บทที่ 283 ระดับเพชรไร้พ่าย
เหิงหย่วนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “อาตมากับใต้เท้าสวี่รู้จักกันในคดีซังผอ ตอนนั้นศิษย์น้องเหิงฮุ่ยถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดี ฆ้องทองคำในขณะนั้นของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ปิดล้อมที่ซ่อนตัวของอาตมากับศิษย์น้องเหิงฮุ่ยเอาไว้… เดิมทีอาตมาคิดว่าแม้จะหนีพ้นจากความตายได้ แต่ก็ต้องไปติดคุก ไม่คิดเลยว่าใต้เท้าสวี่ผู้ทำคดีนี้จะสืบพบว่าแม้อาตมาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทว่าไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับศิษย์น้องเหิงฮุ่ย จึงปล่อยตัวทันที”
ตรงนี้ถูกปรับเปลี่ยนนิดหน่อย สิ่งที่เขาพูดได้ปกปิดเรื่องที่สวี่ชีอันหลอกลวงเขาเอาไว้… แต่แน่นอนว่า จนถึงตอนนี้เหิงหย่วนก็ยังไม่รู้ว่าสวี่ชีอันนั้นหลอกเขา
“นับว่าเป็นคนดี!” ภิกษุจิ้งเฉินแค่นเสียงเย็น
แต่ก็เป็นคนหน้าไม่อายเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เขาถามเหิงหย่วนตัวปลอม อีกฝ่ายก็บอกว่าสวี่ชีอันก็เป็นคนเช่นนี้… ภิกษุจิ้งเฉินนึกย้อนกลับไปแล้วรู้สึกอายแทนสวี่ชีอันนัก ตัวเขาพูดออกมาได้เต็มปากอย่างไม่สะทกสะท้านเลย
‘มันไม่ใช่ปัญหาว่าเป็นคนดีหรือไม่ จะว่าอย่างไรดี เขามีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ยากจะอธิบายน่ะสิ’…เหิงหย่วนกล่าวต่อ
“หลังจากที่อาตมาออกจากวัดมังกรเขียวก็มาอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กทางใต้ ที่ซึ่งมีกลุ่มเด็กและคนชราที่ไม่มีบ้านให้กลับอาศัยอยู่ พอใต้เท้าสวี่รู้เข้า เขาก็บริจาคเงินอย่างไม่เสียดาย แล้วคอยส่งเงินช่วยพวกเขาอยู่บ่อยๆ ควรรู้ว่า เงินเดือนหนึ่งเดือนของเขามีเพียงห้าตำลึงเงิน ตอนนั้นเขายังเป็นแค่ฆ้องทองแดงอยู่เลย ทว่าเขากลับไม่เคยอิดออด ทั้งยังปลอบอาตมาว่าเงินพวกนี้เขาเก็บออมมาได้ เฮ้อ อาตมาแอบไปสืบเรื่องของเขามา เขาแตกต่างจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ จริง ไม่เคยใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือข่มเหงประชาชนเลย และเงินเหล่านั้นก็เป็นเงินที่เขาประหยัดอดออมมาได้”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ภิกษุจิ้งเฉินก็เงียบไป
เขาจำคำโอ้อวดของสวี่ชีอันได้ บอกว่าตัวเองไม่เคยหาเศษหาเลยกับชาวบ้านทั่วไป
ไต้ซือตู้เอ้อร์นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “การทำความดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี มนุษย์มีหลายพันหน้า”
เหิงหย่วนขมวดคิ้วไม่พอใจ เขากล่าวต่อ “เช่นนั้นศิษย์บอกเรื่องหนึ่งกับอาจารย์ปู่แล้วกัน ก่อนที่จะเกิดคดีซังผอ เขาเคยเกือบจะสังหารหัวหน้าที่กระทำการหมิ่นเกียรติเด็กสาวที่เขาไม่รู้จัก จากนั้นเขาจึงถูกจับขังคุกและถูกตัดสินให้ต้องโทษตัดเอว หากไม่ใช่เพราะวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย ราชสำนักรีบร้อนต้องใช้คน ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ครุ่นคิดอยู่นานก็ถามอีก “เขามีความพิเศษอันใด”
‘พิเศษอันใด’…เหิงหย่วนตอบอย่างครุ่นคิด “นอกจากมีพรสวรรค์เหนือผู้ใดและเป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกยุทธ์แล้ว เขาก็ไม่มีส่วนที่พิเศษเลย”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ราวกับผิดหวัง เขาพยักหน้ากล่าว “เจ้าออกไปทำงานต่อเถอะ”
เหิงหย่วนประนมมือแล้วออกจากห้องไป
“อาจารย์อา เหิงหย่วนไม่ได้โกหก ดูท่าว่าสวี่ชีอันผู้นั้นคงจะเป็นคนดีจริงๆ แม้การกระทำของเขาจะทำให้คนไม่ชอบใจก็ตาม” ภิกษุจิ้งเฉินกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือเป็นคนธรรมดา สวี่ชีอันผู้นั้นก็เป็นคนที่อ่อนโยนมีน้ำใจจริงๆ แม้จะมีความไหลลื่นแบบที่ทำให้คนไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยดังกล่าวของเขา
ไต้ซือตู้เอ้อร์เอ่ยรับว่า “อืม”
ภิกษุจิ้งซือรูปงามกล่าวขึ้นทันที “เช่นนั้น เขาเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้ายนั่นอย่างไรหรือขอรับ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผู้บงการเบื้องหลังคดีนี้คือเศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจ ระหว่างจักรพรรดิหยวนจิ่งและท่านโหราจารย์ คนแรกสั่งแต่งานไม่ออกแรง คนหลังมองดูเงียบๆ และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับฆ้องเงินผู้นั้นไม่มากนัก ในเมื่อเขาเป็นคนดี พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เขาลำบาก”
จิ้งเฉินแค่นเสียงเย็นชา “คนต้าฟ่งไม่อาจเชื่อคำพูดได้ พวกเขาผิดสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุใดพวกเราถึงยังผูกมิตรกับพวกเขาอีกเล่า ไม่รู้อรหันต์และโพธิสัตว์คิดอย่างไร”
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในระดับอรหันต์ ไต้ซือตู้เอ้อร์มองศิษย์หลานทั้งสองแล้วกล่าวช้าๆ “เผ่าป่าเถื่อนทางเหนือมีสายเลือดของเทพมาร เชื่อมโยงกับเผ่าปีศาจทางเหนือมานานหลายพันปี ชนเผ่าป่าเถื่อนแถบซินเจียงตอนใต้ก็มีอยู่มากมาย เผ่าพันธุ์กู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเจ็ดแห่งก็เป็นทายาทของเทพมารเช่นกัน สำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือก็มีพ่อมดที่อยู่เหนือระดับขั้นคนหนึ่ง หากคิดจะให้ทั้งจิ่วโจวได้รับแสงแห่งพระธรรม ก็มีแต่ต้องเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งเท่านั้น”
‘เป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งเท่านั้น’…ศิษย์ทั้งสองอย่างจิ้งเฉินและจิ้งซือจับใจความสำคัญจากคำพูดของอาจารย์อาได้
สาเหตุที่สำนักพุทธต้องเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งก็เพราะต้าฟ่งไม่มีตัวตนผู้อยู่เหนือระดับขั้น ทั้งยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมารอีกด้วย
แน่นอนว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ภาคกลางมีผู้อยู่เหนือระดับขั้นคนหนึ่ง เขาคือปราชญ์แห่งลัทธิขงจื๊อ
แต่สมัยนั้นก็ยังไม่มีต้าฟ่ง
พวกเขาถอนความคิดกลับมา จิ้งเฉินเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพวกเราจะทำอะไรต่อหรือขอรับ สืบหาตามรอยสิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นทางต้าฟ่งก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้หรือขอรับ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้ยินมาว่าความขัดแย้งของลัทธิเต๋านิกายสวรรค์และมนุษย์ในช่วงนี้ ทำให้คนในยุทธภพไหลหลั่งเข้ามาในเมืองหลวงมากมาย ราชการจึงได้สร้างสังเวียนสี่แห่งขึ้นในเมืองชั้นนอก พวกเราจะใช้พวกเจ้าให้เป็นประโยชน์ จิ้งซือ เจ้าใช้ร่างกายระดับเพชรไปท้าสู้กับจอมยุทธ์เมืองหลวงเสีย จิ้งเฉิน เจ้าเลือกมาสักสังเวียนแล้วไปท่องคัมภีร์เทศนา ส่วนข้านั้น ในเมื่อมายังต้าฟ่งแล้ว ก็จะไปหาท่านโหราจารย์สักหน”
เมื่อไต้ซือตู้เอ้อร์พูดจบก็เดินออกจากห้องไป เขาทอดมองอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตกแล้วเอ่ยเรียบเรื่อย “ภาคกลางไม่ได้เห็นพลังของสำนักพุทธของเรามานานแล้ว”
…
ยามกลางคืน สวี่ชีอันและเพื่อนร่วมงานไปที่สำนักสังคีตกัน เจ้าหนุ่มหน้าหนาซ่งถิงเฟิงก็ตามมาด้วยเช่นกัน รวมไปถึง หลี่อวี้ชุน ‘ผู้กล่าวว่าเสียงเตียงของสำนักสังคีตมันไม่มีความเป็นระเบียบ’ และหยางเยี่ยน ‘ผู้มาดื่มสุราเท่านั้น’
ฝูเซียงมีความรักลึกซึ้งต่อสวี่ชีอัน ทุกครั้งที่เขาพาคนมาเที่ยวที่หออิ่งเหมย นางก็มักจะออกมาดีดฉินมอบบทเพลงอย่างให้หน้าเป็นที่ยิ่ง
คณิกาบางคนที่เคยเล่นสนุกกับสวี่ชีอันก็มาร่วมสร้างความครึกครื้นด้วยเช่นกัน ทำให้เจ้าสวี่ผู้ชอบของฟรีมีโอกาสได้ควงหญิงทั้งซ้ายขวา
แต่สวี่ชอบกินฟรีกลับไม่ดีใจเลย ขณะที่คนอื่นดื่มสุรากันอย่างมีความสุข สิ่งที่เขาคิดคือ
บ้าเอ๊ย แค่พูดคุยเล็กๆ ก็ทำให้ข้าเสียเงินตั้งร้อยตำลึงแล้ว
ตัวเขามาที่สำนักสังคีตเพื่อพูดคุยพลอดรักกับเหล่านางคณิกา นั่นเป็นเรื่องของความรู้สึกรักใคร่ ไม่เกี่ยวข้องกับเงินทองอันต่ำต้อย แต่การพาเพื่อนร่วมงานมาดื่มสุรามากมายเช่นนี้ ไม่อาจไม่คิดเงินได้
แม้ว่าฝูเซียงจะยินดีออกเงินเป็น ‘ค่าเงินทุน’ ให้กับเขา แต่สวี่ชีอันนั้นเป็นชายหนุ่มอกสามศอก ไม่หาเศษหาเลยกับชาวบ้าน ไหนเลยจะยอมให้เป็นเช่นนี้ได้
ต่อไปเวลาเชิญใครต้องระวังสักหน่อย โดยเฉพาะในสถานที่ที่คิดถึงแต่เงินทองอย่างสำนักสังคีต…พรุ่งนี้จะลองไปขอค่าชดเชยจากเว่ยกงดู หวังว่าเขาจะเห็นแก่ความซื่อสัตย์จงรักภักดีของข้า และลงชื่อในใบขอค่าชดเชยให้นะ… สวี่ชีอันฝืนยิ้มแล้วยกแก้วขึ้น
“ดื่มๆ ทุกคนอย่าได้เกรงใจข้าเลย คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ”
ดื่มให้เมาจนเหลวให้หมดเลย แบบนี้จะได้ประหยัดเงินค่านอนกับผู้หญิง!
ผลก็คือ ดื่มกันจนถึงค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ทหารกลุ่มนี้ก็จะไม่เมาเละเทะกันเลย สวี่ชีอันทำได้เพียงฉีกยิ้มยินดี ทั้งที่ในใจก่นด่าขอให้งานเลี้ยงสุรานี่จบลงสักที
“เพื่อให้หัวหน้าของข้าได้นอนหลับสนิท คืนนี้ตอนที่ทุกคนจะขยับเตียง จะต้องฟังผู้นำให้ดีนะ ขยับไปตามจังหวะ อย่าออกนอกลู่นอกทาง”
หลี่อวี้ชุน “…”
…
วันต่อมา สวี่ชีอันก็ขี่ม้าของเอ้อร์หลางกลับไปที่ทำการปกครองอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงห้องทำงาน เขาก็หยิบพู่กันฝนหมึกทันที…จากนั้นก็ให้เจ้าพนักงานเขียนใบขอค่าชดเชย
จำนวนผู้เข้าร่วมงานสังสรรค์ครั้งนี้คือยี่สิบเอ็ดคน
หัวข้อ ‘เพื่อสรรเสริญแด่ราชสำนัก สรรเสริญแด่เว่ยกง’ แต่แท้จริงแล้วเพียงดื่มสุราเคล้านารี
ค่าใช้จ่าย ‘หนึ่งร้อยหกสิบสี่ตำลึง สามเฉียน’
เมื่อเขียนเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็พิจารณาครู่หนึ่ง คิดว่าไหนๆ ฆ้องเงินสวี่ก็เป็นพวกหน้าไม่อาย ดังนั้นจึงให้เจ้าพนักงานนำไปส่งที่หอเฮ่าชี่แทนตัวเอง
ไม่นานเจ้าพนักงานก็กลับเข้ามารายงานว่า “เว่ยกงบอกว่า ท่านไม่ได้เขียนคำร้องด้วยตัวเอง ขาดความจริงใจ”
หือ…นี่หมายความว่าเว่ยเยวียนไม่พอใจ แต่ยินดีจะมอบค่าชดเชยให้ข้า ฮ่า วางใจเถอะเว่ยกง ข้าน้อยจะต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อตอบแทนคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านให้ได้!
สวี่ชีอันเขียนใบคำร้องทันที เขาเป่าให้หมึกแห้งเสร็จก็พับให้เรียบร้อยแล้วให้เจ้าพนักงานเดินไปอีกรอบ
ไม่นานนัก เจ้าพนักงานก็กลับมา คำตอบของเว่ยเยวียนก็คือ ‘ไม่อนุมัติ!’
ล้อกันเล่นเหรอ! สวี่ชีอันโมโหแล้ว เขาเอ่ยถาม “เว่ยกงว่าอย่างไร”
เจ้าพนักงานลังเลอยู่นานแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “หัวเราะเยาะลายมือท่านที่เขียนได้น่าเกลียดเหลือทนขอรับ”
เว่ยเยวียน บัดซบเถอะ… สวี่ชีอันโกรธจนระเบิดเจ้าพนักงานออกไปจากห้อง
…
หลังจากการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ ต่อไปก็คือเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุด นั่นก็คือการสอบในวังอีกหนึ่งเดือนต่อมา
‘สอบผ่าน’ แค่คำนี้สามารถเขย่าจิตใจผู้คนได้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
ตั้งแต่ระดับต่ำคือชาวบ้านในชนบท ไปจนถึงระดับสูงคือบรรดาราชนิกุลและขุนนาง ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับการสอบเคอจวี่อย่างยิ่ง
ทว่าในปีหยวนจิ่งที่สามสิบเจ็ดมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นมากมาย อย่างแรกคือความขัดแย้งของลัทธิเต๋านิกายสวรรค์และมนุษย์ที่หกสิบปีจะมีครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจได้มากเท่าการสอบเคอจวี่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง