ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 281

บทที่ 281 ไต้ซือ รักษาตัวด้วย

สวี่ชีอันเดินตามภิกษุผู้เฝ้าประตูผ่านลานชั้นนอกเข้ามาในลานชั้นใน

ภิกษุหนุ่มหยุดที่ลาน จากนั้นก็ประนมมือกล่าว “ศิษย์พี่เหิงหย่วนโปรดรอตรงนี้สักครู่ อาตมาจะไปแจ้งอาจารย์อาจิ้งเฉิน”

สวี่ชีอันตอบกลับด้วยมารยาทของศาสนาพุทธ “รบกวนศิษย์น้องแล้ว”

ขณะที่มองดูภิกษุหนุ่มเข้าไปในห้อง สวี่ชีอันก็หวนนึกถึงบุคคลที่อยู่ในรายชื่อ

ครั้งนี้คณะทูตจากตะวันตกมีอยู่ทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน

นายทหารที่จุดรับรองต้องจัดเตรียมห้องในจุดพักม้าให้กับคณะทูตตามสมณศักดิ์ ภิกษุผู้มีอาวุโสสูงย่อมพักอยู่ในห้องชั้นเลิศ พวกเณรหรือภิกษุใหม่ไม่อาจพักอยู่ในห้องชุดใหญ่ๆ ได้ ส่วนหัวหน้าภิกษุผู้มีระดับสูงจะพักอยู่ในห้องเดี่ยวไม่มีหน้าต่าง

ดังนั้นทหารประจำจุดรับรองจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับตำแหน่งของบุคคลในคณะทูตด้วย

ผู้ที่มีอาวุโสสูงย่อมเป็นผู้นำของคณะทูตครั้งนี้ ‘ไต้ซือตู้เอ้อร์’ แต่พลังการฝึกตนเป็นอย่างไรนั้น นายทหารก็ไม่รู้แล้ว

ระดับรองลงมามีอยู่สองคนคือ ‘จิ้งเฉิน’ และ ‘จิ้งซือ’ ดูจากสมญานามแล้ว สองคนนี้น่าจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

ส่วนภิกษุรูปอื่นๆ ล้วนมือตำแหน่งเหมือนกัน

คนหนึ่งคือ ‘จิ้งเฉิน[1]’ ส่วนอีกคนคือ ‘จิ้งซือ[2]’ สมญานามของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ

พอคิดถึงตรงนี้ ภิกษุหนุ่มก็ออกมาแล้วเชิญให้สวี่ชีอันเข้าไป

เขาเดินตามภิกษุหนุ่มเข้าไปในห้องที่กำยานไม้กำลังลุกไหม้ ภิกษุผู้มีใบหน้ากลมและใบหูหนารูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิมองมาที่ประตูด้วยรอยยิ้ม

ภิกษุรูปนี้เก็บงำกลิ่นอาย จึงดูไม่ต่างจากคนทั่วไป

“ศิษย์พี่จิ้งเฉิน” สวี่ชีอันประนมมือ

“ศิษย์น้องเหิงหย่วน” ภิกษุวัยกลางคนกล่าวแล้วไหว้กลับ

เขารีบสั่งให้ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งยกชามาทันที เมื่อสวี่ชีอันดื่มลงไปแล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ผานซู่เพิ่งจะกลับวัด”

เขาต้องการจะบอกว่า ตอนนี้ภิกษุที่วัดมังกรเขียวคงได้รับข่าวเรื่องที่คณะทูตเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว…เจ้าอาวาสผานซู่ก็เพิ่งจะกลับไปที่วัดมังกรเขียว หากไม่มีเหตุผลสำคัญ คงไม่ให้ภิกษุในวัดกลับมาพูดคุยด้วย…ชั่วขณะนั้นสวี่ชีอันก็นึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง และรู้ว่านี่คือการหยั่งเชิงของอีกฝ่าย

ดังนั้นเขาถึงได้ร่างบทพูดมาก่อนแล้ว เขาจึงเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “อาตมาออกจากวัดมาหลายปีแล้วขอรับ”

ภิกษุจิ้งเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์น้องเหิงหย่วนหรือ?”

เสียงของเขาราวกับมีพลังวิเศษแปลกประหลาดบางอย่างที่ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกต่อต้านการโกหกโดยสัญชาตญาณ และต้องการอธิบายจุดประสงค์ของตัวเองออกไปจนหมดเปลือก

สาวกระดับห้า?

สวี่ชีอันใจตกไปที่ตาตุ่ม

เจ้าอาวาสผานซู่แห่งวัดมังกรเขียวก็อยู่ในระดับห้าเหมือนกัน ภิกษุในระดับนี้เปรียบเสมือน ‘กฎ’ เคลื่อนที่ พวกเขาจะส่งอิทธิพลต่อคนรอบตัวทั้งแบบที่ตั้งใจและแบบที่ไม่รู้ตัว

ผู้ละทางโลกไม่มุสา ห้ามสัมผัสสีกา ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นต้น…ไม่ว่าภิกษุสาวกจะกล่าวห้ามสิ่งใด คนที่อยู่ข้างๆ ก็จะเชื่อฟังไปโดยไม่รู้ตัว

สวี่ชีอันไม่เคยเห็นการต่อสู้ของสาวก แต่ก่อนหน้านี้ตอนไปวัดมังกรเขียวเพื่อทำคดีซังผอ ก็เคยอ่านข้อมูลของยอดฝีมือศาสนาพุทธมาก่อน

พลังการต่อสู้ของสาวกมาจาก ‘ศีล’ คล้ายกับวาจาบัญญัติกฎของลัทธิขงจื๊อ แต่ไม่ได้อันธพาลไปทั่วอย่างลัทธิขงจื๊อ

คำอธิบายยอดนิยมที่ว่า ‘ขงจื๊อเปล่งเพียงหนึ่งวาจาก็กลายเป็นจริง แม้ว่าผลที่ตามมาจะใหญ่มากก็ตาม’

แต่สาวกของศาสนาพุทธมีข้อจำกัด ไม่อาจเปล่งวาจาได้ตามใจชอบ ทำได้เพียงพูดคำเดียวว่า ‘สวี่ชีอัน เลิกบุหรี่แล้วจะได้พิชิตเขาเซียน’

จากนั้น นอกจากปากของสวี่ชีอันจะมีแห้งผากแล้ว แต่โดยพื้นฐานก็จะไม่มีผลสืบเนื่องใด

ส่วนการเปล่งวาจาของลัทธิขงจื๊อคือการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ แต่สาวกทำให้ผู้คนเชื่อฟังในกฎเกณฑ์ แก่นแท้ของทั้งสองอย่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

สวี่ชีอันประนมมือเอ่ยนามพระพุทธเจ้า “ศิษย์พี่และทุกท่านมาถึงเมืองหลวง ก็เพื่อผนึกสิ่งที่หลุดออกมาจากซังผอใช่หรือไม่ขอรับ”

คำพูดนี้ราวกับก้อนหินที่โยนลงไปในทะเลสาบ

จิ้งเฉินหรี่ตา ใบหน้าของเขายังคงสงบ แต่กลับยิ้ม “ศิษย์พี่ผานซู่กล่าวว่าอะไรหรือ”

ก่อนที่ภิกษุผานซู่จะกลับวัดมังกรเขียว อาจารย์อาตู้เอ้อร์ได้เน้นย้ำและเอ่ยเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องของสิ่งที่ถูกผนึกออกไปข้างนอก ซึ่งรวมถึงพวกภิกษุในวัดมังกรเขียวด้วย

ไต้ซือจิ้งเฉินจึงวางอุบายเอ่ยถามสวี่ชีอันเช่นนี้

สวี่ชีอันส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “ท่านอาจารย์มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ความจริงคืออาตมาก็เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีซังผอด้วย…”

ในดวงตาที่อบอุ่นและสงบนิ่งของจิ้งเฉินคล้ายจะมีแสงสีทองส่องวาบ

“อาตมามีศิษย์น้องผู้หนึ่ง สมญานามเหิงฮุ่ย พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ จู่ๆ เหิงฮุ่ยก็หายตัวไป ทั้งยังนำอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอายของวัดไปชิ้นหนึ่ง อาตมาตรวจสอบทั่วทุกที่ จึงพบว่าเขาคล้ายจะถูกพวกนายหน้านำตัวไปขาย…”

สวี่ชีอันเผยสีหน้าเศร้าโศกราวกับเจ็บปวดเหลือทน ทำได้เพียงท่องนามพระพุทธเจ้าเพื่อบรรเทาอารมณ์

“อามิตตาพุทธ”

จิ้งเฉินกำลังฟังอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นศิษย์น้องเหิงหย่วนเป็นเช่นนี้เขาก็ใจหล่นตุบ

“เบื้องหลังของคดีนี้ยังมีความลับอยู่หรือ”

“ใช่ขอรับ ศิษย์น้องเหิงฮุ่ยและฆราวาสหญิงคนหนึ่งผูกสัมพันธ์รักใคร่กัน หวังจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ดังนั้นจึงขโมยอาวุธเวทมนตร์ของวัดมังกรเขียวแล้วพากันหนีไปขอรับ”

จิ้งเฉินขมวดคิ้ว ความสงสัยฉายวาบ “ในเมื่อแอบหลบหนี ก็ไม่จำเป็นต้องขโมยอาวุธเวทมนตร์ไปนี่”

สวี่เหิงหย่วนถอนหายใจกล่าว “ฆราวาสหญิงผู้นั้นคือธิดาสายตรงของอวี้อ๋องขอรับ อวี้อ๋องนั้นเป็นพระอนุชาของฝ่าบาท เป็นชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง หากไม่มีอาวุธเวทมนตร์ปกปิดกลิ่นอาย พวกเขาก็หลบหนีออกจากเมืองหลวงไม่ได้”

ไต้ซือจิ้งเฉินสูญเสียคำพูด ไม่รู้จะพูดสิ่งใดไปพักหนึ่ง

หลังจากนั้น สวี่ชีอันก็เล่าสั้นๆ ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวสองคนที่ไร้เดียงสาต่อโลกถูกหลอกได้อย่างไร พวกเขาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างพรรคพวกอย่างไร และสิ้นชีพไปอย่างไร เขาเล่าออกไปอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

“อามิตตาพุทธ!”

ไต้ซือจิ้งเฉินประนมมือแสดงความเห็นอกเห็นใจและสวดพระนามพระพุทธเจ้า

หลังจากเงียบไปไม่กี่วินาที เขาก็พูดว่า “แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคดีซังผออย่างไรหรือ”

ถามได้ดี! สวี่ชีอันลอบยิ้มแล้วเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “คดีนี้มีการบิดเบือน ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ปรากฏให้เห็นขอรับ…เมื่อปลายปีที่แล้ว จู่ๆ วัดหย่งเจิ้นซานเหอประจำราชวงศ์ในซังผอก็ระเบิดจนพังลง สิ่งชั่วร้ายที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอหลุดออกมา จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งโกรธเกรี้ยว ออกคำสั่งให้สามสำนักสืบสวนอย่างเข้มงวด และสาเหตุที่อาตมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เพราะสิ่งชั่วร้ายชิ้นนั้นได้เข้ามาเป็นกาฝากอยู่ในร่างกายของศิษย์น้องเหิงฮุ่ยขอรับ”

“อะไรนะ?!”

ไต้ซือจิ้งเฉินพลันหน้าเปลี่ยนสี เขาเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นตอนนี้สิ่งชั่วร้ายนั่นอยู่ที่ใด เหิงฮุ่ยยังไม่ตายหรือ ต้าฟ่งจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ท่านโหราจารย์ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยรึ หรือว่า สิ่งชั่วร้ายนั่นถูกท่านโหราจารย์ผนึกได้อีกครั้งแล้ว?”

เขาถามคำถามมากมายเป็นชุด ความนิ่งเรียบอย่างภิกษุชั้นสูงหายไปไม่มีเหลือ

“ศิษย์พี่จิ้งเฉินอย่างเพิ่งร้อนใจ อาตมาจะค่อยๆ เล่า…“

สวี่ชีอันเล่าถึงคดีซังผอและคดีท่านหญิงผิงหยางออกมาแบบคร่าวๆ และพูดถึงจุดเชื่อมระหว่างคดีทั้งสอง และความลับที่พัวพันอยู่เบื้องหลังให้ภิกษุจิ้งเฉินฟังอย่างละเอียด

ภิกษุจิ้งเฉินเงียบไปนาน คล้ายจะถูกคดีที่สลับซับซ้อนพันพัวจนทำให้ตื่นตกใจ

เบื้องหลังเหล่านี้ แม้แต่เจ้าอาวาสผานซู่ก็ยังไม่รู้ เขาเป็นเพียงแค่คนที่มามาจากตะวันตกที่ได้รับข่าวว่าของของศาสนาพุทธที่ถูกผนึกใต้ซังผอหลุดออกมาเท่านั้น

‘อาจารย์เข้าวังเพื่อไปทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ไม่คิดมาก่อนว่าข้าที่อยู่เฝ้าจุดพักเปลี่ยนม้ากลับรู้ทุกอย่างเป็นคนแรก’ ภิกษุจิ้งเฉินถอนหายใจและกล่าวว่า

“คดีนี้พลิกผันและแปลกประหลาดจริงๆ คนที่สามารถไขคดีได้ก็ยิ่งเก่งกาจ ศิษย์น้องเหิงหย่วนรู้รายละเอียดเรื่องนี้ได้อย่างไรหรือ?”

สวี่ชีอันรู้อยู่แล้วว่านี่คือข้อสงสัยที่ภิกษุจิ้งเฉินจะเอ่ยถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่บังคับตัวเองให้ต่อต้านสัญชาตญาณที่จะ ‘ไม่โกหก’ แล้วตอบกลับ

“แม้ว่าคดีนี้จะให้สามสำนักเป็นผู้สืบสวน แต่ผู้ที่สืบคดีซังผอและคดีท่านหญิงผิงหยางออกมาได้จริงๆ ก็คือฆ้องเงินจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันขอรับ อาตมาและใต้เท้าสวี่มีไมตรีต่อกัน และตัวอาตมาก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพราะศิษย์น้องเหิงฮุ่ย จึงรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนขอรับ”

‘ฆ้องเงินสวี่ชีอัน’ ภิกษุจิ้งเฉินจดจำชื่อนี้ไว้แล้วถามอย่างรีบร้อน “ฆ้องเงินแซ่สวี่เป็นคนเช่นไร ศิษย์น้องเหิงหย่วน โปรดกล่าวให้ละเอียด”

“เฮ้อ!”

สวี่เหิงหย่วนไม่พูดอะไร เพียงแต่ถอนหายใจยาวเหยียด

“ศิษย์พี่ เรื่องนี้น่ะ…อาตมาคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ก็ได้แต่ทอดถอนใจ”

“หืม? พูดเช่นนี้มีความหมายใดหรือ”

สวี่เหิงหย่วนเอ่ยช้าๆ “ศิษย์พี่อาจยังไม่รู้ สวี่ชีอันผู้นี้เป็นคนที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่อาตมาเคยเห็นมาในชีวิตนี้ ในด้านการฝึกตนเขาก็มีพรสวรรค์ยิ่ง ทั่วทั้งต้าฟ่ง คนที่จะนำมาเปรียบเทียบกับเขาได้ หายากนัก

“ในด้านงานราชการ เขาก็ยืนหยัดไม่ยอมหาเศษหาเลยจากชาวบ้านแม้แต่นิด และยึดถือความรับผิดชอบต่อประเทศชาติเป็นสำคัญ ส่วนการสืบคดี ยอดฝีมือในต้าฟ่งมีมากมายราวกับก้อนเมฆ แต่เทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งนิ้วของเขา ในด้านบทกวี เขาถูกเรียกว่าเป็นยอดกวีในรอบสองร้อยปีของต้าฟ่ง ว่ากันว่าเหล่านางคณิกาในสำนักสังคีตล้วนชื่นชอบเขาจนแทบจะตายแทนได้ เขากลับละเลยไม่สนใจ”

ภิกษุจิ้งเฉินตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าในเมืองหลวงจะมีคนเช่นนี้อยู่

“บนโลกนี้มีคนเช่นนี้อยู่ แต่ไม่ได้เร่วมศาสนาพุทธ ช่างน่าเสียดายนัก” ประกายแสงคมปลาบวาบขึ้นในแววตาของภิกษุจิ้งเฉิน

แย่แล้ว คุยโวเสียยกใหญ่ เจ้านี่คงคิดอยากจะชิงตัวข้าเข้า ‘มิติ’ ล่ะสิ แล้วข้าจะต้องการแท่งเหล็กไปเพื่ออะไร

สวี่ชีอันร้องเตือนในใจ เขาเปลี่ยนเรื่องด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี ประเด็นที่แท้จริงของวันนี้จะเผยออกมาแล้ว “ที่มาหาศิษย์พี่ครั้งนี้ก็เพราะใคร่รู้ว่าสิ่งชั่วร้ายใต้ทะเลสาบซังผอมันคืออะไรกันแน่ อาตมารู้เพียงแค่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงถูกผนึกไว้ใต้ซังผอ”

“เอ่อ…” ภิกษุจิ้งเฉินเผยสีหน้ายุ่งยาก

“ศิษย์พี่มีคำพูดใดที่เก็บเอาไว้หรือขอรับ” สวี่เหิงหย่วนเอ่ยถาม

“เรื่องนี้เป็นความลับของศาสนาพุทธ ศิษย์น้องอย่าได้ถามเลยจะดีกว่า” จิ้งเฉินกล่าว

“อ่า!”

สวี่เหิงหย่วนยิ้มเย็น “อาตมาเข้าใจแล้ว อาตมาเห็นสำนักทางตะวันตกเป็นคนกันเอง แต่คิดไม่ถึงว่าในสายตาของศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักนี้จะมองอาตมาเป็นคนนอก ช่างเถิดๆ อาตมาคิดเข้าข้างตัวเองแล้ว อาตมาจะไปทันที ศาสนาพุทธทางตะวันตกก็คือศาสนาพุทธทางตะวันตก วัดมังกรเขียวก็คือวัดมังกรเขียว ล้วนแตกต่าง”

พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

“หยุดก่อน!”

จิ้งเฉินหยุดพูด ใบหน้าบูดบึ้ง “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์ศาสนาพุทธ ล้วนแต่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ต่างก็เป็นคนกันเอง สิ่งที่ศิษย์น้องเพิ่งกล่าวมานั้นช่างบาดจิตใจจริงๆ ต่อไปอย่าได้พูดอีกนะ”

น่าสนใจ…สวี่เหิงหย่วนมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แล้วแค่นเสียงเย็น

คราวนี้เขาใช้สิงโตคำรามสำนักพุทธด้วย เสียงฮึที่แค่นออกมาจึงดังก้องอยู่ในห้อง

‘จอมยุทธ์ภิกษุอารมณ์รุนแรงเช่นนี้ตลอด…’ จิ้งเฉินถอนหายใจแล้วเอ่ยเรียก “ศิษย์น้องนั่งก่อน อาตมาจะบอกเรื่องที่รู้ให้ฟัง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง