บทที่ 280 ศัตรูตลอดกาลของหลี่อวี้ชุน
อาทิตย์สูงเหนือศีรษะ งานเลี้ยงค่อยๆ เข้าสู่ช่วงเวลาที่ดี หลังจากสวี่ชีอันคารวะก็ขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อออกจากงานเลี้ยง แล้วกลับไปยังห้องหนังสือเพื่อพิจารณาว่าจะเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ส่งสารของสำนักพุทธแดนประจิมได้อย่างไร
จงหลีนั่งอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยม ก้มหน้ากินอาหารคำเล็กๆ
จากการบ้านที่ทำในช่วงเวลานี้ เขาเข้าใจว่ากลุ่มผู้ส่งสารของสำนักพุทธแดนประจิมมีจุดประสงค์สองประการในการมาเยือนเมืองหลวงครั้งนี้
จุดประสงค์แรก แน่นอนว่าเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของคดีซังผอ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาเช่นกัน
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกลาหัวโล้นแค่จะทำความเข้าใจ หรือจะอยู่เมืองหลวงระยะยาวเพื่อค้นหาที่อยู่ของไต้ซือเสินซู…อาจต้องรอให้พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที” สวี่ชีอันตวัดพู่กันในมือ
จุดประสงค์รองน่าจะเป็นการยกทัพมาโจมตี
ความสัมพันธ์ของสำนักพุทธกับต้าฟ่งซับซ้อนยิ่ง ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจเป็นพันธมิตรแบบ mmp[1]
ตัวอย่างเช่น ยุทธการด่านซานไห่ในปีนั้น อาณาจักรพุทธแดนประจิมและต้าฟ่งเป็นสัมพันธมิตรกันและเป็นประเทศที่ได้รับชัยชนะ ซินเจียงตอนใต้และตอนเหนือเป็นประเทศที่พ่ายแพ้
ทว่าหลังจากประสบห้วงฝันของการฟื้นคืนจากความตายในครั้งนั้น สวี่ชีอันพบว่าการต่อสู้ซานไห่กวนนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่บันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ เพราะสำนักพ่อมดตะวันออกเฉียงเหนือก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
“อนารยชนซินเจียงตอนใต้และตอนเหนือ เผ่าพันธุ์ปีศาจตอนเหนือ และสำนักพ่อมดตะวันออกเฉียงเหนือ…หากพวกกากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ฝ่ายที่เป็นฝั่งพ่ายแพ้จะมีมหาศาล กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังชาติของต้าฟ่งในปีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด สำนักพุทธแดนประจิมแข็งแกร่งแค่ไหน ความสามารถในการนำทัพต่อสู้ของเว่ยเยวียนแกร่งกล้าเท่าใด เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็พลันน่าสะพรึง”
ทว่าความสัมพันธ์ของสัมพันธมิตรนี้ไม่น่าเชื่อถือ สองทศวรรษที่ผ่านมานี้ซินเจียงตอนใต้และตอนเหนือล่วงล้ำชายแดนต้าฟ่งหลายครั้ง ราชสำนักขอความช่วยเหลือจากแดนตะวันตกหลายครา ทว่าสำนักพุทธก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ไม่ต้องเอ่ยถึงตอนเหนือ แค่เขตซินเจียงตอนใต้ปัจจุบันนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของสำนักพุทธกว่าครึ่งแล้ว ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของอาณาจักรหมื่นปีศาจในตอนนั้น
หากอาณาจักรพุทธคำนึงถึงมิตรภาพแห่งสัมพันธมิตรจริงๆ ส่งทหารไปขโมยก้อนผลึกโดยตรงก็พอแล้ว อนารยชนซินเจียงตอนใต้ยังจะกล้าบุกโจมตีชายแดนงั้นหรือ
แน่นอนว่าต้าฟ่งก็ไม่ได้ดีเด่อะไร สำนักอวิ๋นลู่ในปีนั้นเป็นผู้นำหนึ่งเดียวในการทำลายพุทธศาสนา ไม่นานมานี้ไต้ซือเสินซูก็พ้นทุกข์ ท่านโหราจารย์ตาลุงแก่นั่นก็แกล้งป่วยหน้าด้านๆ
“การยกทัพโจมตีไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าเป็นแค่ฆ้องเงินผู้ต่ำต้อย ย่อมมีท่านทั้งหลายในท้องพระโรงและเจ้าชายแห่งราชสำนักและจักรพรรดิหยวนจิ่งหาเรื่องให้กลัดกลุ้มเองเป็นธรรมดา ข้าไม่รู้ว่าท่านโหราจารย์จะลงมือหรือไม่ เฒ่าเหรียญปากผีคงไม่ยุ่งเกี่ยวอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการคดีซังผอ เป็นข้าเองที่ติดต่อกับภิกษุสำนักพุทธเสียส่วนใหญ่…เพื่อความปลอดภัย ควรไปพบท่านโหราจารย์สักหน่อยเถอะ นอกจากนั้นการมาเยือนของกลุ่มผู้ส่งสารในครั้งนี้เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส ตัวตนของไต้ซือเสินซู คนของสำนักพุทธกระจ่างแจ้งที่สุด ข้าใช้โอกาสนี้พูดเปรียบเปรยได้ ขุดข้อมูลที่มากกว่าเดิมออกมา เช่นนี้ก็เป็นการดีที่จะให้คำอธิบายกับไต้ซือเสินซู”
แผนการอันอาจหาญก่อตัวขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน
“จงหลี พวกเราไปกันเถอะ”
เขาเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที สวมหมวกขนมิงค์ แล้วออกจากจวนสกุลสวี่
ครั้นขึ้นขี่แม่ม้าน้อยที่ไม่มีวันสัญจรติดขัด ไม่นานนักก็มาถึงหอดูดาว เขาผูกแม่ม้าน้อยข้างแท่นบันได แล้วขึ้นตึกเคียงข้างไปกับจงหลี
เมื่อสิ้นสุดขั้นบันไดหินก็เข้าสู่ห้องโถงชั้นหนึ่ง ภาพเลือนรางตรงหน้าปรากฏแผ่นหลังของโหรชุดขาวคนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลังดังกังวาน
“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา…”
“โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา” สวี่ชีอันชิงตอบ
หยางเชียนฮ่วนชะงักไปสักพักก่อนจะเอ่ยอีกครั้งอย่างสบายๆ “สองมือไขว่คว้าเดือนดารา…”
“โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา” สวี่ชีอันชิงตอบอีกครั้ง แล้วเอ่ย “ศิษย์พี่หยาง พวกเราต้องไปพบท่านโหราจารย์ ท่านอย่าได้ขวางทาง”
หยางเชียนฮ่วนเงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ย “ข้าก็มาเพื่อการนี้ ท่านอาจารย์ให้ข้ามาแจ้งเจ้า”
ท่านโหราจารย์รู้ว่าข้าจะมา? สวี่ชีอันพยักหน้าเอ่ย “เชิญกล่าว”
หยางเชียนฮ่วนกดปราณดิ่งลงสู่จุดตันเถียน “ไสหัวไป!”
…
สวี่ชีอันตบหูพลางปลดบังเหียนของแม่ม้าน้อยออก แล้วเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “พวกเจ้าสำนักโหราจารย์ก็ใช้สิงโตคำรามสำนักพุทธได้หรือ หูข้าอื้อไปหมดแล้ว ทำอย่างไรดี หูจะหนวกหรือไม่”
เมื่อพูดจบเขาเห็นจงหลีทำภาษามืออย่างเงียบๆ ‘หูข้าหนวกแล้ว ข้าต้องกลับไปกินยา มิเช่นนั้นหูจะใช้การไม่ได้’
“…”
สวี่ชีอันชี้ไปที่หูแล้วชี้ไปที่ตนเอง หมายถึง ‘ข้าทำร้ายเจ้าหรือ’
จงหลีส่ายหน้าอย่างจำใจ ไม่อยากพล่ามไร้สาระกับสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันพยักหน้า ดูเหมือนว่านี่จะเป็นมหันตภัยสำหรับจงหลีอีกครั้ง แต่ตนกลับได้รับความเชื่อมโยงจากฝ่ายตรงข้าม
ท่านโหราจารย์ไม่พบข้า นี่แสดงให้เห็นว่าผลจากการปิดกั้นความลับของสวรรค์น่าจะพอรับมือกับภิกษุสมณศักดิ์สูงของสำนักพุทธได้… เมื่อได้รับคำตอบที่ตนต้องการ สวี่ชีอันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
รออยู่ข้างล่างตึกพักหนึ่ง จงหลีที่กินยาเสร็จก็เดินกลับมา
“หูดีขึ้นหรือยัง”
จงหลีพยักหน้า “อืม”
ในไม่ช้า ทั้งสองคนมาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มุ่งตรงไปยังโถงจินอวี้ของหมิ่นซาน ฆ้องเงินหมิ่นร่างบึกบึนกำยำผู้มีรอยแผลเป็นข้างแก้มเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“โถงอี้เตาของเจ้าบูรณะเรียบร้อยแล้ว ยังจะมาที่นี่อีกด้วยเหตุใด”
โถงอี้เตาเป็น ‘ห้องทำงาน’ ของสวี่ชีอัน เขาเป็นคนตั้งชื่อเอง ซึ่งมีความหมายว่า ‘วีรบุรุษในใต้หล้า ผู้ใดจะขวางข้าได้ด้วยดาบเดียว’
“วันนี้เมืองหลวงมีเรื่องอะไรหรือไม่” สวี่ชีอันพลั้งปากถาม
“เจ้าก็ได้ข่าวงั้นหรือ”
หมิ่นซานพ่นลมหายใจ “กลุ่มผู้ส่งสารแดนประจิมมาเยือนแล้ว ได้ยินว่าในขบวนมีภิกษุสมณศักดิ์สูงบรรลุเต๋าอยู่ด้วย แสงพุทธทะยานขึ้นฟ้าภายในระยะสิบลี้ ทหารรักษาเมืองไม่น้อยก็เห็น หลังจากเข้าเมืองแล้ว ประชาชนต่างกู่ร้องเรียกภิกษุเกจิอย่างบ้าคลั่ง กล่าวได้ว่าฝีมือการปลุกปั่นประชาชน สำนักพุทธยังคงแข็งแกร่งที่สุด”
นี่คงจะเป็นความสามารถของปรมาจารย์ขั้นเจ็ด ข้าจำได้ว่าในข้อมูลของคลังเอกสารเคยบันทึกไว้ว่า ปรมาจารย์ขั้นเจ็ดได้เปิดแท่นบูชาเทศนาธรรม ประชาชนได้ยิน รู้แจ้งเห็นจริง กรูกันเข้าสู่ประตูแห่งธรรม…สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นฉงน
“กลุ่มผู้ส่งสารของสำนักพุทธมาทำอะไรที่เมืองหลวงกัน”
“ใครจะรู้ล่ะ”
หมิ่นซานไม่รู้ว่าสิ่งที่ผนึกในคดีซังผอแท้จริงแล้วคือไต้ซือเสินซูจากสำนักพุทธ ยิ่งไม่รู้ส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้น
…
เรือขนส่งค่อยๆ เทียบท่า หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนับสิบนายยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือใบสามเสา
ฆ้องทองคำหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จงนำกลุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออกจากเรือ กลุ่มคนทอดสายตามองเมืองหลวงที่จากมานาน ในใจตื่นเต้นเหลือเกิน
โดยเฉพาะเจียงลวี่จงและผู้ตรวจการจางผู้นำขบวนออกจากเมืองหลวงนานกว่าสองเดือน พวกเขาออกจากเมืองหลวงช่วงกลางฤดูหนาว เมื่อกลับมาอีกที กิ่งต้นหลิวก็แตกหน่อ สรรพสิ่งถือกำเนิดใหม่แล้ว
หลี่อวี้ชุนโบกมือเรียกซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว แล้วเอ่ยเสียงขรึม “หลังรายงานเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราไปไหว้หนิงเยี่ยนกันเสียหน่อย”
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
หลังจากการเสียชีวิตของสวี่หนิงเยี่ยน ผ่านไปเดือนกว่า ความโศกเศร้าที่โหมกระหน่ำดุจกระแสน้ำในตอนนั้นก็ฝังแน่นอยู่ในใจจวบจนทุกวันนี้ กลายเป็นสหายร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาที่พวกเขาจะจารึกในความทรงจำตลอดไป
หลายปีต่อมา เมื่อหวนนึกถึงชายหนุ่มที่เริงร่าไร้สาระผู้นั้น บางครั้งในใจยังโศกเศร้าเสียใจอยู่เล็กน้อย
หยางเยี่ยนที่เดินอยู่ข้างหน้าหันกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่น้ำเสียงกลับทุ้มเบายิ่ง “ข้าก็จะไปเช่นกัน”
ผู้ตรวจการจางทอดถอนใจ “ข้าต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท จึงไม่ได้ไปกับพวกเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะพาภรรยาและลูกไปไหว้เอง”
เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ พรุ่งนี้เจียดเวลาไปไหว้หลุมศพสวี่หนิงเยี่ยนไม่ได้แน่ๆ
ชายผู้นี้ลอยล่องอยู่บนน้ำตลอดตั้งแต่ชิงโจว ย่อมไม่ได้รับสารจากราชสำนัก จึงไม่ทราบเรื่องที่สวี่ชีอันฟื้นคืนชีพ
ทว่าสวี่ชีอันไม่เพียงแต่ฟื้นคืนชีพ แต่ยังคลี่คลายคดีฆาตกรรมในพระราชวังอีกด้วย
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
…
ทางด้านสวี่ชีอันก็พาจงหลีออกจากโถงจินอวี้ กำลังจะไปชมห้องของตน ขณะที่จงหลีกำลังเดินอยู่นั้นก็พลันพบว่าสวี่ชีอันหยุดฝีเท้าลง
นางเหลือบมองสวี่ชีอัน จากนั้นมองทางเข้าที่ทำการปกครองตามสายของเขา มีกลุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางข้ามธรณีประตูอยู่ตรงนั้น…ล้วนชะงักอยู่ตรงนั้นทั้งสิ้น ราวกับรูปปั้นหิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง