บทที่ 282 ถามตอบ
เหิงหย่วนขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตั้งแต่ที่เขาบอกชื่อของตัวเองไป ภิกษุเฝ้าประตูทั้งสองก็มีสีหน้าแปลกๆ
หลังจากไปรายงาน พวกเขาก็คล้ายจะมีท่าทางเป็นปฏิปักษ์อย่างคลุมเครือด้วย
“รบกวนด้วยขอรับ!” เหิงหย่วนทำท่าทางเคารพนอบน้อม
ภายใต้การนำของภิกษุผู้รักษาประตู พวกเขาเดินผ่านลานชั้นหน้าและอาคารหลักไปยังลานชั้นหลัง
ใต้ชายคาที่โถงทางเดิน มีภิกษุวัยกลางคนยืนอยู่ เขาสวมชุดนักพรตที่เคลื่อนไหวได้สะดวก มีใบหน้ากลมและติ่งหูหนา
เขามองไปที่เหิงหย่วนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เหิงหย่วนจากวัดมังกรเขียว?” ภิกษุจิ้งเฉินมองพินิจเหิงหย่วนด้วยสายตาคมกริบ
“อาตมาคือเหิงหย่วนขอรับ”
ภิกษุเหิงหย่วนก็จ้องจิ้งเฉินด้วยเช่นกัน เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเพื่อนร่วมสำนักจากแดนประจิมกลุ่มนี้คล้ายจะมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาแล้ว
เหิงหย่วนไม่รู้ว่าความเป็นปรปักษ์นี้หมายความว่าอย่างไร ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายไม่เคยรู้จักหรือติดต่อกันมาก่อน
“ผู้ละทางโลกไม่มุสา!” ภิกษุจิ้งเฉินกล่าวเสียงขรึม
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ความรู้สึกจากสัญชาตญาณของเหิงหย่วนก็ร้องเตือนเสียงดัง ‘โกหกไม่ได้ ต้องตอบอย่างจริงใจเท่านั้น’
“อาตมาคือเหิงหย่วนขอรับ” เหิงหย่วนประนมมือกล่าวอย่างใจเย็น
ภิกษุจิ้งเฉินเงียบ
เขาเพิ่งจะใช้ความสามารถของสาวกไป และยืนยันได้ว่าภิกษุผู้อ้างว่าตนคือเหิงหย่วนผู้นี้ไม่ได้โกหก เพราะอีกฝ่ายไม่อาจปรับเปลี่ยนกฎแห่งศีลได้ นอกจากว่าจะเป็นสาวกเหมือนกัน
คำถามคือ ถ้าคนตรงหน้าคือเหิงหย่วน เช่นนั้นคนเมื่อกี้คือใคร?
จุดประสงค์ของเขาคืออะไร?
จิ้งเฉินทบทวนบทสนทนาอย่างละเอียด ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายมาเพื่อสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวก็ไม่ใช่แค่เหิงหย่วนตัวปลอมเท่านั้นแล้ว แต่เกี่ยวข้องกับภิกษุมารด้วย เขาจะต้องจัดการอย่างจริงจัง
‘เมื่อครู่จอมยุทธ์ภิกษุผู้นั้นก็ใช้สิงโตคำรามสำนักพุทธได้ แม้จะไม่ใช่เหิงหย่วน แต่คงต้องเป็นคนจากสำนักพุทธแน่ๆ…ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาแม้ว่าจะเป็นเหิงหย่วนตัวจริง แต่เขาต้องการมาเยี่ยมเยียนจริงๆ หรือว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝงกันแน่?’
ความคิดต่างๆ วาบผ่านไป ภิกษุจิ้งเฉินรีบตัดสินใจทันที เขาชี้ไปที่เหิงหย่วนแล้วตะโกนบอก “จับตัวไว้!”
ภิกษุสองรูปในชุดสีน้ำเงินก้าวไปข้างหน้าและจับไหล่ของเหิงหย่วน
‘ตูม!’
พลังปราณของเหิงหย่วนแกว่งไกว แล้วสะบัดภิกษุทั้งสองออกไปได้อย่างง่ายดาย
บนทางเดิน ภิกษุจิ้งเฉินทำมุทระด้วยมือทั้งสองแล้วออกคำสั่ง “ร่างมิอาจขยับ มือมิอาจเคลื่อนไหว ปากมิอาจเอ่ยวาจา”
เมื่อเอ่ยจบ ระลอกคลื่นสีทองราวกับคลื่นน้ำก็กระเพื่อมออกมาจากมุทระบนมือ แล้วแผ่ไปหาเหิงหย่วนอย่างแผ่วเบาและแน่วแน่
ในชั่วพริบตา เหิงหย่วนคล้ายติดอยู่ในหล่ม นอกจากความคิดที่ยังคงแล่นอยู่ เขาก็ไม่อาจควบคุมร่างกายได้เลย
‘ปัง ปัง ปัง’…
รอบกายของเหิงหย่วนมีคลื่นอากาศระเบิดออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับดอกไม้ไฟเล็กๆ
เขากำลังต่อต้านกับกฎแห่งศีลอย่างเต็มพลัง เพื่อพยายามหลุดออกมาจากหล่มนั้นให้จงได้
จิ้งเฉินขมวดคิ้ว ภิกษุกผู้เรียกตัวเองว่าเหิงหย่วนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก เขาอดตะโกนออกมาไม่ได้ว่า “รีบจับตัวมา!”
จอมยุทธ์ภิกษุสองสามรูปที่อยู่ในห้องรีบพุ่งออกมา รวมถึงพระสงฆ์และพระเถระอีกจำนวนหนึ่ง สองพวกนั้นมีพลังต่อสู้ค่อนข้างต่ำ ต้องอาศัยจอมยุทธ์ภิกษุให้จับคนไว้เสียก่อน
แต่เหิงหย่วนได้ทำลาย ‘กฎแห่งศีล’ ออกมาก่อนที่พวกจอมยุทธ์ภิกษุจะเข้ามาล้อมแล้ว ทั้งยังพุ่งมาด้วยความเร็วสูงไปหาภิกษุจิ้งเฉิน
เหิงหย่วนโกรธมาก เขาต้องลงมือสั่งสอนเพื่อนร่วมสำนักจากแดนประจิมพวกนี้ให้ได้
ในตอนนี้เอง กลับมีร่างหนึ่งมายืนขวางหน้าจิ้งเฉิน นั่นก็คือภิกษุจิ้งซือผู้สวมชุดคลุมสีเขียวและมีใบหน้างดงาม
เขามองไปที่เหิงหย่วนที่กำลังพุ่งมาด้วยสีหน้านิ่งสงบแล้วยกฝ่ามือขึ้น
ตอนที่ยกฝ่ามือขึ้นมายังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ระหว่างนั้น สีทองก็เริ่มผุดขึ้นมากลางฝ่ามือแล้วปกคลุมทั้งมือและแขนอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนทั้งคนก็กลับกลายราวกับรูปสลักทองคำ
‘เคร้ง!’
ฝ่ามือของเขาผลักไปที่หน้าอกของเหิงหย่วน เหิงหย่วนกระเด็นออกไปราวกับถูกท่อนไม้กระแทกเข้าที่หน้าอก แล้วทะลุกำแพงลานชั้นในออกไปจนถึงกำแพงอาคารหลัก
ทหารในจุดพักม้าตกใจแทบแย่ ต่างพากันซ่อนตัวอยู่ในห้องตัวสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะออกมา
ภิกษุกลุ่มนี้เพิ่งจะเข้าพักได้ก็ตบตีกับคนอื่นเสียแล้ว หากผ่านไปอีกสักหลายวัน แบบนี้ไม่ต้องรื้อจุดพักม้าเลยหรือ
“แค่ก แค่ก…”
ภิกษุเหิงหย่วนสำลักไอออกมาอย่างเจ็บปวดแล้วเดินไปจ้องจิ้งซือโดยไม่พูดไม่จา
จิ้งเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าต้องอยู่ที่จุดพักม้า เมื่ออาจารย์อาตู้เอ้อร์กลับมา ท่านคงมีเรื่องจะถามพอดี”
เหิงหย่วนพยักหน้า “ได้”
ท้ายเสียงคำว่า ‘ได้’ เขาก็กลายเป็นภาพติดตาแล้วพุ่งเข้าหาอย่างดุเดือดอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เป้าหมายไม่ใช่จิ้งเฉิน แต่เป็นจิ้งซือแทน
บนตัวของจิ้งซือยังคงเป็นโลหะทองคำอยู่ เขายกมือขึ้นอีกครั้งแล้วตบฝ่ามือไปยังเหิงหย่วน แต่ครั้งนี้ตบไม่โดน ทว่าทำให้เหิงหย่วนจับแขนเอาไว้ได้ กำปั้นขนาดใหญ่จึงต่อยกระทบใบหน้าไม่หยุด จนเกิดเสียง ‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’
จิ้งซือผู้โดนโจมตีที่ใบหน้าใช้หัวโขกเหิงหย่วนจนหลุดมาได้ หลังจากที่ทั้งคู่ประมือกันได้สิบกว่ากระบวนท่า จิ้งซือก็ตกเป็นรองอีกครั้ง
เหิงหย่วนจับแขนเขาไว้แล้วร้องคำรามเสียงทุ้ม ก่อนทุ่มจิ้งซือไปบนพื้นด้วยการยกข้ามบ่า
‘โครม!’
อิฐเขียวที่ตกแต่งอยู่ในสวนแตกกระเด็นพุ่งขึ้นกลางอากาศในทันใด อีกทั้งพื้นก็ยังแตกร้าว
หัวเข่าของเหิงหย่วนจ่ออยู่ที่คอของจิ้งซือ หมัดขวาต่อยไปที่หัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นภาพติดตา
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง’ …ราวกับเสียงของระฆัง คลื่นเสียงกระเพื่อมไปกับคลื่นลม พัดโหมไปทั่วทุกมุมของที่แห่งนี้
กระเบื้องร้าวลื่นไถล สวนดอกไม้แตกกระเจิง ต้นหลิวหักโค่น…กลายเป็นความอลหม่านในชั่วพริบตา
จิ้งซือไม่มีกำลังต่อต้านได้เลย เขาทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหน้าเพื่อรับการโจมตีเท่านั้น
“พอแล้ว!” จิ้งเฉินกล่าวเสียงขรึม
เหิงหย่วนจึงหยุดมือแล้วสะบัดกำปั้นเปื้อนเลือด ก่อนมองจิ้งซือด้วยสายตาเย็นชา “ก็แค่หนังหยาบเนื้อหนา”
ถึงตอนนี้ อารมณ์ที่รุนแรงของจอมยุทธ์ภิกษุจึงถูกระบายออกไปในที่สุด
สวี่ชีอันเข้าใจเหิงหย่วนผิดมาโดยตลอด เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเรียบง่ายและอ่อนโยนแบบ ‘หลู่จื้อเซิน’ แต่ความจริง เหิงหย่วนเป็นอันธพาลที่ซ่อนอยู่ในเปลือกของคนซื่อจิตใจเรียบง่าย
คนที่อารมณ์ไม่รุนแรงไม่อาจลอบเข้าไปฆ่าคนในจวนผิงหย่วนป๋อกลางดึกแล้วจากไปได้หรอก
เพียงแต่ในใจของเหิงหย่วน ใต้เท้าสวี่เป็นคนดีมีน้ำใจใหญ่ยิ่ง และคนดีๆ เช่นนี้คู่ควรกับการปฏิบัติด้วยความอ่อนโยน
หลังจากเข้ามาที่จุดพักม้า เขาก็ถูกจับตามองทุกย่างก้าว เขามาพร้อมเจตนาดี แต่กลับเจอ ‘ไม้กระบอง’ เข้าไปเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเพลิงโทสะในใจเลย ครั้นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย เจ้าภิกษุน้อยนี่ก็ยังออกมาแสร้งทำเป็นเก่ง ทำเหมือนกับว่าเหิงหย่วนเป็นแค่ไก่รองบ่อนที่สามารถตีกระเด็นได้ด้วยฝ่ามือเดียว
สุดท้ายเขาก็เป็นแค่ภิกษุน้อยที่หนังหยาบเนื้อหนาเท่านั้น
…
ต้นยามเซิน พระอาทิตย์ในต้นฤดูใบไม้ผลิแขวนอยู่บนท้องฟ้าทางตะวันตก
ไต้ซือตู้เอ้อร์ถือไม้คทาขักขระ นุ่งห่มจีวรสีทองและแดง เขาเดินกลับมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูจุดพักม้า จากนั้นเมื่อก้าวเข้าไป เขาก็มาถึงลานชั้นในแล้ว
ลานชั้นในเละเทะวุ่นวาย พวกทหารจุดพักม้าปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคาเพื่อปูกระเบื้องใหม่ พวกจอมยุทธ์ภิกษุยกทรายมาเติมพื้นที่แตกร้าว
ในหมู่พวกเขา คนที่ทำงานหนักที่สุดคือคนหัวโล้นที่ไม่คุ้นหน้าอย่างยิ่ง ไต้ซือตู้เอ้อร์มองอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ภายนอกไต้ซือตู้เอ้อร์ดูเหมือนภิกษุชราภาพ ผอมแห้ง ผิวสีคล้ำ มีรอยยับย่นบนใบหน้า ร่างกายผอมแห้ง หุ้มด้วยจีวรหลวมโพรก ดูแล้วน่าขบขันเล็กน้อย
“อาจารย์อา!”
ภิกษุจิ้งเฉินออกมาจากในห้อง แล้วเอ่ยด้วยสำเนียงทางตะวันตก “เกิดเรื่องช่วงที่ท่านเข้าไปในวังขอรับ…”
เขาเล่าเรื่องเหิงหย่วนตัวจริงตัวปลอมให้ไต้ซือตู้เอ้อร์ฟังอย่างละเอียด
“เหิงหย่วนเอาชนะจิ้งซือโดยที่เขายากจะตอบโต้กลับอย่างนั้นหรือ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์หันหน้าไปมองเหิงหย่วนที่กำลังทำงานอย่างจริงจัง
“ขอรับ” จิ้งเฉินพยักหน้าแล้วเสริมอีกประโยค “แต่ศิษย์น้องจิ้งซือไม่ได้รับบาดเจ็บ ผู้อยู่ระดับเพชรมิใช่คนที่คนทั่วไปจะจัดการได้ง่ายๆ”
มีความภาคภูมิใจในน้ำเสียงของเขา
ไต้ซือตู้เอ้อร์ไม่ได้แสดงท่าทีใด แล้วเปลี่ยนเรื่องถาม “ตอนที่เหิงหย่วนคนแรกมาคุยกับเจ้า ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ เช่นเขารู้ที่มาของสิ่งชั่วร้าย หรือรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้ายนั้นหรือไม่”
จิ้งเฉินหวนนึกครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “เขาเพียงเอ่ยถึงสิ่งที่ถูกผนึกใต้ซังผอซึ่งเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ ตอนที่อธิบายคดีความ เขาบอกว่าตนเคยเห็นมือปรสิตข้างหนึ่งอยู่ในร่างของศิษย์น้องเหิงฮุ่ยขอรับ อาจารย์อา เรื่องนี้จริงๆ แล้วตรวจสอบได้ขอรับ เพียงแค่เรียกเหิงหย่วนที่อยู่ข้างนอกมาถามเท่านั้น”
ตู้เอ้อร์กลับถามอีกครั้ง “เขาไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเรื่องสิ่งชั่วร้ายนั่นสักนิดเลยหรือ ไม่ได้เปิดเผยเรื่องภายในกับเจ้ามากกว่านี้เลยรึ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง