บทที่ 284 ธรรมลักษณะของสำนักพุทธ (2)
สวี่ชีอันจูงแม่ม้าตัวน้อยและเดินไปอย่างช้าๆ พร้อมกันกับเหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่น
“พี่ฉู่ กระบี่เมื่อสักครู่นี้ใช้พลังไปกี่ส่วนหรือ” สวี่ชีอันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้าและตอบเลี่ยงๆ “เส้นทางที่ภิกษุน้อยรูปนั้นเดินเหมือนกับเจ้าและตรงข้ามกับเจ้า”
สวี่ชีอันเข้าใจในทันที ความหมายของฉู่หยวนเจิ่นคือภิกษุจิ้งซือเป็นเพียงระดับเพชรไร้พ่าย จุดนี้เหมือนกับสวี่ชีอันที่มีเพียงพลังแห่งดาบเท่านั้น
แต่ในทางตรงข้ามมันเป็นทั้งรุกและรับ
“เช่นนั้น พี่ฉู่คิดว่าหอกของข้าสามารถทะลวงเกราะของเขาได้หรือไม่” สวี่ชีอันถาม
“เจ้าสามารถทำได้!”
ฉู่หยวนเจิ่นมองเขาและยิ้มอีกครั้ง “แต่ก็ไม่สามารถทำได้”
สวี่ชีอันทำหน้าเคร่งขรึม “ปัญญาชนกับคนในสำนักพุทธน่ารำคาญเหมือนกันเลย”
ฉู่หยวนเจิ่นถามด้วยความประหลาดใจ “อย่างไรหรือ”
สวี่ชีอันยิ้ม “คิดเอาเองเถิด”
ฉู่หยวนเจิ่นไม่สบอารมณ์ทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ๆ เขาก็เข้าใจ ส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ “เล่นด้วยแบบนี้น่าเบื่อจริงๆ คนอวดฉลาดมักทำเรื่องเช่นนี้อยู่ร่ำไป”
เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วชี้แนะ “ดาบเดียวตัดฟ้าดินของเจ้าทรงพลังมาก หลังจากหลอมรวมกับเคล็ดลับของกระบี่ใจก็ยิ่งไม่มีจุดอ่อน แต่ในความคิดของข้า มันยังขาดจิตวิญญาณ”
จิตวิญญาณงั้นหรือ สวี่ชีอันปฏิเสธคำคำนี้
“สิ่งที่เจ้าใช้คือดาบเดียวตัดฟ้าดิน และเป็นเพียงดาบเดียวตัดฟ้าดิน ทว่าสิ่งที่ข้าใช้ไม่ใช่เคล็ดกระบี่ แต่เป็นจิตใจของข้า เมื่อข้าเกียจคร้าน ปราณกระบี่ก็เกียจคร้านเช่นกัน เมื่อข้าอ่อนโยน ปราณกระบี่ก็อ่อนโยนเช่นกัน แต่หากข้าโกรธขึ้นมา จิตแห่งกระบี่ของข้าก็สามารถทะลวงฟ้าดินได้” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยเสียงเข้ม
“นี่คือจิตใจ! นี่คือจิตวิญญาณ! นี่คือแก่นแท้ของทหารระดับสี่!”
สวี่ชีอันหวนนึกถึง ‘พลังมหัศจรรย์’ ของเหล่าฆ้องทองคำในที่ทำการปกครอง จึงพยักหน้ารับทันที “แต่เจ้าก็พูดเองว่า นั่นคือแก่นแท้ของทหารระดับสี่”
ข้าเป็นเพียงฆ้องเงินตัวเล็กๆ ระดับหลอมวิญญาณระดับเจ็ด
“ข้าสามารถสอนเจ้าหล่อเลี้ยงจิตใจและฝึกฝนจนถึงระดับที่สูงส่งล้ำลึก ซึ่งเทียบเท่ากับความสามารถของทหารระดับสี่ได้ แน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมลดลงอย่างมาก แต่เมื่อหลอมรวมกับดาบเดียวตัดฟ้าดินของเจ้า ก็เพียงพอที่จะทำลายระดับเพชรของสำนักพุทธแล้ว”
“การฝึกฝนเคล็ดวิชา ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน” สวี่ชีอันกล่าว
สิ่งที่เขาอยากกล่าวจริงๆ คือ ข้าสามารถฝึกทักษะของเจ้าฟรีๆ ได้งั้นหรือ
“ขั้นพื้นฐานง่ายมาก!” ฉู่หยวนเจิ่นยิ้ม “หนึ่งปีหลังจากที่ข้าเรียนเพลงกระบี่ ข้าก็ครุ่นคิดเคล็ดลับนี้ออกมาและใช้เวลาสองสามวันในการฝึกมันจนสำเร็จ เพียงแต่หากอยากฝึกฝนจนถึงระดับที่สูงส่งล้ำลึกนั้นยากยิ่ง”
“พี่ฉู่โปรดชี้แนะด้วย” สวี่ชีอันรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะบอกเคล็ดลับกับเจ้าก่อน เคล็ดลับนี้ไม่ยาก อันที่จริงก็คือการหลอมรวมจิตใจของตัวเองเข้าไปในนั้นและเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่หรือปราณดาบ เพียงแค่จิตใจธรรมดาๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความดีใจ ความโกรธ ความเศร้า ความสุขและอื่นๆ” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างใจเย็น
“นิกายมนุษย์ก็เดินบนเส้นทางนี้ นี่เทียบเท่ากับการคลำหาเคล็ดลับใหม่บนพื้นฐานของนิกายมนุษย์ของข้า”
…
ณ อารามรัตนะ
ลานด้านหลังอันเงียบสงบ ในห้องสงบใจ จักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังเล่นหมากรุกกับราชครู จักรพรรดิเฒ่าที่พระเกศาดำเพิ่งขึ้นบีบตัวหมากพลางถอนหายใจ
“ฉู่หยวนเจิ่นก็แพ้เช่นกัน”
ตรงระหว่างคิ้วของราชครูหญิงมีสีชาดแต้มอยู่ ใบหน้าของนางงดงาม แต่นางไม่ใช่ผู้ที่ยึดติดกับเรื่องทางโลก เรือนร่างอรชรมีน้ำมีนวล ความงดงามของสาวน้อยกับเสน่ห์ของหญิงสาวผสมผสานกันอย่างลงตัว
ทั้งไร้เดียงสาและน่าหลงใหล
นางเล่นหมากรุกตามปกติ ไม่ใช้สมอง วางหมากลงกระดานดังป๊อกแป๊กป๊อกแป๊ก เมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางตอบกลับทันทีว่า “ด้วยกระบี่เล่มเดียว จะตัดสินว่าแพ้หรือชนะได้อย่างไร”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็บรรลุชื่อเสียงของภิกษุน้อยและชื่อเสียงของสำนักพุทธแดนประจิม”
แม้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะอยู่ในพระราชวัง แต่เรื่องในเมืองหลวง โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับสมณทูตแดนประจิม ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เขาย่อมล่วงรู้เป็นอย่างดี
“ฝ่าบาทรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลหรือ” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย วางหมากไปเรื่อยๆ ก่อนที่นางจะพบว่าตนเองกำลังจะแพ้
ดังนั้นระหว่างการสนทนา นางจึงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของหมากทั้งสองอย่างเงียบเชียบ
“ไม่สมเหตุสมผลหรือ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งยิ้มเยาะ จากนั้นจึงถอนหายใจ “มีความไม่สมเหตุสมผล แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือไม่รู้จะทำอย่างไร ภิกษุน้อยยังเยาว์นัก ระดับการฝึกตนหรือก็น่าทึ่ง ในเมืองหลวงไม่มีคนมีฝีมือเช่นนี้ ข้าจะทำอะไรได้ จะให้ยอดฝีมือในกองทหารรักษาวังไปสู้ก็ไม่ดีนัก เป็นเช่นนี้ต่อไปจะไม่ยิ่งเสียหน้าหรือ”
ลั่วอวี้เหิงฟังออกว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังโทษฉู่หยวนเจิ่นที่ยั้งมือ ไม่เอาชนะภิกษุน้อยอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับกลายเป็นบันไดสู่การทำให้อีกฝ่ายมีชื่อเสียง
“เจ้าลาหัวโล้นนั่นไม่ได้มาดี ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ยอมกลับแดนประจิมโดยง่าย” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสต่อ
“ฝ่าบาทอยากตรัสสิ่งใดก็จงตรัสออกมาตามตรงเถิด” ลั่วอวี้เหิงกล่าว
“ไม่กี่วันก่อน ไต้ซือตู้เอ้อร์ต้องการพบท่านโหราจารย์ แต่ถูกเขาปฏิเสธ ท่านโหราจารย์อาศัยอยู่ที่หอดูดาว ไม่ถามถึงเรื่องทางโลก หากเขาไม่สนใจภิกษุชั้นสูงจากแดนประจิม…ถึงเวลานั้นอยากขอให้ราชครูลงมือด้วย”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าช้าๆ และเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของหมากทั้งสองอีกครั้ง
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่แพ้สามเกมติดต่อกันออกจากอารามรัตนะไปอย่างหดหู่ ระหว่างทางกลับพระราชวัง เขาก็สั่งขันทีใหญ่ว่า “ไปบอกให้เว่ยเยวียนหาคน ข้าไม่อยากเห็นภิกษุน้อยคนนั้นยืนอยู่บนสังเวียนอีก”
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์และอึมครึม
ขันทีใหญ่ก้มหน้าเชื่อฟัง “พ่ะย่ะค่ะ!”
…
หนานเฉิง ณ สถานรับเลี้ยงเด็ก
ลานด้านหลัง สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่กับฉู่หยวนเจิ่นและฟังเขาเล่าเคล็ดลับ ‘การหล่อเลี้ยงจิตใจ’
ไต้ซือเหิงหย่วนก็ไม่หลบเลี่ยงความสงสัยเช่นกันและนั่งแอบเรียนอยู่ข้างๆ
“ฟังดูไม่ยาก แต่จะหลอมรวม ‘จิตใจ’ เข้าไปในดาบได้อย่างไร” สวี่ชีอันถามพลางลุกขึ้นและแกว่งดาบยาวสีดำทอง
ในกระบวนการ เขาพยายามหลอมรวมจิตใจของตนเองเข้าไปในดาบตามเคล็ดลับที่ฉู่หยวนเจิ่นสอน
ทว่ากลับล้มเหลว
“เจ้าต้องทำให้อารมณ์สงบลง ไม่ดีใจ ไม่ทุกข์ใจ ไม่เศร้าโศกและไม่โกรธ…หล่อเลี้ยงจิตใจให้มั่นคง” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างจนปัญญา
“เป็นความผิดของข้าเอง หากใจของข้าสงบ ภูเขาพังทลายอยู่เบื้องหน้า สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน” สวี่ชีอันกล่าว
อย่างที่ว่าจิตใจเบิกบานเป็นอารมณ์หนึ่งโดยพื้นฐาน
ฉู่หยวนเจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “อันที่จริงมีวิธีเร่งรัดอยู่”
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายเล็กน้อย “พี่ฉู่ เชิญกล่าว”
“เจ้ามานี่สิ” บัณฑิตจอหงวนกวักมือเรียกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง