากันโล่งใจ
มือกระบี่วัยกลางคนพยักหน้าและพูดว่า “เมื่อครู่ยื่นตั๋วเงินให้เขา เขาไม่รับ เป็นชายหนุ่มมีความเด็ดเดี่ยวก็ดี ในใจยังมีความชอบธรรมอยู่บ้าง”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
คุณชายหลิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น อาจารย์…เรื่องอาวุธเวทมนตร์”
มือกระบี่วัยกลางคนเหลือบมองลูกศิษย์ ส่ายหัวและเผลอหัวเราะออกมา “สำนักโหราจารย์อยู่เหนือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แม้ฐานะของฆ้องเงินจะไม่ต่ำ แต่อาศัยแค่กระดาษเพียงแผ่นเดียว ก็สามารถทำให้สำนักโหราจารย์มอบอาวุธเวทมนตร์ให้ เป็นเรื่องไร้สาระเชื่อถือไม่ได้”
คุณชายหลิ่วซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่ได้ “แล้วเขายัง…”
มือกระบี่วัยกลางคนหัวเราะแล้วพูดว่า “คนหนุ่มล้วนกลัวเสียหน้า พวกเราไม่ต้องถือเป็นเรื่องจริงจังหรอก”
หญิงงามวัยกลางคนกลอกตา เสนอความเห็นว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นไปที่สำนักโหราจารย์แล้วกัน จะได้พาเด็กๆ ไปดูหอที่สูงที่สุดในต้าฟ่งด้วย ดีหรือไม่”
…
ในมือของสวี่ชีอันถือหนังสือโบราณที่ซีดเหลืองออกมาจากคุกใต้ดิน เขาเพิ่งสอบสวนเก๋อเสี่ยวจิงเสร็จ และได้ถามนางเกี่ยวกับเคล็ดวิชา ‘ปิดบังสวรรค์ข้ามทะเล’
“โจรสาวผู้ปราดเปรียวคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถ เก็บนางเอาไว้ก่อน จะมีประโยชน์ในอนาคตอย่างแน่นอน หึ ขโมยของวิเศษของข้า ข้าจะประจานเจ้า แล้วต่อไปยังจะบังคับให้เจ้าใช้แรงงานอีกด้วย แน่นอนว่าข้าจะต้องให้เจ้ากินหญ้าแน่ๆ ”
ห้องชุนเฟิงยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม ทางเข้าห้องโถงก็กำลังทำการซ่อมแซมเช่นเดียวกัน ปัจจุบันฆ้องเงินที่ไม่มีห้องทำงาน จึงต้องไปเตร็ดเตร่ที่ห้องจินอวี้ของหมิ่นซานเช่นเคย
เมื่อมาถึงห้องโถงด้านข้าง ก็ได้สั่งให้เจ้าพนักงานยกชาร้อนมา เขาเปิดหนังสือโบราณที่ซีดเหลือง และอ่านด้วยความเพลิดเพลิน
ลัทธิโจร…อ้อ ไม่ใช่สิ วิธีการแปลงโฉมของลัทธิเทพขโมยนั้นมหัศจรรย์จริง ๆ ไม่เหมือนวิธีการแปลงโฉมแบบธรรมดาทั่วไป มันไม่ใช่การทำหน้ากากหนังมนุษย์ที่ดูมีชีวิตเท่านั้น แต่มันเป็นการแปลงโฉมหน้าโดยตรง วิธีการคือการทำน้ำยาพิเศษขึ้นมา แล้วนำไปพอกหน้าเป็นเวลาครึ่งก้านธูป เพื่อทำให้เลือดและเนื้อบนใบหน้าร้อน จน ‘ละลาย’ จากนั้นก็ใช้การขับเคลื่อนลมปราณซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะ เพื่อเปลี่ยนเค้าโครงหน้า
จะอยู่ได้เป็นเวลาสิบสองชั่วยาม
แน่นอนว่า มันสามารถคืนสู่สภาพเดิมได้เองเช่นกัน
ทหารระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงนั้นจะต้องใช้น้ำยามากถึงสามเท่า และใช้เวลาในการพอกหน้านานขึ้นหนึ่งเค่อ ช่วยไม่ได้ เพราะหน้าหนามากจริงๆ
ส่วนที่ยากที่สุดของเคล็ดลับนี้ อยู่ที่ข้าต้องคอยสังเกตอย่างละเอียดและฝึกฝนบ่อยๆ ก็เหมือนกับกับการวาดภาพ ที่มือใหม่ต้องเริ่มต้นด้วยการลอกแบบ ในขณะที่นักวาดยอดฝีมือนั้นสามารถแสดงความสามารถได้อย่างเสรี มองเพียงแวบเดียว ก็สามารถลอกแบบบุคคลออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างหนักแขนงหนึ่ง…คนที่ข้าคุ้นเคยมากที่สุดคืออารองและเอ้อร์หลาง อารองคือผู้อาวุโส ยังไงเริ่มจากเอ้อร์หลางก็แล้วกัน’
เจ้าพนักงานคนหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา และกล่าวด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้าสวี่ เว่ยกงเรียนเชิญขอรับ”
…
ห้องน้ำชาชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนยืนอยู่ข้างโต๊ะ ถือพู่กัน ดวงตาจดจ่อ ตั้งใจวาดภาพอย่างเต็มที่
เว่ยเยวียนวาดภาพต่อไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า กล่าวว่า “ระยะนี้ได้ล่วงเกินใครบ้างหรือไม่”
สวี่ชีอันพูดอย่างคะนองว่า “คอยติดตามท่าน จะไม่ล่วงเกินใครได้อย่างไร คู่อาฆาตเยอะจนข้านับไม่ถ้วน”
เว่ยเยวียนส่งเสียง ‘อืม’ ครั้งหนึ่ง “รู้เท่าทันเหตุการณ์เช่นนี้ ในอนาคตจะต้องประสบความสำเร็จไม่น้อยอย่างแน่นอน”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ระดับหกที่เจ้าพากลับมาเมื่อวาน เช้านี้มีคนนำตัวไปแล้ว ลองคิดดูดีๆ อีกทีว่าได้ล่วงเกินใครไว้หรือไม่”
สวี่ชีอันพูดอย่างจนใจว่า “ข้านึกไม่ออกจริงๆ จึงได้นำตัวคนคนนั้นกลับมา เหตุใดท่านจึงปล่อยตัวไปอีก”
เขาต่อว่าเว่ยเยวียน
ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คนที่กล้าพูดกับเว่ยเยวียนเช่นนี้มีเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือคนขี้อิจฉา และอีกคนก็คือสวี่ชีอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง