ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 279

บทที่ 279 แสงแห่งพุทธ

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามไม่ได้รับอย่างรู้กัน แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน

เมื่อเจ้าสำนักจ้าวโส่วเห็นเช่นนี้ก็เอื้อมมือไปรับกระดาษเซวียนจื่อที่พับไว้อย่างดี คลี่ออกช้าๆ จากนั้นเขาตกอยู่ในความเงียบอยู่นาน

เมื่อสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของ จ้าวโส่ว จางเซินก็เอ่ยหยั่งเชิง “ท่านเจ้าสำนัก?”

ทว่าเจ้าสำนักไม่ตอบเขา ปากบ่นพึมพำเบาๆ ตกอยู่ในอารมณ์บางอย่าง มิอาจสลัดได้ชั่วขณะ

ผ่านไปสักพัก จ้าวโส่วก็ลูบเคราพร้อมยิ้ม “กลอนดี! ข้าต้องการสลักกลอนบทนี้ในวิหารรองปราชญ์เอกด้วยมือของข้าเอง ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอวิ๋นลู่ หากลูกหลานรุ่นหลังในวันหน้าหวนกลับมามองประวัติศาสตร์ช่วงนี้ มีกลอนบทนี้ก็เพียงพอแล้ว คืนนี้พวกเจ้าทั้งสามมาดื่มสุราที่จวนข้า พวกเราจะดื่มกันกระทั่งฟ้าสาง”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามต่างคาดไม่ถึง เจ้าสำนักจ้าวโส่วในฐานะผู้นำลัทธิขงจื๊อในทุกวันนี้จะสติแตกเพียงเพราะกลอนบทเดียวได้อย่างไร

แม้จะเป็น ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ และ ‘ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’ ผลงานชั้นยอดที่ผู้คนต่างชื่นชมนี้ เจ้าสำนักก็เพียงแค่ยกยิ้มชมเชย

“พวกเจ้าเอาไปดูเอง! ” จ้าวโส่วยืนกระดาษให้

จางเซินรับมาดูพร้อมกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งใหญ่ทั้งสอง สีหน้าของทั้งสามพลันแข็งทื่อเฉกเช่นกับจ้าวโส่วก่อนหน้านี้ ดำดิ่งอยู่ในอารมณ์บางอย่าง มิอาจสลัดหลุดอยู่นาน

“หนทางเข็ญ เส้นทางลําเค็ญ ทางแยกมากมาย บัดนี้อยู่แห่งหนใด ขี่ลมฝ่าคลื่นมีครั้งครา ยกใบเรือฝ่ามหาสมุทร” หลี่มู่ไป๋พลันสะเทือนใจแสนสาหัส แล้วเอ่ยอย่างโศกเศร้า

“กลอนบทนี้ผู้ประพันธ์ก็คือสำนักอวิ๋นลู่ของพวกเรานี่แหละ”

สองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นและเฉินไท่กำหมัดแน่น พวกเขาเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าสำนักจึงสติแตก หลี่มู่ไป๋พูดถูก กลอนบทนี้เขียนให้สำนักอวิ๋นลู่

ย้อนกลับไปเมื่อสองร้อยปีที่ราชวิทยาลัยหลวงก่อตั้งมานี้ สำนักอวิ๋นลู่เข้าสู่ยุคที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ เหล่าบัณฑิตแขวนตะเกียงเรียนอย่างหนัก มุมานะพัฒนา สิ่งที่แลกมากลับเป็นการซุกความเก่งใต้หิมะ เลือดอันเร่าร้อนไร้ที่หลั่งเวียน ความปราดเปรื่องอันเปี่ยมล้นไร้ที่สำแดง

พักแก้ววางตะเกียบมิอาจรับประทาน ชักดาบมองรอบด้านใจพลันฉงน

สองประโยคสุดท้ายนี้ช่างเป็นงานประพันธ์ล้ำเลิศดุจเทพนิรมิต ทำให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนพลันรู้สึกอาจหาญ จิตใจปั่นป่วน

เสน่ห์อันสูงสุดของบทกวีคือการเข้าถึงใจ ซึ่งปักเข้าที่ก้นบึ้งหัวใจของเจ้าสำนักจ้าวโส่วและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามอย่างจัง

“เจ้าสำนัก…”

จางเซิ่นกระแอม ขจัดอารมณ์ที่ปั่นป่วนออกไป แล้วเอ่ยเสียงเบา “สวี่ฉือจิ้วเป็นศิษย์ของข้า ข้ากล้ำกลืนทุกข์ยากสั่งสอนมา”

“จิ่นเหยียน ลำบากเจ้าแล้วๆ ” จ้าวโส่วเอ่ยอย่างปลื้มปีติ

“การชุบเลี้ยงผู้มีพรสวรรค์ให้กับสำนัก เป็นภาระหน้าที่ของข้าจางจิ่นเหยียน จะพูดว่าลำบากได้อย่างไร” จางเซิ่นกล่าวอย่างชอบธรรม

“ทว่าข้ามีคำขอเล็กๆ หวังว่าเจ้าสำนักจะสนองได้”

เฉินไท่และหลี่มู่ไป๋ตื่นตัวขึ้นในทันใด

จ้าวโส่วเอ่ยอย่างนุ่มนวล “คำขออะไร”

“ยามที่สลักบทกลอนด้วยมือของท่านเอง จำไว้ว่าต้องเขียนตัวอักษรเล็กๆ ไม่กี่ตัวหลังลายเซ็นของฉือจิ้วว่า ‘อาจารย์จางเซิ่น อักษรโดยจิ่นเหยียน คนจากจิงโจว’ ”

จ้าวโส่วยังไม่ทันจะได้ตอบ เฉินไท่และหลี่มู่ไป๋ก็เอ่ยขึ้นก่อน “ข้อขอคัดค้าน!”

จางเซิ่นบันดาลโทสะ “บทกลอนที่ศิษย์ของข้าเขียนเกี่ยวอะไรกับเจ้า พวกเจ้าถึงมาคัดค้านกัน”

“ไอ้เศษสวะ!”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองพ่นลมจนเคราปลิวตาจ้องเขม็ง แล้วแฉโพยอย่างไม่เกรงใจใดๆ “ศิษย์ของเจ้าอยู่ระดับใด ตัวเจ้าเองก็ไม่มั่นใจหรือ กลอนบทนี้ผู้ใดประพันธ์ขึ้น เจ้ากล้าพูดว่าไม่รู้งั้นหรือ”

แน่นอนว่าจางเซิ่นรู้ดี สวี่ฉือจิ้วเป็นศิษย์ของเขา ศิษย์ของตนเป็นอย่างไร ผู้เป็นอาจารย์ย่อมรู้ดีกว่าใคร

ส่วนสวี่ฉือจิ้วคาดเดาคำถามได้อย่างไรนั้น ความคิดของจางเซิ่นคือสวี่ชีอันได้ขอความช่วยเหลือจากเว่ยเยวียน

“? ”

เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในใจของจ้าวโส่ว แล้วโบกมือปัดการได้ยินจากศิษย์ที่แจ้งข่าวอยู่ด้านข้าง พร้อมเอ่ยเสียงขรึม “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ กลอนบทนี้สวี่ฉือจิ้วไม่ได้ประพันธ์ขึ้น? ”

เฉินไท่ส่งเสียง ‘ฮึ’ “สวี่ฉือจิ้วชำนาญกลยุทธ์การเมือง คำกลอนไม่หวือหวา จะสร้างผลงานชั้นยอดที่ปลุกเร้าจิตใจผู้คนออกมาได้อย่างไร”

หลี่มู่ไป๋กล่าวเสริม “ไม่ใช่สวี่ชีอันศิษย์ของข้าประพันธ์ขึ้นหรือ”

“กลายเป็นศิษย์ของเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” จางเซิ่นเยาะเย้ยพร้อมเอ่ย “นั่นก็เป็นศิษย์ของข้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นจะเขียนชื่อข้าก็ไม่ผิด”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมีปากเสียงกันเอะอะ

เจ้าสำนักจ้าวโส่วฟังอยู่พักหนึ่งก็เข้าใจคร่าวๆ ว่ากลอนบทนี้สวี่ฉือจิ้วไม่ได้เป็นคนประพันธ์ แต่เป็นญาติผู้พี่ของเขาที่ถูกปราชญ์หลินยกย่องว่าเป็นเจ้าแห่งกวีผู้นั้นประพันธ์ขึ้น

หากเป็นเช่นนี้สวี่ฉือจิ้วก็หลอกลวงแล้ว

“จริงสิ ฮุ่ยหยวนของพวกเราผู้นี้ศึกษาอะไร” จ้าวโส่วเอ่ยถาม

ลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับบุคลิกประจำตัว ยิ่งระดับของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สูงเท่าไรก็ยิ่งให้ความสำคัญกับความแน่วแน่ทางด้านศีลธรรม พูดให้ชัดๆ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนล้วนมีคุณธรรมอันสูงส่งยิ่ง

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าลัทธิขงจื๊อทุกคนจะเป็นแม่พระกำมะลอ เว้นเสียแต่จะสร้าง ‘ชะตา’ ของแม่พระกำมะลอยามอยู่ในระดับก่อชะตา มิฉะนั้น ปัญหาหยุมหยิมสามารถหายไปได้ ปัญหาไม่ใหญ่นัก

แต่การโกงไม่ใช่ปัญหาหยุมหยิม

“ปกครองประเทศและตำราพิชัยสงคราม!” จางเซิ่นกล่าว เดิมเขาก็เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาจากตำราพิชัยสงคราม

การปกครองประเทศเป็น ‘ทักษะ’ ที่บัณฑิตของลัทธิขงจื๊อทุกคนต้องเรียน บัณฑิตลัทธิขงจื๊อยังเลือกหนึ่งถึงสอง ‘บทเรียน’ ของวิชาเอกได้อีกบนพื้นฐานนี้

บัณฑิตบางส่วนศึกษา ‘ตำราพิธีกรรม’ เป็นหลัก บัณฑิตบางส่วนศึกษา ‘ตำราทางสายกลาง’ เป็นหลัก และสวี่ฉือจิ้วศึกษา ‘ตำราพิชัยสงคราม’ เป็นหลัก

เมื่อจ้าวโส่วได้ยินคำพูดก็พยักหน้าอย่างวางใจ หากศึกษา ‘ตำราพิชัยสงคราม’ เป็นหลักเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา คงไม่ส่งผลต่อการเลื่อนขั้นในอนาคต

“พวกเจ้าไม่ต้องเถียงเรื่องบทกวีบทเดียว ข้าคิดว่าสวี่ชีอันผู้นั้นยืมมือของญาติผู้น้องมอบกลอนบทนี้ให้สำนัก นี่เป็นผลตอบแทนที่ใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเรา” จ้าวโส่วกล่าว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง