ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 290

บทที่ 290 พลังแห่งสรรพชีวิต (2)

ท่าทางทั้งหมดของเขาอยู่ในสายตาของผู้ชม ผู้คนมากมายต่างก็เป็นห่วงเป็นใยเขา

“เกิดอะไรขึ้น ท่าทางเหมือนจะเจ็บปวดมากๆ เลยนะ แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่นา”

ค่ายกลแปดทุกข์มีผลต่อจิตใจ อีกทั้งบุคคลภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นโลกในจิตของสวี่ชีอันได้ จึงไม่ได้รู้สึกเหมือนกันกับเขา

“นี่เพิ่งจะเป็นด่านแรก เขายังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ แล้วจะปีนขึ้นเขาต่อได้อย่างไรกัน”

ชาวยุทธ์ผู้หนึ่งได้ยินดังนั้นก็เอ่ยทอดถอนใจ “ระดับแตกต่างกันมากโข การประลองครั้งนี้เกรงว่าคงจะจบลงแล้วล่ะ”

พวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือค่ายกลแปดทุกข์ ในสายตาของพวกเขา เห็นเพียงแค่สวี่ชีอันที่เข้าไปใน ‘ม้วนภาพ’ เพื่อเริ่มปีนขึ้นเขา แต่สุดท้ายยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีสภาพเช่นนี้เสียแล้ว

ช่างน่าผิดหวังนัก

ในซุ้มไม้ที่เหล่าราชนิกุลนั่งอยู่ ยายตัวร้ายกำหมัดแน่น ร่างกายเครียดเขม็ง นางจ้องไปที่สวี่ชีอันโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่อยู่ภายในใจ

ฮว๋ายชิ่งถือถ้วยชาเอาไว้ตลอด ไม่เคยวางมันลงเลย

“ท่านแม่ พี่ใหญ่เหมือนจะเจ็บปวดมากเลยนะเจ้าคะ” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายจะร้องไห้

อาสะใภ้รีบหันไปหาสามี แต่เมื่อเห็นสีหน้าเขาเหมือนคนจมน้ำก็ไม่กล้าเอ่ยถามอะไร เพียงกล่าวปลอบโยนลูกสาวไปว่า “ไม่เป็นอะไรๆ พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนดีมีอนาคต แม้แต่กบฏหลายหมื่นคนที่อวิ๋นโจวเขาก็ยังไม่กลัว นับประสาอะไรกับลาหัวโล้นพวกนี้กันเล่า”

“ท่านลุง พี่ใหญ่ของข้าเป็นอะไรหรือ” สวี่หลิงอินชี้ขึ้นไปบนฟ้า

“ไม่เป็นอะไร”

น้ำเสียงของเว่ยเยวียนเรียบนิ่ง แต่เส้นเลือดที่หลังมือซึ่งวางอยู่บนพนักแขนกลับปูดขึ้นมา ร่างกายก็เอนตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยัง ‘ม้วนภาพ’ อยู่ตลอด ไม่เคยเบนออกไปไหน

“ค่ายกลแปดทุกข์!”

สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินแค่นเสียงเย็น “ค่ายกลนี้นำมาใช้เพื่อขัดเกลาจิตธรรมของภิกษุระดับสูงในศาสนาพุทธ หากจอมยุทธ์เข้าไปในนั้นแล้วทำลายค่ายกลไม่ได้ จิตใจก็จะแตกสลายกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่หากรอดจากค่ายกลนี้ได้อย่างปลอดภัย ก็หมายความว่าบุคคลนั้นมีลักษณะธรรม เจ้าใช้โอกาสนี้เพื่อจะให้เขาเข้าสู่ศาสนาพุทธสินะ อรหันต์ตู้เอ้อร์ช่างมีแผนการดีนัก ตบหน้าต้าฟ่งของข้าด้วยวิธีการเช่นนี้ ไม่กลัวทหารหลายล้านของต้าฟ่งหรืออย่างไร”

ในฐานะที่เป็นสมุหราชเลขาธิการของต้าฟ่ง เมื่อจักรพรรดิไม่อยู่แถวนี้ หวางเจินเหวินจึงเป็นผู้กล่าววาจาได้

เขามีความรู้กว้างขวางและคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ทางการเมือง เพียงคำพูดสั้นๆ ก็เผยให้เห็นแผนการของอรหันต์ตู้เอ้อร์ได้แล้ว

ไต้ซือตู้เอ้อร์ท่องนามพระพุทธเจ้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะ “การเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ไยจะมิใช่พร”

ตอนนั้นเอง ฉู่หยวนเจิ่นถึงได้รับรู้บทบาทอีกหนึ่งอย่างของค่ายกลแปดทุกข์ และเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหมายเลขหกเหิงหย่วนถึงได้ลังเลใจแบบเมื่อครู่นี้

แผนการของอรหันต์ตู้เอ้อร์นั้นน่ากลัวมากจริงๆ

ด่านแรกคือการวัดลักษณะธรรม หากไม่มีลักษณะธรรม สวี่ชีอันก็จะถูกทำลาย และสำนักพุทธก็จะกลายเป็นผู้ชนะ แต่หากเขามีลักษณะธรรม ต่อไปก็ยังมีอีกหลายด่านที่จะโน้มน้าวเขาเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่าได้ แบบนี้ไม่เพียงสำนักพุทธจะชนะ แต่ยังได้ตบหน้าของต้าฟ่งอย่างแรงด้วย

คนที่ส่งไปประลอง สุดท้ายกลับกลายเป็นศิษย์ของสำนักพุทธ ฝ่ามือนี้ตบได้แรงเหลือเกิน

ในแต่ละซุ้มไม้ เหล่าชนชั้นสูงคนสำคัญต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี สตรีชั้นสูงและคุณหนูสกุลดีทั้งหลายที่เดิมเพียงมาชมดูความครื้นเครงก็เก็บท่าทางสนุกสนานของตนไป ไม่หัวเราะออกมาอีก

ยายตัวร้ายร่างเครียดเกร็งขึ้นมา ดวงตาดอกท้อเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างร้อนใจ “ฮว๋ายชิ่งๆ สมุหราชเลขาธิการกล่าวว่าหากไม่ทำลายค่ายกล เจ้าสุนัขรับใช้ก็จะเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว แต่หากทำลายค่ายกลได้ เจ้าสุนัขรับใช้ก็จะบวชเป็นภิกษุ แบบนี้จะทำเช่นไรดีเล่า”

ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว แม้นางจะมีความรู้กว้างขวางเท่าคันรถ แต่ในด้านการฝึกตนนั้นรู้แค่พอจะไปวัดไปวาได้ ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้าจึงเกินขอบเขตความสามารถของนางไปแล้ว

“แล้วเจ้าอยากเป็นตัวไร้ประโยชน์ หรือว่าจะเป็นภิกษุกันล่ะ” ฮว๋ายชิ่งถามกลับ

“ข้า…” ยายตัวร้ายอึกอัก ไม่ได้เอ่ยคำตอบที่อยู่ในใจออกมา

คนที่โมโหนั้นไม่ได้มีแต่ชนชั้นสูงที่อยู่ในซุ้มไม้เท่านั้น แต่ยังมีชาวบ้านที่ดูอยู่รอบๆ ด้วย ในต้าฟ่งแห่งนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงเป็นพวกเย่อหยิ่งเป็นที่สุด เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองที่เป็นศูนย์กลางของราชสำนัก ที่ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของคนทั่วทั้งอาณาจักร

เป็นเพราะการ ‘ยั่วยุ’ ในช่วงนี้ของจิ้งซือและจิ้งเฉิน ชาวเมืองหลวงจึงมีความโกรธแค้นสุมอกมานานแล้ว วันนี้สำนักโหราจารย์ได้ตอบรับคำท้าประลองของสำนักพุทธ ดังนั้นยังไม่ทันจะถึงรุ่งสาง ที่นี่ก็มีชาวบ้านมามุงดูอยู่เต็มไปหมด

“รังแกกันเกินไปแล้ว ราชสำนักอ่อนแอนัก ถูกพวกศาสนาพุทธขี่อยู่บนหัวตั้งหลายรอบ แต่ยอดฝีมือพวกนั้นกลับไม่ปริปากสักคำ”

ทุกสายตาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันพร้อมกับความตึงเครียดจนแทบจะหายใจไม่ออก

อาสะใภ้พลันได้ยินเสียง ‘ตึง’ ที่แท้สามีที่อยู่ข้างๆ ก็ทำพนักแขนของเก้าอี้หักเสียแล้ว

นางขมวดคิ้วเรียวประณีตแล้วเอ่ยอย่างโมโห “เหตุใดถึงเลือกหนิงเยี่ยนไปประลองล่ะ นี่ นี่เป็นเรื่องดีที่ไหนกัน”

สามีของตนเลี้ยงดูและวางรากฐานให้กับหลานชายมาตลอดยี่สิบปี หากเป็นเช่นที่ใต้เท้าผู้นั้นกล่าวจริงๆ ที่ว่าทำลายค่ายกลไม่ได้ก็จะเป็นตัวไร้ประโยชน์ เช่นนั้นการเลี้ยงดูของสามีก็มิใช่ว่าถูกทำลายให้สูญเปล่าในคราวเดียวหรอกหรือ

แต่หากทำลายค่ายกลได้ก็มิใช่เรื่องดี บ้านสายหลักมีเพียงสวี่หนิงเยี่ยนเป็นต้นกล้าเพียงต้นเดียวแล้ว หากกลายเป็นภิกษุไปล่ะก็…

อาสะใภ้หันกลับมามองลูกชายและลูกสาว สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว สวี่หลิงเยวี่ยกัดริมฝีปาก ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความกังวล

“ค่ายกลนี้มีวิธีทำลายสามวิธี”

ท่ามกลางความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชากจิต ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน นั่นคือเสียงของไต้ซือเสินซู

“ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับข้า เพียงฟังที่ข้าบอก ค่ายกลนี้นำมาใช้ขัดเกลาจิตใจของผู้ฝึกตนในศาสนาพุทธ ผู้ที่เข้ามาในค่ายกลจะเกิดผลสองประการ คือ จิตใจละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น หรือไม่ก็จิตแตกสลาย ผู้ที่ไม่ใช่คนในศาสนาพุทธ หากสามารถผ่านค่ายกลแปดทุกข์ไปได้ ก็แสดงว่าตนมีลักษณะธรรม”

มิน่าเล่า ข้าถึงได้เกิดความคิดอยากเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่า สำนักพุทธต้องการสังหารจิตใจของข้าชัดๆ… เขาคิดไปพลางทนรับความเจ็บปวดทางจิตอันบิดเบี้ยวไปด้วย

ความคิดของไต้ซือเสินซูดังขึ้นอีกครั้ง “นอกจากวิธีทำลายสองข้อแล้ว ยังมีเหลืออีกหนึ่งวิธีคือ ใช้พลังแห่งสรรพชีวิตทำลายค่ายกล!”

สวี่ชีอันรออยู่พักหนึ่ง ไต้ซือเสินซูก็ไม่พูดอะไรอีก และเขาก็ไม่ได้ตะโกนเรียกไต้ซือเสินซูในใจเพราะความหวาดระแวง

ใช้พลังแห่งสรรพชีวิตทำลายค่ายกล…หมายความว่าอย่างไร ทุกข์ในชีวิตมีแปดประการ ก็เลยต้องอาศัยพลังของสรรพชีวิตมาทำลายมันอย่างนั้นหรือ แต่ข้าจะไปเอาพลังของสรรพชีวิตมาจากไหน? เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่พลังที่จอมยุทธ์ผู้หนึ่งจะมีได้…

วัฏจักรแห่งภพชาติยังคงดำเนินต่อไป ค่ายกลแปดทุกข์ยังคง ‘กัดกร่อน’ จิตของสวี่ชีอัน และที่แย่ก็คือ ความคิดที่อยากจะเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่าก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ‘บุคลิก’ ทั้งสองอย่างเข้าปะทะกันจนทำให้จิตใจของเขายิ่งบิดเบี้ยวเข้าไปใหญ่

นั่นแปลว่าสวี่ชีอันไม่มีลักษณะธรรมจริงๆ แต่หากไม่อาจทำลายค่ายกลได้ เขาก็ได้แต่รอให้จิตแตกสลายเท่านั้น

สวี่ชีอันทบทวนกระบวนท่าทั้งหมดที่ตนมี ดาบเดียวตัดฟ้าดิน กระบี่ใจ สิงโตคำราม วิชาเปลี่ยนลักษณ์ เลี้ยงจิต…หือ?

เลี้ยงจิต?

ฉู่หยวนเจิ่นสอนวิชาเลี้ยงจิตกระบี่ให้แก่เขา โดยใช้อารมณ์ของตนมาเป็นพลังแล้วผสานเข้ากับกระบี่พร้อมเหวี่ยงมันออกไป

อารมณ์ของเขาในตอนนี้ย่ำแย่มากจริงๆ แต่ยังไม่พอให้ทำลายค่ายกลแปดทุกข์ได้…แต่ถ้าคิดอีกมุม เหตุใดข้าต้องใช้อารมณ์ของตัวเองล่ะ

เหตุใดไม่ลองหยิบยืมอารมณ์ของคนอื่นดูล่ะ ใช้อารมณ์ของผู้อื่นเพื่อเลี้ยงจิตกระบี่เสียสิ

ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา มันก็ควบคุมไม่ได้อีกแล้ว

เขาหลับตาและใช้วิชาลับที่ฉู่หยวนเจิ่นสอนเพื่อสัมผัสถึงอารมณ์ เพียงแต่ผู้ที่เขาสัมผัสนั้นไม่ใช่ตัวเขาเอง ทว่าเป็นโลกภายนอก

ที่น่าประหลาดใจก็คือ เขากลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของโลกภายนอกได้จริงๆ นั่นเป็นอารมณ์ที่มาจากชาวบ้านที่มุงดูอยู่ในเมืองหลวง…อารมณ์เหล่านี้คือมหาสมุทร พวกมันมีความตึงเครียดและความโกรธาเป็นหลัก

พวกเจ้าก็โกรธเหมือนกันหรือ

เช่นนั้นก็ให้ข้ายืมพลังหน่อยเถอะ

สวี่ชีอันแช่ตัวอยู่ในมหาสมุทรแห่งอารมณ์ แล้วดูดซับความกรุ่นโกรธเหล่านั้น จากนั้นเพลิงโทสะไร้ที่สิ้นสุดและรุนแรงก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจ

ราวกับทะเลคลั่ง ราวกับสายฟ้าร่ำร้อง ราวกับเพลิงแผดเผา

เขาจับฝักดาบโดยไม่รู้ตัว ราวกับต้องการจะชักดาบออกมา

“ไม่พอ ยังไม่พอ…”

ภูเขาชิงหยุน สำนักอวิ๋นลู่

รูปปั้นรองปราชญ์เอกพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา ปราณมหาศาลพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

กล่องไม้แดงที่แขวนอยู่เหนือรูปปั้นรองปราชญ์เอกสั่นไหว ไม่รู้ว่ามีอะไรถูกผนึกอยู่ข้างใน มันเหมือนกับจะหลุดออกมาจากกล่องให้ได้

แสงกระจ่างใสกะพริบวาบ เจ้าสำนักจ้าวโส่วปรากฏตัวขึ้นในห้องแล้วจ้องมองไปที่กล่องไม้แดงอย่างประหลาดใจ

จากนั้น แสงใสสามสายก็กะพริบวูบตามมา ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามอย่างพวกหลี่มู่ไป๋มาตรวจสอบสถานการณ์แล้ว

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดรูปปั้นรองปราชญ์เอกถึงมีความเคลื่อนไหวอีกครั้งได้เล่า…”

เสียงของหลี่มู่ไป๋หยุดทันใด เขาจ้องไปยังกล่องไม้แดงอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วเอ่ยตะกุกตะกัก “มัน มันเป็นอะไรไป”

เจ้าสำนักจ้าวโส่วเอ่ยพึมพำ “มีคนสัมผัสพลังแห่งสรรพชีวิต มันฟื้นคืนชีพอีกครั้งแล้ว”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมองไปยังจ้าวโส่วราวกับเห็นคนบ้า

จ้าวโส่วไม่สนใจพวกเขา แต่โค้งคำนับให้ “ขอให้ผู้อาวุโสโปรดสงบลงด้วยเถิด”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน พวกเขาพากันโค้งคำนับตาม “ขอให้ผู้อาวุโสโปรดสงบลงด้วย”

กล่องไม้แดงสั่นไหวเบาลงแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ คืนสู่ความสงบ

“เขาจะชักดาบแล้ว!” มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา

ในฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบๆ มีบางคนโล่งใจเพราะในที่สุดสวี่ชีอันก็เคลื่อนไหวบ้างแล้ว ไม่เอาแต่จมอยู่ในความเจ็บปวดอีก สิ่งนี้ทำให้พวกเขาราวกับได้รับยาสงบใจ

เริ่มรับมือได้ก็ถือว่าดีแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดคือการพ่ายแพ้โดยไม่อาจต่อต้านได้ต่างหาก

เว่ยเยวียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง งงงวยกับการกระทำของสวี่ชีอัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง