บทที่ 285 ธรรมลักษณะระดับเพชรเนตรพิโรธ
สวี่ชีอันอยากลองเล่นพิเรนทร์ตะโกนเล่นว่า ‘เมียจ๋า ออกมาดูพระศรีศากยมุณีเร็ว’
แต่เขายังไม่มีภรรยา ซ้ำร้ายแรงกดทับมหาศาลที่แผ่กระจายออกมาจากธรรมลักษณะ ทำให้เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาได้ เพราะสัญชาตญาณสั่งให้คุกเข่าลงกราบไหว้
ท่านโหราจารย์ เหตุไฉนจึงไม่กล้าเผชิญกับข้า…
สิ้นเสียงคำรามกึกก้องกัมปนาทราวกับฟ้าร้อง สวี่ผิงจื้อผู้พยายามหยัดยืนขึ้นก็เข่าทรุดลงไปอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง
ขณะที่เผชิญกับความกลัว ความอัปยศอดสูก็บังเกิดในใจไปพร้อมกัน อารองสวี่ใช้สองมือยันไว้กับพื้นพร้อมกัดฟันกรอด “หนิงเยี่ยน ฉือจิ้ว อย่าคุกเข่า ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมา!”
สามคำสุดท้ายเขาแผดเสียงจนสุดเสียง
สิ้นเสียงตะโกน สวี่ผิงจื้อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของหลานชายและลูกชาย จึงเงยหน้าขึ้นมอง…เห็นลูกชายกำลังยึดเกาะเสาไว้แน่น เส้นเลือดสีเข้มบริเวณหน้าผากปูดโปนขึ้น ราวกับว่าพยายามยืนหยัดจนสุดแรงเกิด
ส่วนหลานชายหันหลังพิงประตู กระชับดาบในมือทั้งสองข้าง จ้องธรรมลักษณะบนท้องฟ้ายามราตรีตาเขม็งอย่างไม่ยอมจำนน
จากนั้นลูกชายและหลานชายก็หันมามองพร้อมกันเป็นตาเดียว
บรรยากาศหยุดนิ่งชั่วขณะ แต่ยังดีที่สวี่ฉือจิ้วและสวี่หนิงเยี่ยนเบือนสายตาหนีอย่างนิ่งเฉย
เฮ้อ…เจ้าเด็กเวรสองคนยังรู้จักไว้หน้าข้าบ้างสินะ! ความอับอายของสวี่ผิงจื้อบรรเทาลง
โธ่ อารองสภาพขี้ขลาดตาขาวขนาดนี้ สงสัยคงเอาจิตใจกล้าแกร่งไปฝากไว้ที่อาสะใภ้หมดแล้วกระมัง! สวี่ชีอันหัวเราะเยาะในใจ
‘ท่านพ่อช่างน่าสมเพชเสียไม่มี ตัวเองล้มลุกคลุกคลาน แล้วยังจะแหกปากโวยวายอีก ดีนะที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้!’ สวี่ฉือจิ้วลอบชิงชังบิดาที่น่าอดสูของตน
“พี่ใหญ่ จะ จะจัดการกับภิกษุจากสำนักพุทธอย่างไร ทะ ท่านเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี่ รู้เรื่องราวภายในบ้างหรือไม่” สวี่ฉือจิ้วเอ่ยตะกุกตะกัก
บังคับตัวเองอย่างหนักไม่ให้เสียงสั่น
เขาเชื่อว่าดินแดนทางประจิมทิศและต้าฟ่งเกิดความบาดหมางบางประการขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้สมณทูตจากแดนประจิมตบเท้าเข้าสู่เมืองหลวง ดูจากการกระทำของภิกษุสมณศักดิ์สูงจากสำนักพุทธในค่ำคืนนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าท่าทีของแดนประจิมเต็มไปด้วย ‘ความโกรธแค้น’
หากไม่ได้รับการจัดการที่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างแดนประจิมและต้าฟ่งคงต้องถึงกาลอวสาน หรืออาจนำไปสู่สงครามระดับชาติได้
ในฐานะปัญญาชน สวี่ซินเหนียนย่อมกระหายใคร่รู้ในเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ตามสัญชาตญาณ
สวี่ชีอันครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ความเห็นขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด…ส่วนรายละเอียดข้ายังไม่รู้แน่ชัด”
พูดไปได้ครึ่งหนึ่งเขาก็กลับคำ เพราะปฏิกิริยาของภิกษุสมณศักดิ์สูงแห่งสำนักพุทธนั้นเหนือความคาดหมายของสวี่ชีอันไปมาก
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรได้อย่างหนึ่ง ในตอนที่ไต้ซือเสินซูถูกผนึกอยู่ในต้าเฟิง อาจไม่ใช่แค่ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างพันธมิตรเท่านั้น แต่บางทีอาจยังมีสาเหตุอื่นซ่อนอยู่
หากเป็นเพียงการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างพันธมิตร ทางสำนักพุทธจะโกรธแค้นถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เหตุใดจึงทำการใหญ่เพื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ด้วย
…
หอเฮ่าชี่
เว่ยเยวียนสวมชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ มองขึ้นไปที่ธรรมลักษณะรูปพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่ครอบคลุมครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง
“อรหันต์ปราบอธรรม!”
ดวงตาของเขานิ่งสงบ ลำตัวยืดตรง เสื้อคลุมสีเขียวปลิวไสวตามสายลม ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับธรรมลักษณะโดยตรง
ในห้องน้ำชาด้านหลัง หยางเยี่ยนและหนานกงเชี่ยนโหรวนั่งขัดสมาธิและก้มศีรษะลง พยายามต้านทานแรงกดดันจากธรรมลักษณะอย่างเต็มที่
ยิ่งระดับการฝึกตนสูง แรงกดดันก็ยิ่งทวีคูณ
“สำนักพุทธยังแข็งแกร่งเช่นเคย” เว่ยเยวียนเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ
พูดจบเขาก็หันไปมองบุตรบุญธรรมทั้งสองแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “หากสวี่ชีอันอยู่ที่นี่ ข้ากล้ารับประกันว่าเขาจะต้องยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาก็จะยืนหยัดอยู่ได้”
หยางเยี่ยนและหนานกงเชี่ยนโหรวละอายใจ
…
ณ พระราชวัง จักรพรรดิหยวนจิ่งในเสื้อคลุมลายมังกร ทรงพระดำเนินออกจากห้องบรรทมพร้อมกับขันทีเฒ่า พระองค์เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่คิ้วสองข้างตั้งขึ้น ราวกับลอยอยู่เหนือพระราชวังพอดิบพอดี
ดวงตาของพระพุทธรูปคล้ายจะวางอุเบกขาแต่ฉายแววน่าสะพรึง ราวกับกำลังจับจ้องจักรพรรดิหยวนจิ่งโดยตรง
ภายในพระราชวัง กองกำลังทหารรักษาพระองค์ถือหอกในมือ ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ไม่มีใครคุกเข่าลงหรือเผยความหวาดกลัวออกมา
ทั้งพระราชวังราวกับเป็นอิสระจากพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมลักษณะอย่างสิ้นเชิง
“หึ!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมอย่างเย็นชา ก่อนจะหันกลับเข้าห้องบรรทม
…
คืนนี้ผู้คนนับล้านในเมืองหลวง นักรบจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงชาวยุทธ์ที่หลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต่างอกสั่นขวัญแขวนราวกับเผชิญกับวันสิ้นโลก
ความหวาดกลัวระคนตื่นตระหนกอันหนักหน่วงเกาะกุมหัวใจ
ในเวลาเดียวกัน ก็เกิดความคิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่าที่นี่คือเมืองหลวง ศูนย์กลางของต้าฟ่งเชียวนะ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการเผยแผ่ศาสนาพุทธได้เลยหรือ
ทีแรกก็พระภิกษุหนุ่มที่ต่อสู้เป็นเวลาสี่วันติดโดยไม่แพ้แม้แต่ครั้งเดียว คืนนี้ก็มีธรรมลักษณะปรากฏจนสั่นคลอนทั้งเมืองหลวง ทั้งยังมาเพื่อเหยียดหยามท่านโหราจารย์อีกด้วย
ท่านโหราจารย์เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของต้าฟ่ง ซึ่งเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งเพียงคนเดียว
นี่คือสิ่งที่ราชสำนัก ท่านโหราจารย์ และราษฎรนับล้านต้องเผชิญหน้า
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างอยากให้ท่านโหราจารย์ลงมือ
ณ ซังผอ กระบี่และดาบทองเหลืองขององค์จักรพรรดิผู้สถาปนาในวัดหย่งเจิ้นซานเหอที่สร้างขึ้นใหม่กำลังสั่นไหว ราวกับรอคอยการเรียกหาจากเจ้าของ
ท่ามกลางผู้คนนับไม่ถ้วนที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นอย่างชัดเจน ‘วี้ด!’
น้ำเสียงน่าฟัง เนื้อเสียงชัดแจ๋ว
ลั่วอวี้เหิงสวมมงกุฎดอกบัว สวมเสื้อปักลายปลาไท่จี๋ เดินออกจากห้องที่เงียบสงบ เส้นผมพลิ้วไสวในสายลม
นางมองขึ้นไปยังพระพักตร์ของพระพุทธรูป กางแขนขวาอันขาวผ่องออกแล้วกำนิ้วมือทั้งห้า ดาบเหล็กขึ้นสนิมพลันพุ่งขึ้นจากสระน้ำมาอยู่ในฝ่ามือของนาง
ลั่วอวี้เหิงค่อยๆ ขว้างดาบเหล็กในมือของนางออกไป “ไป!”
ปราณกระบี่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับสายรุ้ง
ในตอนแรกมันพุ่งขึ้นไปเป็นดวงไฟเส้นบางๆ ราวกับอุกกาบาตที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากนั้นไม่นาน ปลายดาบก็เกิดมวลอากาศห้อมล้อมเป็นรูปโค้ง มีเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งร้อยเมตร ซึ่งเป็นคลื่นก๊าซที่เกิดจากแรงต้านอากาศ
ไม่นานนัก ดวงไฟสีแดงก็สาดส่องท่ามกลางท้องฟ้าสีทองอร่าม สอดประสานกับความงดงามมลังเมลืองของธรรมลักษณะสีทอง ดวงไฟที่เป็นเพียงเส้นสายบางๆ ในทีแรก ขยายใหญ่ขึ้นจนยากจะจินตนาการ
ราวกับกลายเป็นน้ำตกสีแดง
ธรรมลักษณะสีทองอร่ามพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ฝ่ามือยักษ์สองข้างยกขึ้นมาจากกลุ่มเมฆสีดำที่ลอยคว้างรายล้อม พยายามคว้าดาบแสงไว้ให้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง